สงครามบุฟเฟต์ 2568: MK 299 vs. ตี๋น้อย 199 – คุยกันแบบเพื่อน!

เฮ้ย แก! ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงนะ MK ออกบุฟเฟต์ 299 แล้วตี๋น้อยตอกกลับ 199 เนี่ย บอกเลยว่ามันส์แน่! แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องราคาถูกลงนะเว้ย มันมีอะไรซ่อนอยู่เยอะเลย ลองมาคุยกันดูดิว่าเราได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้บ้าง:

1. ลดราคาเนี่ย มันได้ไม่คุ้มเสียรึเปล่า?
ลองคิดดูดิ่ การที่ MK ที่ปกติขายแพงหน่อยลงมา 299 เนี่ย อาจจะดึงลูกค้าใหม่ๆ ได้จริงแหละ หรืออาจจะอยากใช้ของที่มีให้หมดๆ ไป แต่ตี๋น้อยที่ถูกอยู่แล้วจะไป 199 อีกเนี่ยนะ? มันคือการแข่งกันว่าใครจะ "ยอมเจ็บ" ได้มากกว่ากัน สุดท้ายแล้วถ้าแข่งลดราคาอย่างเดียว กำไรมันจะหายไปหมด แล้วใครจะอยู่รอด? แถมลูกค้าอาจจะติดภาพว่าของถูก แล้วจะกลับมาขายแพงยากแล้วนะ

2. แบรนด์เราคืออะไร? ลูกค้าจำอะไรได้?
MK: เค้าขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ บริการดี สะอาด การที่มา 299 เนี่ย ต้องคิดให้ดีนะว่า ลูกค้าเดิมที่ยอมจ่ายแพงกว่าจะรู้สึกยังไง? แบรนด์มันจะดู "ลดเกรด" ลงไปมั้ย? หรือ 299 เนี่ยคือโปรโมชั่นพิเศษ หรือมีเมนูที่ต่างออกไป? ต้องสื่อสารให้ชัดเจนไม่งั้นเสียของเลยนะ
ตี๋น้อย: เค้ามากับสโลแกน "ถูกและคุ้ม" อยู่แล้ว การลดเหลือ 199 ยิ่งตอกย้ำเรื่องนี้ แต่คำถามคือ คุณภาพจะยังไหวอยู่ไหม? หรือมันจะกลายเป็นถูกจนแย่ไปเลย? เค้าต้องหาจุดเด่นอื่นมาเสริมแล้วล่ะ นอกเหนือจากราคาถูกที่สุด

3. หลังบ้านใครเจ๋งกว่ากัน?
นี่แหละคือหัวใจสำคัญ! การลดราคาขนาดนี้เนี่ย มันวัดกันเลยว่าใครมี ต้นทุนที่ถูกกว่า และ จัดการได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
สั่งของได้ถูกกว่ามั้ย? ใครมีคอนเนคชั่นกับซัพพลายเออร์ดีกว่า?
บริหารจัดการร้านดีแค่ไหน? ลดของเสียได้เยอะแค่ไหน? จ้างพนักงานเท่าไหร่?
หมุนเวียนลูกค้าได้เร็วแค่ไหน? โต๊ะนึงนั่งนานแค่ไหน จะพลิกโต๊ะได้กี่รอบต่อวัน?
ถ้าหลังบ้านไม่แน่นนะ ราคาถูกแค่ไหนก็เจ๊งได้ง่ายๆ เลยล่ะ!
ที่แน่ๆ MK หลังบ้านมีปัญหาไปแล้ว

4. ลูกค้าเค้าซื่อสัตย์จริงป่าว?
เรื่องนี้จะบอกเลยว่าลูกค้าเราเป็นพวก สายเปย์แบรนด์ หรือ สายของถูก กันแน่?
ลูกค้า MK อาจจะยังไงก็กิน MK เพราะชอบรสชาติ บรรยากาศ หรือติดแบรนด์
ส่วนลูกค้าตี๋น้อยอาจจะลองไป MK เพราะ 299 ก็ไม่ได้แพงกว่ากันเยอะมากแล้ว
หรือบางคนก็แค่ "ตามโปร" ไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจแบรนด์อะไรเป็นพิเศษ
เราต้องเข้าใจลูกค้าตัวเองให้ดีว่าเค้าตัดสินใจจากอะไร ถ้าเรามีของดีจริง บริการดีจริง บางทีลูกค้าก็ยอมจ่ายแพงกว่านิดหน่อยเพื่อสิ่งนั้นนะ
คิดดีๆนะ กลุ่มลูกค้าเราคือใคร

5. อนาคตเราจะไปทางไหน?
การแข่งราคาเนี่ย มันเป็นแค่แทคติกสั้นๆ นะเว้ย ระยะยาวแล้วไม่มีใครอยากแข่งแบบนี้ตลอดไปหรอก
ต้องมองหาของใหม่ๆ: มีเมนูอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่คู่แข่งไม่มีมั้ย?
ประสบการณ์ลูกค้า: ทำยังไงให้ลูกค้าประทับใจตั้งแต่เดินเข้าร้านจนออกจากร้าน?
ใช้เทคโนโลยี: มีระบบจัดการร้านที่ดีขึ้น หรือมีช่องทางออนไลน์ใหม่ๆ รึเปล่า?
สรุปคือ สงครามราคาเนี่ยมันเป็นแค่ปลายเหตุ ของจริงมันอยู่ที่ว่าใครมี รากฐานที่แข็งแกร่งกว่า เข้าใจลูกค้าตัวเองมากกว่า และ พร้อมที่จะพัฒนาไปข้างหน้า ได้ตลอดเวลามากกว่ากันนั่นแหละ!
แกคิดว่าไงบ้างล่ะ? ถ้าเป็นเรา เราจะเลือกกินร้านไหนตอนนั้น?
แต่ที่แน่ๆ มันแสดงอะไรให้พวกเราเห็นว่า เจ้าของธุรกิจ เวลาเจอศึกหนักๆ และมีข้อมูลในการวิเคราะห์น้อย  หรือตีโจทย์พลาด ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่