ผู้นำที่ "ดุดัน" แต่ "สร้างผลงาน" คุณว่า...น่าทำงานด้วยไหม? #MadUnicorn #รุ่ยเจี๋ย #เว่ยเจี๋ยตัวจริง

สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวพันทิป

วันนี้ผมจะมาคุยเรื่อง "ผู้นำในยุคนี้...ต้องเป็นยังไงกันแน่?" ครับ ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิดที่ผมได้ฟังจากนักธุรกิจตัวจริงที่ชื่อ เว่ยเจี๋ย (หรือที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยจากซีรีส์ Mad Unicorn สงครามส่งด่วน ในชื่อ รุ่ยเจี๋ย) ซึ่งเขามีมุมมองที่เฉียบคมและอาจจะฟังดูดิบ ๆ ไปบ้าง แต่รับรองว่ามีอะไรให้เราคิดตามเยอะเลยครับ ผมขอสรุปและให้ความเห็นในสไตล์ของผมเองนะครับ



บริษัทที่ดี กับ คนที่ใช่: ใครอยู่ใครไป?
เรื่องแรกที่น่าสนใจคือเรื่องของการลาออกในองค์กรครับ เขามองว่า "ถ้าบริษัทคุณแย่ คนเก่ง ๆ มักจะไปก่อน แต่ถ้าบริษัทคุณดี คนที่อยู่ไม่ไหวก็มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ"
- ในมุมมองของผม: ผมว่ามันก็จริงอย่างที่เขาพูดนะ ลองคิดดูสิครับ ถ้าองค์กรไม่มีทิศทางที่ดี ไม่ส่งเสริมการเติบโต คนที่มีความสามารถ มีวิสัยทัศน์ เขาก็ไม่รอให้ตัวเองจมอยู่กับที่หรอกครับ เขาก็ต้องไปหาที่ใหม่ที่ดีกว่า เพื่อพัฒนาตัวเองต่อ ส่วนคนที่ไม่พัฒนาตัวเอง ก็มักจะเลือกอยู่ในคอมฟอร์ตโซนเดิม ๆ ต่อไป แต่ในทางกลับกัน ถ้าบริษัทมีศักยภาพ มีโอกาสให้เติบโตสูง คนเก่งจริง ๆ ก็มักจะอยู่ต่อเพื่อสร้างผลงาน ส่วนคนที่ไปก็อาจจะเป็นคนที่ตามไม่ทัน หรือไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ได้ มันเป็นกลไกธรรมชาติของการคัดสรรบุคลากรเลยล่ะครับ



ผู้นำที่ "ชนะ" คือผู้นำที่ "ใช่"
ส่วนเรื่องของความเป็นผู้นำ เขาบอกไว้ชัดเจนว่า "ผู้นำที่ดี ไม่ใช่แค่คนพูดเก่ง ไม่ใช่แค่คนใจดี แต่ต้องพาทีมไปสู่ชัยชนะได้"
- ในมุมมองของผม: นี่แหละคือแก่นแท้ของความเป็นผู้นำครับ ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ การเป็นคนดีอย่างเดียวอาจไม่พอ ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ ตัดสินใจเฉียบขาด และที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถนำพาทีมไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จริง ๆ ชัยชนะ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ คือสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับทีม และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของผู้นำได้ดีที่สุดครับ ผู้นำที่มัวแต่ขายฝันแต่ไม่เคยนำพาทีมไปสู่ความสำเร็จ ก็คงไม่มีใครอยากเดินตามจริงไหมครับ

"คนเก่ง" ไม่ต้องโอ๋...เพราะเขารู้คุณค่าตัวเอง
ประเด็นที่หลายคนอาจจะสะดุดใจคือเรื่องการดูแลพนักงานครับ เขาบอกว่า "พนักงานที่เจ๋งจริง ๆ ไม่ต้องไปโอ๋อะไรมากหรอก เพราะเขารู้ดีว่าเขามีดีแค่ไหน"
- ในมุมมองของผม: ฟังดูเผิน ๆ อาจจะรู้สึกว่าโหดไปหน่อย แต่ถ้าลองพิจารณาดี ๆ คนที่มีความสามารถสูง มีผลงานที่โดดเด่น พวกเขามักจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงครับ ไม่ได้ต้องการคำชมเชยหรือการเอาใจตลอดเวลา สิ่งที่พวกเขาต้องการคือโอกาสในการแสดงศักยภาพ การได้รับการยอมรับในสิ่งที่ทำ และการเติบโตในสายอาชีพมากกว่าการมานั่งปลอบโยน แต่แน่นอนว่าในฐานะหัวหน้า เราก็ต้องมีวิธีการสื่อสารและการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับคนเก่งแต่ละประเภทด้วยนะครับ

คำวิจารณ์เพื่อ "พัฒนา" ไม่ใช่ "ทำลาย"
เมื่อต้องตำหนิลูกน้อง เขาเน้นย้ำว่า "เวลาตำหนิลูกน้อง ต้องตำหนิเรื่องงาน ไม่ใช่ไปโจมตีเรื่องส่วนตัว ผู้นำที่ดีต้องช่วยแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่ด่าเอามัน"
- ในมุมมองของผม: ข้อนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่เลยครับ การวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์คือหัวใจของการพัฒนา การตำหนิควรมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดและหาทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้และเก่งขึ้น ไม่ใช่การใช้อารมณ์หรือการโจมตีบุคคล ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังจะบั่นทอนกำลังใจและความสัมพันธ์ในทีมด้วยครับ

"ออฟฟิศคือที่ทำงาน"...ตรงไปตรงมาแต่ได้ผล
อีกประเด็นที่ชัดเจนคือเรื่องการทำงานครับ "ออฟฟิศคือที่ทำงาน ไม่ใช่ที่หาเพื่อน ผมพูดตรง ๆ แบบนี้มันชัดเจนดี"
- ในมุมมองของผม: เป็นแนวคิดที่อาจจะดูแข็งกระด้างไปบ้าง แต่ก็สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงานได้อย่างดีครับ ถ้าทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเรามาทำงานเพื่อสร้างผลลัพธ์ ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเป้าหมายหลักของการมาทำงานคือการทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดครับ

ถ้า "ไม่ deliver" ก็อย่า "เรียกร้อง"
เขายังย้ำถึงหลักการทำงานแบบ Win-Win ว่า "ถ้าคุณสร้างคุณค่าให้องค์กรได้ ผมก็พร้อมทุ่มเทให้คุณเต็มที่ แต่ถ้าคุณไม่มีผลงาน แล้วจะมาเรียกร้องอะไร มันก็ไม่ใช่การทำงานแบบ Win-Win สิ"
- ในมุมมองของผม: นี่คือความจริงที่ทุกคนควรเข้าใจครับ การทำงานคือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกัน พนักงานสร้างคุณค่าให้องค์กร องค์กรก็ตอบแทนด้วยเงินเดือน สวัสดิการ และโอกาสในการเติบโต ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง ก็ยากที่จะเดินหน้าไปด้วยกันได้ครับ

จาก "ศูนย์" สู่ "เชี่ยวชาญ": ลงมือทำจริงคือหัวใจ
สุดท้าย เขาพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจหรือสร้างระบบว่า "ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาให้เข้าใจลึกซึ้ง และต้องลงมือทำเอง เพื่อให้รู้ว่าอะไรควรทำก่อนหลัง ถ้าไม่ลุยเอง ก็คุมเกมไม่ได้"
- ในมุมมองของผม: นี่คือหลักการที่ผมยึดถือมาตลอดครับ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม การลงมือทำจริง การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จะทำให้เราเข้าใจปัญหาและสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ การที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งได้ ก็ต้องผ่านการลองผิดลองถูก และการเรียนรู้จากภาคปฏิบัติจริง ๆ ครับ

เคล็ดลับมนุษย์เงินเดือน: เข้าใจเจ้านาย เข้าใจตัวเอง
สำหรับพนักงานเอง เขาก็มีข้อคิดให้ว่า "มนุษย์เงินเดือนที่ดีต้องรู้ว่าทำยังไงให้เจ้านายรัก" และยังบอกอีกว่า "คนเก่งเทคนิคอาจจะติดเรื่องการนำเสนอ แต่ในวงการเทคโนโลยีระดับโลก ผู้นำเก่ง ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนเชื้อสายอินเดียที่พรีเซนต์เก่งมาก ๆ"
- ในมุมมองของผม: สองข้อนี้สำคัญมากครับ การเป็นที่รักของเจ้านายไม่ได้แปลว่าต้องประจบ แต่หมายถึงการเข้าใจความต้องการของเจ้านาย และส่งมอบผลงานที่ตอบโจทย์ความคาดหวังได้ ส่วนเรื่องการนำเสนอผลงาน แม้เราจะเก่งแค่ไหน ถ้าสื่อสารออกมาให้คนอื่นเข้าใจไม่ได้ ก็อาจจะพลาดโอกาสดี ๆ ไปได้ครับ การพัฒนาทักษะการสื่อสารและการนำเสนอจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรให้ความสำคัญไม่แพ้ความรู้ทางเทคนิคเลยครับ

ความรู้สึกของผม: ผู้นำแบบนี้...ทั้งอยากทำงานด้วยและไม่อยากทำงานด้วย
หลังจากที่ได้ฟังแนวคิดเหล่านี้ ผมขอสรุปความรู้สึกในฐานะสุดยอดบรรณาธิการแบบตรงไปตรงมานะครับ

สิ่งที่ทำให้ผมอยากทำงานด้วย:
- ความชัดเจนในเป้าหมาย: เขาเน้นผลลัพธ์และความตรงไปตรงมา ทำให้การทำงานมีทิศทางชัดเจน ไม่ต้องเดาใจหรือเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น
- โอกาสในการพัฒนาตัวเอง: แม้จะดุดัน แต่คำตำหนิของเขามุ่งเน้นการพัฒนา ทำให้เรารู้จุดอ่อนและสามารถแก้ไขให้เก่งขึ้นได้จริง
- เห็นคุณค่าของผลงาน: ถ้าเรา "deliver value" เขาก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ นี่คือสิ่งที่คนทำงานทุกคนต้องการ คือการได้รับการยอมรับในผลงานของตัวเอง

สิ่งที่ทำให้ผมอาจจะไม่อยากทำงานด้วย:
- ขาดความยืดหยุ่นในเรื่องความรู้สึก: แนวคิดที่ว่า "ด่าแล้วร้องไห้ก็ช่างแ-่ง" อาจทำให้พนักงานรู้สึกกดดันและขาดกำลังใจในระยะยาว บรรยากาศการทำงานที่ตึงเครียดตลอดเวลาก็อาจทำให้คนเก่ง ๆ ที่อ่อนไหวทางอารมณ์ทนไม่ไหว
- ความเป็นมนุษย์สัมพันธ์อาจจะน้อย: การเน้นย้ำว่า "ออฟฟิศไม่ใช่ที่หาเพื่อน" อาจทำให้ขาดการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีม ซึ่งบางครั้งความสัมพันธ์ที่ดีก็ช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้นได้มากเลยนะครับ
- อาจเหมาะกับคนบางประเภทเท่านั้น: แนวทางการบริหารแบบนี้อาจเหมาะกับคนที่มีความมุ่งมั่นสูง ไม่แคร์เรื่องอารมณ์ แต่ถ้าคุณเป็นคน sensitive หรือต้องการบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตร อาจจะไม่ใช่ที่ที่สบายใจนัก

โดยรวมแล้ว ผมมองว่าแนวคิดของเขามีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนทำงาน และผู้นำต้องการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบไหน แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือแนวคิดเหล่านี้ทำให้เราได้กลับมาคิดทบทวนว่า "ผู้นำที่ดี" ในยุคนี้ ควรมีคุณสมบัติและแนวทางในการบริหารคนอย่างไรกันแน่ครับ


คิดว่าผู้นำแบบนี้ "โดนใจ" หรือ "ไม่ใช่เลย" ครับ?
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่