เราชาวมุสลิมมักสงสัยว่าใครเป็นผู้กำหนดว่า
อัลลอฮ์ "จะทรงรับการละหมาด" หรือ "ไม่ยอมรับการละหมาด" ในรูปแบบใด นั้นนักวิชาการอาศัยคำแนะนำที่อ่านพบได้ ในคัมภีร์อัลกุรอานและ หะดีษ, อย่างแน่นอนผู้ที่ตำหนิหรือประณามว่าการละหมาดเช่นนั้น/เช่นนี้อัลลอ์ไม่รับนั้น บุคคลเหล่านี้ อย่างแน่นอน พวกเขาก็ไม่อาจจะอ่านใจของอัลลอฮ์ได้ เขาเพียงแต่ปฏิบัติตามหลักปฏิบัติและแนวทางทางศาสนาที่กำหนดไว้เท่านั้น คำแนะนำเหล่านั้นอาจะได้มาจากอัลกุรอานซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มเดียว ของศาสนาอิสลาม อันมีบทต่างๆ ที่อธิบายความสำคัญของการละหมาด (ศอละห์) และวิธีการละหมาดที่ถูกต้องไว้ อีกอย่างหนึ่งก็คือฮะดีษ และซุนนะห์ ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่าอาจจะเป็นคำสอนและการกระทำที่แท้จริงของท่านศาสดมูฮัมมัดที่ถูกบันทึกไว้ ซึ่งให้บริบทเพิ่มเติมและคำแนะนำเกี่ยวกับการละหมาด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ มุสลิมเข้าใจว่า นักวิชาการมุสลิมคือผู้ที่กำหนดว่าอัลลอฮ์จะทรงอนุมัติการละหมาดแบบใดโดยอาศัยคำแนะนำในคัมภีร์อัลกุรอานและคำสอน(ฮะดีษ) และการปฏิบัติ(ซุนนะห์) ของท่านศาสดามูฮัมหมัด ถึงแม้ว่านักวิชาการเหล่านั้นจะไม่สามารถอ่านใจของอัลลอฮ์ได้ แต่เขาเหล่านั้นปฏิบัติตามหลักปฏิบัติและแนวทางทางศาสนาที่กำหนดไว้
แหล่งที่มาของคำแนะนำได้แก่:
อัลกุรอาน:
คัมภีร์ของศาสนาอิสลามมีบทต่างๆ ที่อธิบายความสำคัญของการละหมาด (ศอละห์) และวิธีการละหมาดที่ถูกต้อง
ฮะดีษและซุนนะห์:
คำพูดและการกระทำที่บันทึกไว้ของศาสดามูฮัมหมัด ซึ่งให้บริบทเพิ่มเติมและคำแนะนำเกี่ยวกับการละหมาด
หลักการสำคัญ
****
เจตนา (นียะห์): มุสลิมต้องมีเจตนาที่ถูกต้องเมื่อละหมาด เนื่องจากความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญต่อการยอมรับการละหมาดประจำวันทั้ง 5 เวลา การละหมาดภาคบังคับ (ศอละห์) ถูกกำหนดให้ละหมาดในเวลาที่กำหนดไว้ตลอดทั้งวัน และการปฏิบัติให้ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญ
ชุมชนและประเพณี:
การปฏิบัติหลายอย่างยังได้รับอิทธิพลจากฉันทามติของนักวิชาการและประเพณีของชุมชนมุสลิมอีกด้วย การเชื่อมโยงส่วนตัว:
มุสลิมเชื่อว่าการสวดมนต์เป็นรูปแบบการสื่อสารโดยตรงกับอัลลอฮ์ และมุสลิมพยายามทำให้การกระทำของตนสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ทางศาสนา
โดยสรุป ชาวมุสลิมอาศัยคัมภีร์ทางศาสนาและแนวทางปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับเพื่อทำความเข้าใจวิธีการละหมาดในลักษณะที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงพอพระทัย
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว พบว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่ท่าทางในการละหมาดหรือการอ่านท่องอัลกุรอานอย่างถูกต้อง แต่อยู่ที่เจตนา (นียะห์) ทั้งนี้มุสลิมจะต้องมีเจตนาที่ถูกต้องเมื่อละหมาด เนื่องจากความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญต่อการยอมรับการละหมาดภาคบังคับประจำวัน ทั้ง 5 เวลา ซึ่งเวลาต่างๆได้ถูกกำหนดให้ละหมาดในเวลาที่กำหนดไว้ตลอดทั้งวัน และการปฏิบัติให้ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญ การปฏิบัติหลายอย่างยังได้รับอิทธิพลจากฉันทามติของนักวิชาการและประเพณีของชุมชนมุสลิมอีกด้วย, มุสลิมส่วนมากเชื่อว่าการการทำละหมาดเป็นรูปแบบการสื่อสารโดยตรงกับอัลลอฮ์ ดังนั้นมุสลิมทุกๆคนพยายามอย่างยิ่งที่จะทำการละหมาดให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของ อัลลอฮ์ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน
ความตั้งใจในตอนต้นของการละหมาดหรือการประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม เกี่ยวข้องกับหัวใจ หมายความว่าเป็นความตั้งใจหรือความคิดที่เกิดขึ้นในหัวใจเกี่ยวกับการกระทำนั้นๆ ไม่มีคำวิงวอนจากอัลกุรอานหรือหะดีษที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการตั้งเจตนาของมุสลิม อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะเห็นและเข้าใจได้ เรื่องของเจตนาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การละหมาดเท่านั้น แต่ใช้ได้กับการประกอบพิธีกรรมใดๆ เช่น การตั้งเจตนาไว้ก่อนชำระร่างกายก่อนอาบน้ำ ก่อนจ่ายซะกาต และก่อนบริจาคทาน การประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม จะต้องตั้งเจตนาก่อนและเป็นเรื่องของความตั้งใจในหัวใจ ไม่มีคำพูดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเรื่องนี้
โดยพื้นฐานแล้ว คำพูดจำเป็นสำหรับลิ้น แต่หัวใจไม่ต้องการคำพูด หัวใจในที่นี้หมายถึงความคิดที่อยู่ลึกมากกว่าคำพูด
โดยสรุป มุสลิมเราอาศัยคัมภีร์อัลกุรอานและแนวทางปฏิบัติ (ซุนนะห์) อันเป็นที่ยอมรับเพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการละหมาดหรือการวิงวอนในลักษณะที่อัลลอฮ์ทรงพอใจ สิ่งนั้นก็คือความตั้งใจอย่างจริงใจและความเชื่อมั่นในศรัทธาอย่างลึกซึ้ง นั้นก็คือผู้ที่กำลังทำการละหมาดอยู่เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าการทำละหมาดนั้นเป็นที่ยอมรับของพระองค์อัลลอฮ์หรือไม่?
ใครคือผู้กำหนดว่าอัลลอฮ์ "จะทรงรับการละหมาด" หรือ "ไม่ยอมรับการละหมาด" ในรูปแบบใดของมุสลิม?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว พบว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นไม่ใช่ท่าทางในการละหมาดหรือการอ่านท่องอัลกุรอานอย่างถูกต้อง แต่อยู่ที่เจตนา (นียะห์) ทั้งนี้มุสลิมจะต้องมีเจตนาที่ถูกต้องเมื่อละหมาด เนื่องจากความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญต่อการยอมรับการละหมาดภาคบังคับประจำวัน ทั้ง 5 เวลา ซึ่งเวลาต่างๆได้ถูกกำหนดให้ละหมาดในเวลาที่กำหนดไว้ตลอดทั้งวัน และการปฏิบัติให้ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญ การปฏิบัติหลายอย่างยังได้รับอิทธิพลจากฉันทามติของนักวิชาการและประเพณีของชุมชนมุสลิมอีกด้วย, มุสลิมส่วนมากเชื่อว่าการการทำละหมาดเป็นรูปแบบการสื่อสารโดยตรงกับอัลลอฮ์ ดังนั้นมุสลิมทุกๆคนพยายามอย่างยิ่งที่จะทำการละหมาดให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของ อัลลอฮ์ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน
ความตั้งใจในตอนต้นของการละหมาดหรือการประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม เกี่ยวข้องกับหัวใจ หมายความว่าเป็นความตั้งใจหรือความคิดที่เกิดขึ้นในหัวใจเกี่ยวกับการกระทำนั้นๆ ไม่มีคำวิงวอนจากอัลกุรอานหรือหะดีษที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการตั้งเจตนาของมุสลิม อัลลอฮ์เท่านั้นที่จะเห็นและเข้าใจได้ เรื่องของเจตนาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การละหมาดเท่านั้น แต่ใช้ได้กับการประกอบพิธีกรรมใดๆ เช่น การตั้งเจตนาไว้ก่อนชำระร่างกายก่อนอาบน้ำ ก่อนจ่ายซะกาต และก่อนบริจาคทาน การประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม จะต้องตั้งเจตนาก่อนและเป็นเรื่องของความตั้งใจในหัวใจ ไม่มีคำพูดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเรื่องนี้
โดยพื้นฐานแล้ว คำพูดจำเป็นสำหรับลิ้น แต่หัวใจไม่ต้องการคำพูด หัวใจในที่นี้หมายถึงความคิดที่อยู่ลึกมากกว่าคำพูด
โดยสรุป มุสลิมเราอาศัยคัมภีร์อัลกุรอานและแนวทางปฏิบัติ (ซุนนะห์) อันเป็นที่ยอมรับเพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีการละหมาดหรือการวิงวอนในลักษณะที่อัลลอฮ์ทรงพอใจ สิ่งนั้นก็คือความตั้งใจอย่างจริงใจและความเชื่อมั่นในศรัทธาอย่างลึกซึ้ง นั้นก็คือผู้ที่กำลังทำการละหมาดอยู่เท่านั้นที่จะบอกได้ว่าการทำละหมาดนั้นเป็นที่ยอมรับของพระองค์อัลลอฮ์หรือไม่?