
เมื่อ j-hope ขึ้นเวทีที่ Barclays Center ในบรู๊คลินเพื่อเริ่มต้นทัวร์อเมริกาเหนือในช่วงกลางเดือนมีนาคม การแสดงของเขาได้กลายเป็นการแสดงดนตรีฮิปฮอปที่ขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่องของสมาชิก BTS ตั้งแต่เพลง "MIC Drop" ของวงที่เขย่าสนามกีฬาไปจนถึงเพลงอันสดใส "= (Equal Sign)" และการเปิดตัวเพลงฮิตแนวแทรปและแร็ปอย่าง "MONA LISA"
อีกด้านหนึ่งของโลก Jin เพื่อนร่วมวงของเขา กำลังใส่รายละเอียดสุดท้ายให้กับ "Echo" อัลบั้มเดี่ยวชุดที่สองของเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวร็อก ซึ่งเจาะลึกลงไปในริฟฟ์ป๊อปพังก์ที่ร้อนแรง โปรดักชั่นบริตร็อกโรแมนติกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องสายออเคสตรา และแม้กระทั่งการบุกเบิกแนวคันทรีร็อกที่สนุกสนาน
ในขณะที่ j-hope และ Jin ได้ขยับปีกของตัวเองออกไปในเส้นทางเดี่ยว สมาชิกที่เหลือของ BTS — RM, SUGA, Jimin, V และ Jung Kook — ต่างก็ยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติในกองทัพเกาหลีใต้ตามข้อบังคับ จนกว่าจะปลดประจำการในเดือนนี้ (โดย Jin และ j-hope เริ่มเข้ารับราชการเร็วกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ซึ่ง Jin ปลดประจำการในเดือนมิถุนายน 2024 ส่วน J-Hope ปลดประจำการเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว) แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังคงยุ่งกับงานเพลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
สาเหตุก็เพราะค่ายเพลงและบริษัทบริหารจัดการของวงอย่าง HYBE ได้ใช้ช่วงเวลาหยุดพักเนื่องจากการเกณฑ์ทหาร เป็นโอกาสในการส่งเสริมการแสดงออกส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคน
RM ได้สำรวจแนวเพลงอินดี้อันลุ่มลึกในอัลบั้มเดี่ยวที่ได้รับคำชมอย่าง Right Person, Wrong Place
V ได้ดื่มด่ำกับกลิ่นอายแจ๊สย้อนยุคผ่านการร้องดูเอ็ทหลายเพลง รวมถึงเวอร์ชันใหม่ของ “White Christmas” ที่ร้องร่วมกับเสียงร้องของ Bing Crosby
Jung Kook ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งด้วยเพลงแนวป็อปตะวันตก
ส่วน Jimin ก็พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งเช่นกันด้วยแนวดนตรีดาร์กป็อปที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ตลอดช่วงเวลาที่สมาชิก BTS เข้ารับราชการทหารและออกเดินทางในเส้นทางเดี่ยว ได้มีทีมสร้างสรรค์ระดับแนวหน้าคอยอยู่เคียงข้างพวกเขา พวกเขาเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมเอกลักษณ์ทางดนตรีของสมาชิกแต่ละคน และผลักดันขอบเขตของ K-pop บนเวทีโลกให้กว้างไกลยิ่งขึ้น
บุคคลสำคัญที่อยู่ใจกลางของกระบวนการนี้คือ "Pdogg"โปรดิวเซอร์ตัวท็อปของวงการ K-pop ผู้ลึกลับ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังซาวด์ของ BTS มาตั้งแต่เปิดตัวในปี 2013 จนถึงปัจจุบัน
Pdogg ซึ่งมีชื่อจริงว่า คัง ฮโยวอน เขาดูแลทุกกระบวนการด้านดนตรีของ BTS อย่างรอบด้าน ในช่วงเวลาหายากที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ทาง Pdogg บอกกับ Rolling Stone ว่ากระบวนการทำงานของเขาเริ่มจากการสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับศิลปิน เพื่อรับฟังความคิด ความรู้สึก และไอเดียที่อยู่ในใจของพวกเขา ก่อนจะเริ่มต้นวางคอนเซ็ปต์ของเพลง
ในสตูดิโอ เขาจะเป็นผู้วางโครงสร้างเบื้องต้นของเพลง หรือเลือกเดโม่ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์นั้น จากนั้นโดยทั่วไปจะให้ศิลปินเขียนเนื้อเพลงร่างแรกด้วยตัวเอง ก่อนจะเรียกทีมงานร่วมมือเข้ามาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานให้กลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ตามวิสัยทัศน์ทางดนตรีที่วางไว้
เมื่อพูดถึงการทำงานกับ BTS, Pdogg ระบอกว่า “กุญแจสำคัญคือการสื่อสาร”
เขาอธิบายว่า “ผมสื่อสารกับสมาชิกแต่ละคนโดยตรง เพราะเพลงและอัลบั้มของพวกเขามักจะเน้นเรื่องราวส่วนตัวของแต่ละคน ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับสมาชิกแต่ละคนมากพอสมควร พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคิด มุมมองต่อโลก แล้วเราก็สร้างเพลงที่สอดคล้องกับมุมมองเหล่านั้น และเลือกเดโมที่เหมาะสมที่สุด
โดยปกติแล้ว ศิลปินจะเป็นคนเขียนเนื้อเพลงร่างแรกด้วยตัวเอง จากนั้นผมจึงค่อยเพิ่มรายละเอียดและสร้างเพลงขึ้นมาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในระหว่างกระบวนการบันทึกเสียง เราทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาด้านศิลปะของพวกเขา ที่บางครั้งพวกเขาอาจยังไม่เคยได้แสดงออกมาก่อน”
Pdogg วัย 41 ปี ยังดูแลศิลปินฝึกหัด (trainee) รุ่นใหม่ของค่าย BIGHIT MUSIC ซึ่งเป็นบ้านของ BTS รวมถึงศิลปินรุ่นพี่อย่าง Lee Hyun และ Tomorrow X Together และบอยแบนด์วงใหม่ที่เพิ่งได้รับการยืนยันว่าจะเปิดตัวในไตรมาสที่สามของปี 2025
BIGHIT MUSIC เป็นหนึ่งในหลายค่ายภายใต้ HYBE — อาณาจักรบันเทิงระดับนานาชาติที่ BTS มีบทบาทสำคัญในการช่วยปลุกปั้น จากบริษัทจัดการศิลปินเล็ก ๆ สู่กลุ่มธุรกิจบันเทิงข้ามชาติที่หลากหลาย
Pdogg เริ่มต้นเส้นทางดนตรีของเขาเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยการทำงานร่วมกับผู้ก่อตั้ง HYBE และประธานคนปัจจุบัน บังชีฮยอก (ซึ่งยังใช้ชื่อโปรดิวเซอร์ว่า “Hitman” Bang) ในสมัยที่เครดิตผลงานของเขายังมีแค่ชื่อศิลปินอย่างวงสามคน 8Eight และนักร้องแนว R&B-pop อย่าง ลิมจองฮี เท่านั้น
“แม้ในตอนที่บริษัทยังมีขนาดเล็กอยู่ ประธานบัง ก็ยังลงทุนกับ mixing, mastering และการทำเพลงในทุกขั้นตอนเสมอ เขาผลักดันทุกอย่างจนกว่าเราจะได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการอย่างแท้จริง” Pdogg กล่าว
“ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว นับตั้งแต่ผมได้พบกับประธานบังเป็นครั้งแรก และผมก็มีแต่ความไว้วางใจในตัวเขาอย่างเต็มที่ เพราะเขาไม่เคยสั่นคลอนในความมุ่งมั่นต่อดนตรี และมีแรงผลักดันที่จะค้นหาซาวด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ … และในช่วงที่ผมเจอภาวะหมดไฟ เขาก็เป็นคนที่ยอมรับความเสี่ยงแทนผมและยังคงเชื่อมั่นในตัวผม นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมยังคงสามารถสร้างสรรค์ผลงานเพลงได้จนถึงทุกวันนี้”
Pdogg เปิดเผยว่าเขาสนใจเป็นการส่วนตัวที่จะ “ลองทำให้เสียงดนตรียุคกลางถึงปลายปี 2000s มีความร่วมสมัยมากขึ้น” และ “ค้นหาซาวด์ที่ผสมผสานแนวดนตรีที่ยังไม่เคยถูกนำข้ามมาสู่กระแสหลักของป๊อป” อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าในท้ายที่สุดจะเป็น BTS เองที่จะเป็นผู้นำทิศทางของซาวด์ในอนาคตของพวกเขา
แม้ว่า BTS จะประสบความสำเร็จสูงสุดในชาร์ต Billboard และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Grammy จากเพลงภาษาอังกฤษล้วนอย่าง “Dynamite” และ “Butter” (ซึ่งน่าสังเกตว่าไม่มีชื่อของ Pdogg ในเครดิต) แต่เขาก็ระบุว่าสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนวิธีการทำงานของเขาหรือทีมที่ร่วมงานกันในการสร้างเพลงใหม่ของ BTS
“มันมีความกดดันและความกังวลอยู่เสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของผมอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผมเลย”
เขาเล่าว่า “ช่วงนี้ผมโฟกัสกับการค้นหาซาวด์ใหม่ ๆ โดยการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับท็อปจากต่างประเทศในรูปแบบที่หลากหลาย ผมตั้งเป้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่างจาก ‘Dynamite’ หรือ ‘Butter’ แต่ก็ยังคงต้องแน่ใจว่ามันจะสามารถเข้าถึงใจผู้ฟังระดับโลกได้เช่นเดิม”
สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดในอัลบั้มคัมแบ็คล่าสุดของ BTS — อย่างน้อยในส่วนของเครดิตเพลง — คือการขาดหายไปของ Slow Rabbit ซูเปอร์โปรดิวเซอร์อีกคนภายใต้ค่าย BIGHIT MUSIC ของ HYBE ซึ่งอยู่กับ BTS มาตั้งแต่เดบิวต์
แม้ว่า Slow Rabbit (ชื่อจริงคือ ควอน โดฮยอง) จะมีส่วนร่วมร่วมแต่งเพลง “For Youth” ร่วมกับ RM, j-hope และ SUGA สำหรับอัลบั้มรวม "Proof" ในปี 2022 ซึ่งสะท้อนเส้นทางการเดินทางของวง แต่ตอนนี้เขาได้หันไปโฟกัสกับอีกกลุ่มหนึ่งแทน
“ผมมั่นใจว่าสมาชิกและโปรดิวเซอร์ฝีมือดีที่ร่วมงานในอัลบั้มคัมแบ็คครั้งต่อไปจะสร้างอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมแน่นอน” — Slow Rabbit ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone
“ผมเองก็ตั้งตารอคัมแบ็คของ BTS เช่นกัน แต่สำหรับตอนนี้ ผมจะโฟกัสไปที่บทบาทของตัวเองในฐานะโปรดิวเซอร์หลักของ Tomorrow X Together”
.
🗣คุณได้ร่วมงานกับ BTS มาตั้งแต่พวกเขาเดบิวต์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับบทใหม่นี้ที่สมาชิกแต่ละคนโฟกัสที่อัลบั้มเดี่ยว ?
Pdogg : ในอดีต เราจะให้ความสำคัญกับการประสานเสียงและความกลมกลืนของทั้งทีมเป็นหลัก แต่เมื่อแต่ละคนเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยว แนวทางก็เปลี่ยนไปเป็นการเน้นจุดเด่นเฉพาะตัวของสมาชิกแต่ละคน… ผมจะใส่ใจอย่างมากกับทิศทางที่แต่ละคนอยากเดิน และพยายามถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของพวกเขาให้ชัดเจนที่สุด
อัลบั้มเดี่ยวมักมีธีมที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างจากธีมและสารที่เรามักใช้ในกิจกรรมกลุ่ม นอกจากนี้ สมาชิกแต่ละคนก็มีโทนเสียงและแนวเพลงที่ตัวเองถนัดแตกต่างกันไป การทำงานเดี่ยวจึงเป็นโอกาสที่จะเผยด้านใหม่ ๆ ของศิลปะและตัวตนของแต่ละคนออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
🗣ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในเส้นทางดนตรีของคุณคืออะไร?
Pdogg: ผมคิดว่าเป็นตอนที่ผมได้ไปร่วมงาน Grammy Awards ในปี 2020 ตอนที่ BTS ขึ้นแสดงร่วมกับ Nas มันเป็นช่วงเวลาก่อนที่ Covid-19 จะระบาดไม่นาน การได้อยู่ตรงนั้น ได้เห็น BTS แสดงบนเวทีเดียวกับตำนานในวงการดนตรีด้วยตาตัวเอง ถือเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายมาก ๆ สำหรับผม มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่มีวันลืมในอาชีพของผมเลยครับ
🗣มีเพลงไหนบ้างที่คุณชื่นชอบที่สุดจากงานที่คุณเคยทำ?
Pdogg : หนึ่งในเพลงโปรดของผมคือ “Save ME” ของ BTS และผมชอบมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้มาก มันเป็นสไตล์วิดีโอที่มีการเต้นประกอบ แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษสำหรับผมคือบรรยากาศของท้องฟ้าครึ้ม ๆ ในวันนั้น ซึ่งมันเข้ากับความรู้สึกโดดเดี่ยวของเพลงได้อย่างลงตัว ทั้งท่าเต้นและอารมณ์โดยรวมของวิดีโอกลมกลืนกันมากในการถ่ายทอดความรู้สึกของเพลงนี้ ผมยังกลับไปดูมันอยู่บ่อย ๆ เลยครับ
EXCLUSIVE: Pdogg เปิดใจถึงเบื้องหลังการทำงานกับสมาชิก BTS ในยุคโซโล่ และตั้งเป้าสร้างสรรค์ซาวด์ใหม่ ๆ ให้กับ BTS ในอนาคต
อีกด้านหนึ่งของโลก Jin เพื่อนร่วมวงของเขา กำลังใส่รายละเอียดสุดท้ายให้กับ "Echo" อัลบั้มเดี่ยวชุดที่สองของเขาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวร็อก ซึ่งเจาะลึกลงไปในริฟฟ์ป๊อปพังก์ที่ร้อนแรง โปรดักชั่นบริตร็อกโรแมนติกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องสายออเคสตรา และแม้กระทั่งการบุกเบิกแนวคันทรีร็อกที่สนุกสนาน
ในขณะที่ j-hope และ Jin ได้ขยับปีกของตัวเองออกไปในเส้นทางเดี่ยว สมาชิกที่เหลือของ BTS — RM, SUGA, Jimin, V และ Jung Kook — ต่างก็ยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติในกองทัพเกาหลีใต้ตามข้อบังคับ จนกว่าจะปลดประจำการในเดือนนี้ (โดย Jin และ j-hope เริ่มเข้ารับราชการเร็วกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ซึ่ง Jin ปลดประจำการในเดือนมิถุนายน 2024 ส่วน J-Hope ปลดประจำการเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว) แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังคงยุ่งกับงานเพลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
สาเหตุก็เพราะค่ายเพลงและบริษัทบริหารจัดการของวงอย่าง HYBE ได้ใช้ช่วงเวลาหยุดพักเนื่องจากการเกณฑ์ทหาร เป็นโอกาสในการส่งเสริมการแสดงออกส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคน
RM ได้สำรวจแนวเพลงอินดี้อันลุ่มลึกในอัลบั้มเดี่ยวที่ได้รับคำชมอย่าง Right Person, Wrong Place
V ได้ดื่มด่ำกับกลิ่นอายแจ๊สย้อนยุคผ่านการร้องดูเอ็ทหลายเพลง รวมถึงเวอร์ชันใหม่ของ “White Christmas” ที่ร้องร่วมกับเสียงร้องของ Bing Crosby
Jung Kook ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งด้วยเพลงแนวป็อปตะวันตก
ส่วน Jimin ก็พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งเช่นกันด้วยแนวดนตรีดาร์กป็อปที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ตลอดช่วงเวลาที่สมาชิก BTS เข้ารับราชการทหารและออกเดินทางในเส้นทางเดี่ยว ได้มีทีมสร้างสรรค์ระดับแนวหน้าคอยอยู่เคียงข้างพวกเขา พวกเขาเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมเอกลักษณ์ทางดนตรีของสมาชิกแต่ละคน และผลักดันขอบเขตของ K-pop บนเวทีโลกให้กว้างไกลยิ่งขึ้น
บุคคลสำคัญที่อยู่ใจกลางของกระบวนการนี้คือ "Pdogg"โปรดิวเซอร์ตัวท็อปของวงการ K-pop ผู้ลึกลับ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังซาวด์ของ BTS มาตั้งแต่เปิดตัวในปี 2013 จนถึงปัจจุบัน
Pdogg ซึ่งมีชื่อจริงว่า คัง ฮโยวอน เขาดูแลทุกกระบวนการด้านดนตรีของ BTS อย่างรอบด้าน ในช่วงเวลาหายากที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ทาง Pdogg บอกกับ Rolling Stone ว่ากระบวนการทำงานของเขาเริ่มจากการสร้างสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับศิลปิน เพื่อรับฟังความคิด ความรู้สึก และไอเดียที่อยู่ในใจของพวกเขา ก่อนจะเริ่มต้นวางคอนเซ็ปต์ของเพลง
ในสตูดิโอ เขาจะเป็นผู้วางโครงสร้างเบื้องต้นของเพลง หรือเลือกเดโม่ที่เข้ากับคอนเซ็ปต์นั้น จากนั้นโดยทั่วไปจะให้ศิลปินเขียนเนื้อเพลงร่างแรกด้วยตัวเอง ก่อนจะเรียกทีมงานร่วมมือเข้ามาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานให้กลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ตามวิสัยทัศน์ทางดนตรีที่วางไว้
เมื่อพูดถึงการทำงานกับ BTS, Pdogg ระบอกว่า “กุญแจสำคัญคือการสื่อสาร”
เขาอธิบายว่า “ผมสื่อสารกับสมาชิกแต่ละคนโดยตรง เพราะเพลงและอัลบั้มของพวกเขามักจะเน้นเรื่องราวส่วนตัวของแต่ละคน ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับสมาชิกแต่ละคนมากพอสมควร พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคิด มุมมองต่อโลก แล้วเราก็สร้างเพลงที่สอดคล้องกับมุมมองเหล่านั้น และเลือกเดโมที่เหมาะสมที่สุด
โดยปกติแล้ว ศิลปินจะเป็นคนเขียนเนื้อเพลงร่างแรกด้วยตัวเอง จากนั้นผมจึงค่อยเพิ่มรายละเอียดและสร้างเพลงขึ้นมาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในระหว่างกระบวนการบันทึกเสียง เราทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาด้านศิลปะของพวกเขา ที่บางครั้งพวกเขาอาจยังไม่เคยได้แสดงออกมาก่อน”
Pdogg วัย 41 ปี ยังดูแลศิลปินฝึกหัด (trainee) รุ่นใหม่ของค่าย BIGHIT MUSIC ซึ่งเป็นบ้านของ BTS รวมถึงศิลปินรุ่นพี่อย่าง Lee Hyun และ Tomorrow X Together และบอยแบนด์วงใหม่ที่เพิ่งได้รับการยืนยันว่าจะเปิดตัวในไตรมาสที่สามของปี 2025
BIGHIT MUSIC เป็นหนึ่งในหลายค่ายภายใต้ HYBE — อาณาจักรบันเทิงระดับนานาชาติที่ BTS มีบทบาทสำคัญในการช่วยปลุกปั้น จากบริษัทจัดการศิลปินเล็ก ๆ สู่กลุ่มธุรกิจบันเทิงข้ามชาติที่หลากหลาย
Pdogg เริ่มต้นเส้นทางดนตรีของเขาเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยการทำงานร่วมกับผู้ก่อตั้ง HYBE และประธานคนปัจจุบัน บังชีฮยอก (ซึ่งยังใช้ชื่อโปรดิวเซอร์ว่า “Hitman” Bang) ในสมัยที่เครดิตผลงานของเขายังมีแค่ชื่อศิลปินอย่างวงสามคน 8Eight และนักร้องแนว R&B-pop อย่าง ลิมจองฮี เท่านั้น
“แม้ในตอนที่บริษัทยังมีขนาดเล็กอยู่ ประธานบัง ก็ยังลงทุนกับ mixing, mastering และการทำเพลงในทุกขั้นตอนเสมอ เขาผลักดันทุกอย่างจนกว่าเราจะได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการอย่างแท้จริง” Pdogg กล่าว
“ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว นับตั้งแต่ผมได้พบกับประธานบังเป็นครั้งแรก และผมก็มีแต่ความไว้วางใจในตัวเขาอย่างเต็มที่ เพราะเขาไม่เคยสั่นคลอนในความมุ่งมั่นต่อดนตรี และมีแรงผลักดันที่จะค้นหาซาวด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ … และในช่วงที่ผมเจอภาวะหมดไฟ เขาก็เป็นคนที่ยอมรับความเสี่ยงแทนผมและยังคงเชื่อมั่นในตัวผม นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมยังคงสามารถสร้างสรรค์ผลงานเพลงได้จนถึงทุกวันนี้”
Pdogg เปิดเผยว่าเขาสนใจเป็นการส่วนตัวที่จะ “ลองทำให้เสียงดนตรียุคกลางถึงปลายปี 2000s มีความร่วมสมัยมากขึ้น” และ “ค้นหาซาวด์ที่ผสมผสานแนวดนตรีที่ยังไม่เคยถูกนำข้ามมาสู่กระแสหลักของป๊อป” อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าในท้ายที่สุดจะเป็น BTS เองที่จะเป็นผู้นำทิศทางของซาวด์ในอนาคตของพวกเขา
แม้ว่า BTS จะประสบความสำเร็จสูงสุดในชาร์ต Billboard และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Grammy จากเพลงภาษาอังกฤษล้วนอย่าง “Dynamite” และ “Butter” (ซึ่งน่าสังเกตว่าไม่มีชื่อของ Pdogg ในเครดิต) แต่เขาก็ระบุว่าสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนวิธีการทำงานของเขาหรือทีมที่ร่วมงานกันในการสร้างเพลงใหม่ของ BTS
“มันมีความกดดันและความกังวลอยู่เสมอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของผมอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับผมเลย”
เขาเล่าว่า “ช่วงนี้ผมโฟกัสกับการค้นหาซาวด์ใหม่ ๆ โดยการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงระดับท็อปจากต่างประเทศในรูปแบบที่หลากหลาย ผมตั้งเป้าที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่แตกต่างจาก ‘Dynamite’ หรือ ‘Butter’ แต่ก็ยังคงต้องแน่ใจว่ามันจะสามารถเข้าถึงใจผู้ฟังระดับโลกได้เช่นเดิม”
สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดในอัลบั้มคัมแบ็คล่าสุดของ BTS — อย่างน้อยในส่วนของเครดิตเพลง — คือการขาดหายไปของ Slow Rabbit ซูเปอร์โปรดิวเซอร์อีกคนภายใต้ค่าย BIGHIT MUSIC ของ HYBE ซึ่งอยู่กับ BTS มาตั้งแต่เดบิวต์
แม้ว่า Slow Rabbit (ชื่อจริงคือ ควอน โดฮยอง) จะมีส่วนร่วมร่วมแต่งเพลง “For Youth” ร่วมกับ RM, j-hope และ SUGA สำหรับอัลบั้มรวม "Proof" ในปี 2022 ซึ่งสะท้อนเส้นทางการเดินทางของวง แต่ตอนนี้เขาได้หันไปโฟกัสกับอีกกลุ่มหนึ่งแทน
“ผมมั่นใจว่าสมาชิกและโปรดิวเซอร์ฝีมือดีที่ร่วมงานในอัลบั้มคัมแบ็คครั้งต่อไปจะสร้างอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมแน่นอน” — Slow Rabbit ให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone
.
🗣คุณได้ร่วมงานกับ BTS มาตั้งแต่พวกเขาเดบิวต์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คุณรู้สึกอย่างไรบ้างกับบทใหม่นี้ที่สมาชิกแต่ละคนโฟกัสที่อัลบั้มเดี่ยว ?
Pdogg : ในอดีต เราจะให้ความสำคัญกับการประสานเสียงและความกลมกลืนของทั้งทีมเป็นหลัก แต่เมื่อแต่ละคนเริ่มทำอัลบั้มเดี่ยว แนวทางก็เปลี่ยนไปเป็นการเน้นจุดเด่นเฉพาะตัวของสมาชิกแต่ละคน… ผมจะใส่ใจอย่างมากกับทิศทางที่แต่ละคนอยากเดิน และพยายามถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของพวกเขาให้ชัดเจนที่สุด
อัลบั้มเดี่ยวมักมีธีมที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นของแต่ละคน ซึ่งแตกต่างจากธีมและสารที่เรามักใช้ในกิจกรรมกลุ่ม นอกจากนี้ สมาชิกแต่ละคนก็มีโทนเสียงและแนวเพลงที่ตัวเองถนัดแตกต่างกันไป การทำงานเดี่ยวจึงเป็นโอกาสที่จะเผยด้านใหม่ ๆ ของศิลปะและตัวตนของแต่ละคนออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
🗣ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในเส้นทางดนตรีของคุณคืออะไร?
Pdogg: ผมคิดว่าเป็นตอนที่ผมได้ไปร่วมงาน Grammy Awards ในปี 2020 ตอนที่ BTS ขึ้นแสดงร่วมกับ Nas มันเป็นช่วงเวลาก่อนที่ Covid-19 จะระบาดไม่นาน การได้อยู่ตรงนั้น ได้เห็น BTS แสดงบนเวทีเดียวกับตำนานในวงการดนตรีด้วยตาตัวเอง ถือเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายมาก ๆ สำหรับผม มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่มีวันลืมในอาชีพของผมเลยครับ
🗣มีเพลงไหนบ้างที่คุณชื่นชอบที่สุดจากงานที่คุณเคยทำ?
Pdogg : หนึ่งในเพลงโปรดของผมคือ “Save ME” ของ BTS และผมชอบมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้มาก มันเป็นสไตล์วิดีโอที่มีการเต้นประกอบ แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษสำหรับผมคือบรรยากาศของท้องฟ้าครึ้ม ๆ ในวันนั้น ซึ่งมันเข้ากับความรู้สึกโดดเดี่ยวของเพลงได้อย่างลงตัว ทั้งท่าเต้นและอารมณ์โดยรวมของวิดีโอกลมกลืนกันมากในการถ่ายทอดความรู้สึกของเพลงนี้ ผมยังกลับไปดูมันอยู่บ่อย ๆ เลยครับ