เรื่องย่อ
"Operation Finale" เป็นภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญที่สร้างจากเรื่องจริง ออกฉายในปี 2018 กำกับโดย Chris Weitz เล่าเรื่องราวภารกิจอันตรายและสำคัญยิ่งของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล (มอสสาด) ในการตามล่าและจับกุม Adolf Eichmann (Ben Kingsley) อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาซี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการ "ทางออกสุดท้าย" (Final Solution) ที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) เขาหลบหนีไปใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในประเทศอาร์เจนตินามานานหลายปี
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1960 เมื่อมอสสาดได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับที่ซ่อนของ Eichmann ทีมปฏิบัติการลับที่นำโดย Peter Malkin (Oscar Isaac) เจ้าหน้าที่หนุ่มผู้ชาญฉลาดและมีปมในใจจากเหตุการณ์ Holocaust ได้ถูกส่งไปยังอาร์เจนตินาเพื่อดำเนินการจับกุมและลักพาตัว Eichmann กลับไปยังอิสราเอลเพื่อขึ้นศาลดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ภารกิจนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดและอันตราย ทีมงานต้องทำงานแข่งกับเวลาและเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งการหลบหนีจากหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของอาร์เจนตินาที่อาจให้ความคุ้มครองอดีตนาซี และการรับมือกับความไม่แน่นอนของตัว Eichmann เอง ภาพยนตร์เน้นไปที่การปะทะทางจิตวิทยาระหว่าง Malkin และ Eichmann โดย Malkin ต้องใช้ไหวพริบและความสามารถในการอ่านใจมนุษย์เพื่อทำให้ Eichmann ยอมรับในตัวตนของเขาและให้ความร่วมมือในการเดินทางกลับอิสราเอล
ความรู้สึกหลังรับชม
"Operation Finale" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความตึงเครียดและน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ การเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่เต็มไปด้วยความกดดัน ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ร่วมอยู่ในปฏิบัติการลับนี้ด้วย ตัวภาพยนตร์เน้นไปที่ด้านการสืบสวน การวางแผน และการปะทะทางจิตวิทยามากกว่าฉากแอ็คชั่นที่รุนแรง ซึ่งทำให้เรื่องราวมีมิติและน่าสนใจยิ่งขึ้น
การแสดงของนักแสดงนำนั้นยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะ
Ben Kingsley ในบท Adolf Eichmann เขาถ่ายทอดความเย็นชา ความฉลาดหลักแหลม และความไร้สำนึกในการกระทำของ Eichmann ได้อย่างน่าขนลุกและน่าเชื่อถือ เป็นการแสดงที่ทรงพลังและน่าจดจำ ในขณะที่
Oscar Isaac ในบท Peter Malkin ก็แสดงบทบาทของเจ้าหน้าที่ผู้แบกรับความเจ็บปวดในอดีตและต้องต่อสู้กับอารมณ์ส่วนตัวได้อย่างละเอียดอ่อน การปะทะกันระหว่าง Eichmann และ Malkin ในห้องสอบสวนเป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์ ที่เต็มไปด้วยการเชือดเฉือนทางคำพูดและจิตวิทยา
ภาพยนตร์ทำได้ดีในการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความยุติธรรม การแก้แค้น และการเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด โดยไม่ได้นำเสนอเพียงแค่การไล่ล่าอาชญากร แต่ยังสำรวจความซับซ้อนของตัวละครและความรู้สึกที่หลากหลายของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ Holocaust ด้วย
แม้ว่าบางส่วนของภาพยนตร์อาจจะมีจังหวะที่เนิบไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว "Operation Finale" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงที่น่าสนใจและสร้างอารมณ์ร่วมได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวชีวประวัติ ระทึกขวัญ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง
คะแนน IMDb และ Rotten Tomatoes ปัจจุบัน
IMDb: 6.5/10
Rotten Tomatoes: คะแนนจากนักวิจารณ์ 61% , คะแนนจากผู้ชม 69%
สรุป
"Operation Finale" คือภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญที่สร้างจากเรื่องจริงอันเข้มข้นของการจับกุมอาชญากรนาซี Adolf Eichmann ด้วยการแสดงอันทรงพลังของ Ben Kingsley และ Oscar Isaac การกำกับที่สร้างความตึงเครียด และการนำเสนอเรื่องราวที่เน้นการปะทะทางจิตวิทยา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบประสบการณ์การรับชมที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความยุติธรรม แม้คะแนนอาจจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่คุ้มค่าแก่การรับชมสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์และดราม่าที่อิงจากเหตุการณ์จริง.
Operation Finale: ปฏิบัติการล่าอาชญากรนาซี เรื่องจริงของการจับกุมสถาปนิกแห่งหายนะ
เรื่องย่อ
"Operation Finale" เป็นภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญที่สร้างจากเรื่องจริง ออกฉายในปี 2018 กำกับโดย Chris Weitz เล่าเรื่องราวภารกิจอันตรายและสำคัญยิ่งของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล (มอสสาด) ในการตามล่าและจับกุม Adolf Eichmann (Ben Kingsley) อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของนาซี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบหลักในการจัดการ "ทางออกสุดท้าย" (Final Solution) ที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (Holocaust) เขาหลบหนีไปใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในประเทศอาร์เจนตินามานานหลายปี
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1960 เมื่อมอสสาดได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับที่ซ่อนของ Eichmann ทีมปฏิบัติการลับที่นำโดย Peter Malkin (Oscar Isaac) เจ้าหน้าที่หนุ่มผู้ชาญฉลาดและมีปมในใจจากเหตุการณ์ Holocaust ได้ถูกส่งไปยังอาร์เจนตินาเพื่อดำเนินการจับกุมและลักพาตัว Eichmann กลับไปยังอิสราเอลเพื่อขึ้นศาลดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ภารกิจนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดและอันตราย ทีมงานต้องทำงานแข่งกับเวลาและเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งการหลบหนีจากหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของอาร์เจนตินาที่อาจให้ความคุ้มครองอดีตนาซี และการรับมือกับความไม่แน่นอนของตัว Eichmann เอง ภาพยนตร์เน้นไปที่การปะทะทางจิตวิทยาระหว่าง Malkin และ Eichmann โดย Malkin ต้องใช้ไหวพริบและความสามารถในการอ่านใจมนุษย์เพื่อทำให้ Eichmann ยอมรับในตัวตนของเขาและให้ความร่วมมือในการเดินทางกลับอิสราเอล
ความรู้สึกหลังรับชม
"Operation Finale" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างความตึงเครียดและน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ การเล่าเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไปแต่เต็มไปด้วยความกดดัน ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ร่วมอยู่ในปฏิบัติการลับนี้ด้วย ตัวภาพยนตร์เน้นไปที่ด้านการสืบสวน การวางแผน และการปะทะทางจิตวิทยามากกว่าฉากแอ็คชั่นที่รุนแรง ซึ่งทำให้เรื่องราวมีมิติและน่าสนใจยิ่งขึ้น
การแสดงของนักแสดงนำนั้นยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะ Ben Kingsley ในบท Adolf Eichmann เขาถ่ายทอดความเย็นชา ความฉลาดหลักแหลม และความไร้สำนึกในการกระทำของ Eichmann ได้อย่างน่าขนลุกและน่าเชื่อถือ เป็นการแสดงที่ทรงพลังและน่าจดจำ ในขณะที่ Oscar Isaac ในบท Peter Malkin ก็แสดงบทบาทของเจ้าหน้าที่ผู้แบกรับความเจ็บปวดในอดีตและต้องต่อสู้กับอารมณ์ส่วนตัวได้อย่างละเอียดอ่อน การปะทะกันระหว่าง Eichmann และ Malkin ในห้องสอบสวนเป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์ ที่เต็มไปด้วยการเชือดเฉือนทางคำพูดและจิตวิทยา
ภาพยนตร์ทำได้ดีในการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับความยุติธรรม การแก้แค้น และการเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด โดยไม่ได้นำเสนอเพียงแค่การไล่ล่าอาชญากร แต่ยังสำรวจความซับซ้อนของตัวละครและความรู้สึกที่หลากหลายของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ Holocaust ด้วย
แม้ว่าบางส่วนของภาพยนตร์อาจจะมีจังหวะที่เนิบไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว "Operation Finale" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงที่น่าสนใจและสร้างอารมณ์ร่วมได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวชีวประวัติ ระทึกขวัญ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง
คะแนน IMDb และ Rotten Tomatoes ปัจจุบัน
IMDb: 6.5/10
Rotten Tomatoes: คะแนนจากนักวิจารณ์ 61% , คะแนนจากผู้ชม 69%
สรุป
"Operation Finale" คือภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญที่สร้างจากเรื่องจริงอันเข้มข้นของการจับกุมอาชญากรนาซี Adolf Eichmann ด้วยการแสดงอันทรงพลังของ Ben Kingsley และ Oscar Isaac การกำกับที่สร้างความตึงเครียด และการนำเสนอเรื่องราวที่เน้นการปะทะทางจิตวิทยา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบประสบการณ์การรับชมที่น่าสนใจและชวนให้ขบคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความยุติธรรม แม้คะแนนอาจจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่คุ้มค่าแก่การรับชมสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์และดราม่าที่อิงจากเหตุการณ์จริง.