เลี้ยงลูก 2 ภาษา เรียน 2 ภาษา พ่อแม่ไทยแท้ ก็ทำได้

ได้เจอคำถามเรือ่งการเลี้ยงลูกสองภาษา เลี้ยงยังไง ให้ลูกพูดได้มากกว่า 1 ภาษาแล้วไม่สับสน วันนี้ มีคำตอบครับ
ผมคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว กับลูกสาวตัวป่วน ที่ตอนนี้ ไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกาเรียบร้อยแล้ว ด้วยการสอบทุนได้
ทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่ อยู่ในท้องเลยครับ


สรุปสั้นๆสำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านยาว
1.ใช้สองภาษาได้เลย ไม่ต้องกลัวสับสน
2.พ่อแม่คือหัวใจสำคัญ ต้องใช้ตั้งแต่ก่อนสอนลูก
3.แยกบริบทการใช้หใ้ดีลดความสับสน
4.ห้ามใช้แปบบแปลความหมาย ให้สื่อสารช่วยด้วยท่าทาง
5.เริ่มจากคำ ไปวลี สู่ประโยค และ สถานการณ์

ภาพจำลอง ขณะนี้ลูกสาวสอบได้ทุนการศึกษาไปเรียนไฮสคูลที่อเมริกาได้ 1 ปีและกำลังสอบเพื่อขอทุนอยู่ต่อจนจบไฮสคูล

เนื้อหาเต็ม
ย้อนกลับไปก่อนหน้าสักหน่อย พื้นฐานของพ่อและแม่ คือคนไทยแท้ๆ เรียนโรงเรียนไทย ชีวิตไม่เคยเรรียนอินเตอร์กันเลย พื้นฐานครอบครัวชนชั้นกลาง ลูกหลานข้าราชการ กับลูกหลานเจ้าของที่ทำเกษตรกรรมมาผสมพันธุ์กันออกมา
ฝ่ายแม่เรียนไทยล้วนๆ มหาลัยไทย ทำงานเจอกับนายฝรั่งจนขยับมาทำงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้าต่างชาติ
ฝ่ายพ่อ เรียนมหาลัยไทยแท้ๆ แต่สมัครไปฝึกงานต่างประเทศได้ ฝึกภษาเองคนเดียวไม่เทคคอร์สใดๆ จากนั้น ไปเรียนและทำงานต่างประเทศ จบมาก็ทำงานไทย ต่างประเทศ สลับๆวนเวียนไป

เมื่อมีลูก สิ่งที่ตั้งใจและวางแผนคือ ลูกจะต้องเกิดมาเป็นประชากรของโลกนี้ ไม่ใช่ต้องเก่งกาจระดับโลก แต่ เค้าต้องอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลก ปรับตัวง่าย จัดการตัวเองเป็น แน่นอนว่า ภาษาต้องได้ด้วย จึงจัดสินใจกับภรรยาว่า เราจะกระแดะกัน ใครจะมองยังไงไม่รู้ แต่เราจะกระแดะให้ถึงที่สุด เราจะพูดไทยคำ อังกฤษคำ สลับประโยค เราจะอุทานเป็นฝรั่ง หัวเราะเป็นฝรั่ง แต่เราจะพูดภาษาไทยชัดด้วย

จนลูกสาวตัวดีกำเนิดออกมา ก็ใช้วิธีแบบนั้นครับ คำทักทาย เราใช้เป็นภาษาอังกฤษ พูดกันติดปาก การแสดงออกเช่น ขอบคุณ ขอโทษ ใช้ภาษาอังกฤษ ในขณะที่ ก็พูดภาษาไทยกันแบบชัดแจ๋วด้วยในเสลาปกติ

ตัดมาช่วงเริ่มหัดพูด ข้ามช่วง หม่ำๆ ปะ ปะ บรือ บรือ ไปเลยนะครับ แต่อยากให้จินตนาการไว้ว่า  กระแดะกันมาตลอด แบบว่า ลูกร้องงอแงวิ่งชนโต๊ะ ก็ปลอบเป็นภาษาอังกฤษ "It's ok, it's ok, ust a tiny pain, let me blow it off"

พอลูกเริ่มเรียนรู้คำต่างๆ ทีนี้ ถือว่าเริ่มบทแรกอย่างแท้จริงครับ นั่นคือ เราจะเรียกสิ่งของต่างๆเป็นภาษาอังกฤษ และไทย แยกหมวดหมู่กัน เช่น ตัวเลข ใช้อังกฤษ สีใช้ไทย สัตว์ใช้อังกฤษ กริยาการกระทำต่างๆใช้ภาษาไทย
จะไม่มีการแปล และไม่สนใจด้วยว่ามันจะวิบัติขนาดไหน
"ดู two cats สีขาว นั่นสิ" โดย ทั้งสองภาษา พูดให้ชัดในแบบของมันทั้งสองภาษา  ไม่ใช่ภาษาไทยก็ไม่ชัด อังกฤษก็ไม่กระดิก  ร เรือ ล ลิง ควบกล้ำทไยชัด เสียง tw เสียง ts ชัดเจน

นอกจากนั้นเวลาเล่นเสิรมทักษะเช่น ของเล่นสีสันต่างๆ ก็ชวนกันพูดและเรียก พยายามให้เค้าเข้าใจโดยที่ไม่ต้องแปลอะไรเลย ใช้ภาษาร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนลูกสาว พูดในระบบนี้ และเริ่มผูกประโยคต่างๆได้เองมากขึ้น จากนั้น ก็เริ่มปรับครับ
ขั้นต่อไป จากคำ เป็นประโยค

คราวนี้ เราเปลี่ยนจากคำ เป็นประโยค แล้วแต่บริบทเลย โดยทั้งประโยคเป็นภาษาเเดียว แยกประโยคก็ใช้อีกภาษา  ให้เค้าจับข้อความแล้วผสมเอาเองตามบริบทของมัน
"Let's walk to the playground. ใครไปถึงก่อนได้กินไอติม! Are you ready?"
แน่นอนว่า มนุษย์พ่อก็ต้องแกล้งแพ้ให้ลูกได้กินไอติมถูกมั้ยครับ พอไปซื้อไอติม
"ได้เวลารับรางวัลคนชนะแล้ว Which icecream do you wanna have for your victory? เอาสตรอเบอรี่ หรือช็อคโกแล็ตดีเอ่ย Red or the brown one?"
ขณะที่ถามก็ชี้ไปด้วยครับ ว่าอันไหน คืออันไหน แล้วผมก็จะตอบโต้กับเค้า ต่อ ลูกสาวตอบว่า "I want strawverry" คุณพ่อตอบและชี้ถาม "สีแดงหรอ?" ลูกสาวตบมือ ตอบว่า "yeah a red icecream, a strawberry one" พอจ่ายเงิน ยื่นให้ ก็ให้ขอบคุณค่ะสวยๆ และพูดชัดๆแจ๋วเลย "ขอบคุณค่ะ"

อ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะเ)็นที่สงสัยกันว่า เด็กไม่งงตายชักหรอ?
คำตอบคือ งงบ้างครับ ในช่งแรกๆเวลาเจอบริบทอะไรใหม่ๆ เค้าจะงง แต่ เมื่อผสมกับสิ่งที่มี เค้าค่อยๆประกอบมันได้เมื่อไหร่ มันจะไปต่อได้เอง ลองนึกภาพเด็กที่มีพ่อฝรั่งแม่ไทย หรือ แม่ฝรั่งพ่อไทย พวกเค้า สื่อสารได้สองภาษา แยกคน ถูกมั้ยครับ สิ่งที่สื่อสารก็เืร่องเดียวกันนั่นแหละ แต่แยกภาษาตามคน อันนี้ ลูกจะงงหน่อยที่พ่อตัวเอง แม่ตัวเอง ใช้ภาษาผสมกัน แต่ เมื่อเราแยกประโยค แยกบริบทกัน เค้าจะต่อยๆผสมและใช้งานร่วมกันได้ครับ
เ)็นหน้าที่ของพ่อแม่ ที่ต้อง แยกบริบทให้เค้าว่าเมื่อไหร่ จะใช้ภาษาอะไร คอยจับสังเกตุว่าเค้าคล่องในบริบทนี้หรือยัง และหมั่นทำซ้ำๆ ใช้ประโยคซ้ำๆ คำซ้ำๆ พยายาม เริ่มและจบในแพทเทิร์นเดียวกัน

ต่อมาเมื่อเข้าอนุบาล ลูกสาวก็ไปอนุบาลแบบไทยๆครับ
โรงเรียนก็สอนแบบไทยปกติ คัดลายมือ เขียนตัวอักษร บลาๆ ช่วงนี้ เค้าจะมีพฤติกรรมแปลกประหลาดกว่าเพื่อนคือ เวลาพูดจะผสมคำและประโยค แต่ผมสือ่สารกับครูไว้แล้วว่า เราเป็นแบบนี้นะ ครูไม่ต้องตกใจ สอนปกติไปเลย ถ้าเค้าพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ มันไม่ใช่คำที่ยากหรอก คำทั่วๆไปนี่แหละ ให้ครูทำเหมือนว่าเค้าพูดสือ่สารรู้เรื่องก็พอ
ช่วงนี้เค้าจะพัฒนาภาษาไทยเร็วมาก และอาการพูดผสมคำในประโยค ก็เริ่มหายไป แต่ ยังสามารถพูดภาษาอังกฤษทั้งประโยคได้

ภาพจำลอง ร่วมกิจกรรมพาเหรดประจำเมืองแสดงวัฒนธรรมไทย ด้วยการใส่ชุดไทยเดินกับขบวนกลองยาว และออกบูธประเทศไทยกับคนไทยในเมืองที่ไปเรียน

ประถม
ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด เพราะเราตัดสินใจให้ลูกสาวเรียนประถมแบบหลักสูตรไทยปกติ ซึ่งที่นี่ สร้างปัญหาในชีวิตให้ลูกสาวนิดหน่อย
นั่นคือ สำเนียงการพูดอังกฤษ ที่ ทางบ้านสอนกันมาแบบออกเสียงชัดครบตามตัวอักษร กลายเป็นสำเนียงที่เพื่อนๆแซวเค้า จนทำให้เค้าเรียรู้สร้าง"สำเนียงไทย" ขึ้นมาเอง นั่นคือ อยู่บ้านพูดชัดเจน คุยกับเพือ่นพ่อที่เป็นต่างชาติคุยได้ชัดแจ๋ว แต่พออยู่กับเพื่อน
"โอเค ไอ อันเด้อสะแตนด์"

อย่างไรก็ตาม วิชาภาษาอังกฤษ ได้ท็อปตลอด และตั้งแต่ประถม ที่ลูกจะดูคลิป การ์ตูน เป็นภาษาอังกฤษ อ่านนิยายภาษาอังกฤษ อ่านการ์ตูนภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย (นอกจากอนิเมะ กับ มังงะบางตัวที่ไม่มีอังกฤษ และนิยายไทย)
กระทั่งถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ สอบเข้ามัธยม

ตอนนี้ได้เวลาเอาจริงแล้วครับ เป้าหมายคือการเข้าเรียนมัธยมหลักสูตรภาษาอังกฤษ หรือ English Program ซึ่งจะระดับคะแนน เค้าไม่มีปัญหาอะไร และ แน่นอนว่า สอบเข้าได้อย่างง่ายดาย แต่ สิ่งที่จะยากคือต่อไปนี้ เมื่อ เพื่อนใหม่ในชั้นมัธยมต่างก็มาจาก EP และ Inter ประถมกันทั้งสิ้น จากเดิมที่เค้าเด่นมากในเรื่องภาษาอังกฤษ ตอนนี้ เป็นแค่ คนปกติธรรมดาค่อนไปทางท้ายแถวนิดๆ เพราะ กลุ่มนักเรียนอินเตอร์ประถม มาในแบบ ฟัง พูด อ่าน เขียน ที่แทบจะเป็น native English  เลย ส่วนพวกเด็กประถม EP ก็ชินกับศัพท์ในวิชาเฉพาะเช่น เลข ประวัติศาสตร์ ในขณะที่ลูกสาวเรียนหลักสูตรไทยมา ก็จะลำบากในช่วงแรก

โชคดีหรือร้ายไม่รู้ โควิดมาครับ ทำให้ต้องเรียนออนไลน์
ผมซึ่งกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมาตั้งแต่ลูกอยู่ประถม 3-4  และนั่งเรียนกับเค้าทุกวันเพราะงานก็ต้องทำออนไลน์เหมือนกัน  เปลี่ยนห้องทำงานเป็นออฟฟิศของสองชีวิต นั่งกันคนละคอมฯ หันหลังชนกัน ต่างคนต่างทำงาน/เรียน แต่ผมจะเงี่ยหูฟังเค้าเรียนตลอดทุกวัน ทุกวิชา (สุขศึกษา ยากมาก )
ตอนแรกกะว่าจะช่วยติวให้แต่เห็นสภาพแล้ว เรียนจบก็ชวนกันไปพักผ่อนแล้วครับ มันหนัก และน่าจะล้ามากกับการเรียนออนไลน์ (บ้านอื่นนอนเรียน บ้านนี้ นั่งหน้าคอมตลอด) ผมตัดสินใจปล่อยไปเลย ให้เค้าจับเอาเอง

ผลที่ได้คือ วิชากลุ่มสายวิทย์ ที่เจอศัพท์ค่อนข้างยาก ก็เริ่มดิ่งลงเรือ่ยๆ วิชาสายศิลป์ทั่วๆป จับทางได้ก็ไปต่อได้ และทำคะแนนดีขึ้นเรื่อยๆ ขยับจากกลางๆค่อนท้ายมาอยู่กลางๆค่อนหัวในที่สุด (โดยที่ เลข และวิทย์ก็ยังรั้งกลุ่มท้ายแถวอย่างสม่ำเสมอ)

ในระดับมัธยมต้น เด็กสามารถแยกใช้ภาษาได้ด้วยตัวเองแล้วครับ บางเรือ่ง เค้าจะใช้ภาษาอังกฤษคล่องกว่า เช่น การเถียงกับพ่อ การจัดการบัญชีรายรับรายจ่ย(หน้าที่เค้าในบ้าน) เวลาไปเดินซื้อของ ภาษาไทย ใช้สื่อสารกับคนอื่นๆ สั่งอาหาร หรือคุยกับญาติ และ บ่นพ่อตัวเอง
เค้าบอกว่าเถียงภาษาอังกฤษมันตรงประเด็นกว่า แต่เวลาบ่นภาษาไทย มันรู้สึกว่ามีคำที่เจ็บกว่า

จะจบ มัธยมต้น ทางโรงเรียน มีโครงการให้ไปสอบ เพื่อได้รับทุนไปเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศ
ทางบ้านอยากให้ลองสอบ เพื่อทดสอบศักยภาพ โดยการสอบมี 3 รอบต่อปี
รอบแรก สอบไม่ผ่านครับ เจ้าตัวเสียความมั่นใจนิดหน่อย แต่ไม่เสียใจ
รอบสอง ห่างกัน 2 เดือน ทางเราก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย แค่ใช้ชีวิตปกติ แล้วไปสอบแบบไม่ติว ไม่เรียนกวดเพิ่ม แล้วก็ผ่านรอบนี้ได้
นี่แหละครับจุดเปลี่ยนล่ะ

ลูกสาวบอกว่าอยากไป ไปเรียนที่ต่างประเทศโดยเราเลือกอเมริกา เพราะถูกสุด เราต้องผ่านกระบวนการคัดกรองและยื่น port folio  และการสัมภาษณ์อีกหลายรอบ ในที่สุดก็ผ่านและได้ไปเรียนจนได้
โดย ณ ตอนนี้ เรียนมาครบปีการศึกษาแรกแล้ว และ นางก็สมัครสอบวัดผล และยื่นเพื่อขออยู่ต่อได้สำเร็จ ยังคงได้ทุนการศึกษาและได้ขยายอยู่ต่ออีกปี ถ้าเป็นแบบนี้ก็สามารถเรยนจนจบไฮสคูลที่อเมริกาได้ โดยที่ในไทย ก็ยังคงสภาพนักเรียนของที่โรงเรียนไว้ เมื่อกลับมา นำวิชาต่างๆมาเทียบกับหลักสูตร สพฐ. และสอบเพิ่มในบางรายวิชา ก็ได้วุฒิจบทั้งไทยและอเมริกา ต่อไปจะเรียนมหาลัยอะไร ที่ไหน ยังไง ก็แล้วแต่ลูกจะเลือกไปเอง ถ้าไปเมืองนอกมีข้อแม้แค่ ต้องหาทุนสอบให้ได้มากที่สุด และ ไปแล้วทำงาน ช่วยเหลือตัวเอง

ภาพจำลอง ร่วมทีมตอบคำถามวิชาการคัดเลือกตัวแทนเมือง ชิงแชมป์รัฐ และ คัดเลือกไปรอบประเทศ

จากการไปเรียนไฮสคูล จากเด็กไทยๆ เด็ก EP แค่สามปี แต่ เราอยู่กันแบบสองภาษามาตลอด เค้าอาจไม่ได้พูดอังกฤษเพราะเป็น native  อาจไม่ได้มีสำนวนคำพูดแบบฝรั่ง ไปถึงที่นั่น ฏ็ปรับตัวอยู่หลายเดือน กว่าจะฟัง จะพูดกับเพื่อนได้เรือ่ง แต่ต้องบอกว่าโชคดี ที่ในที่สุดก็มีเพื่อนๆที่ช่วย ในเวลาไม่กี่เดือน ก็เข้าทำกิจกรรมต่างๆเต็มที่เท่าที่เวลาจะมี ยิ่งทำกิจกรรมยิ่งมีเพื่อน ยิ่งมีเพื่อนยิ่งพัฒนาตัวเองไว

ตอนนี้ จะขึ้นเกรด 11 แล้ว และ ไปเข้าทีมตอบคำถามวิชาการของโรงเรียนได้สำเร็จ
ยังคงพูดไทยชัดแจ๋วเหมือนเดิม แต่สังเกตุได้ว่า คิดเป็นภาษาอังกฤษแล้ว มีสัดส่วนคำอังกฤษ ประโยคอังกฤษ เยอะขึ้น ภาษาอังกฤษ ชัดแจ๋วขึ้นมาก
ถ้าลูกสาว วีดีโอคอลกับคุณย่า ก็จะพูดช้าลง คิดช้าลง ให้โดนย่าบ่นน้อยลง

หมายเหตุ
อุปสรรคสำคัญของแผนระยะยาวนี้คือ "คุณย่า" ซึ่ง ไม่ถูกใจในการพูดไทยปนอังกฤษของหลานสาว ตั้งแต่เด็ก ยันโต แต่ ผมพยายามยืนยันว่า เค้าพูดปนกันแต่คำมันไม่วิบัติ ชัดทั้งสองภาษา นี่แหละดีแล้ว
รถยนต์ ยังเรียก รถ ยนต์ ไม่ช่ rod yon
faith ยัง ออกเสียงว่า f-ai-th ไม่ใช่ เฟ้ด
แต่ในสายตาย่า ยังไง ก็ดูไม่งาม จึงเป็นฝ่ายที่สอนให้พูดไทยให้ครบถ้วน ชัดเจนอย่าปนกันเละเทะ และอักขระชัดเจนสวยงามตามแบบไทย (แม่ผม สอบใบผู้ประกาศผ่าน และ เคยทำงานสื่อสารมวลชวน)

หมายเหตุ
จำเป็นต้องใช้ภาพจำลองประกอบเรื่องราว เพื่อความเป็นส่วนตัวของลูกและบุคคลรอบตัว ทั้งนี้ภาพจำลองปัญญาประดิษฐ์ ดัดแปลงจากภาพจริงที่ลูกสาวคอยส่งมาให้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่