อยากฟังความเห็นบรรดา ทั้งพ่อมแ่และวัยรุ่น ว่า ถ้าจะไปเที่ยวกับครอบครัว จะไเที่ยวกันแบบไหนดี
ให้แฮปปี้ทั้งพ่อแม่ และ ตัวลูกๆ
A ไปกับทัวร์ ทำตัวเหมือนเป็นสมาชิกคณะทัวร์
B ไปเอง ไปถึงแล้วแยกย้ายตัวใครตัวมัน
C ไปเอง ไปด้วยกันยกแผง
---------------------------------
ต่อไปนี้คือเรื่องราวจะจะแชร์ ในฐานะพ่อเลี้งเดี่ยว ชนชั้นกลาง กับลูกสาววัยรุ่นพันธุ์แท้หนึ่งหน่วย ที่อยู่บ้านกันมาสองคนก็ยาวนาน จนกระทั่งไม่นานมานี้ ได้จัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นกันสองคนพ่อลูก โดยตั้งเป้าหมายกันเอาไว้ตั้งแต่โควิด และเก็บเงิน ช่วยกันประหยัดมาจนได้ทุนตามเป้าหมาย
เหตุเกิดตอนลูกสาวอายุ 13 ย่าง 14 (ส่วนตัวมนุษย์พ่อนั้น 47 ขวบ)

เราเลือกจัดการเที่ยวแบบไปกันเอง แบกเป้ ลากกระเป๋าลุยกันเอง ต่างคนต่างจัดสรรที่หมายที่อยากไป เอามากางแล้วแข่งกันประมูลแลกเปลี่ยนกันเช่น
ลูกสาวอยากไปมิวเซียมมังงะ อยากไปเดินอิเคะบุคุโระอยากไปป่าไผ่อยากไปโอซาก้าย่านยอดนิยม
ส่วนของพ่อ มีเป้าหมายคือจะไปมิวเซียมศิลปะร่วมสมัยโกเบอยากไปมิวเซียมสาเกอยากไปนอนชนบทแบบว่าจังหวัดเล็กๆทุ่งนาๆ บ้านน๊อกกก บ้านนอก
นอกจากนี้ ยังมีนัดบังคับ นัดเจอเพื่อนเก่าพ่อที่โตเกียว
ดังนั้น ทุกอย่างจึงเอามาเรยงและแม็ทช์ จัดลำดับ ตารางกันให้ได้มากที่สุด จากนั้น ค่อยดูงบประมาณและวางการเดินทาง ซึ่ง ทริปนี้ มีไม้ตายคือ เราจะไปประหยัดเงินด้วยการ"นอนวัด" พวกวัดญี่ปุ่นหลายๆที่ เปิดบริการเป็นเรือนนอน(โฮสต์เทล) สำหรับนักเดินทาง แต่ก็มีข้อจำกัดหลายๆอย่างที่อาจไม่เหมาะกับการเที่ยวทั่วไป แต่ทริปนี้ เนื่องจากระยะเวลาค่อนข้างยาว เลยจำเป็นต้องเซฟงบในบางโอกาส

กติกาการเที่ยวคือ 80% ของการเที่ยว ต้องไปด้วยกัน ช่วยกัน ถ้าจะมีของเป็นภาระ ก็ต้องเป็นภาระช่วยกัน ถ้าตื่นเช้าแล้ว เท่ากับแต่ละวันช่วยกันตัดสินใจการเดินทาง จาก A ไป B ไป C โดยห้ามเลือกว่า ที่ไหนของใคร แน่นอนว่า ทั้งสองคนต้องคุมเวลาให้ดี ถ้าหลง หรือใช้เวลานานเกิน ก็จะพลาดที่ต่อๆไป
ซึ่งการ"หลง" เป็นเรื่องปกติของการเที่ยวแบบนี้ เป็นสีสันของการไปกันเอง และเมื่อหลง ก็ย่อมกระทบกับตารางเวลา และ ต้องรู้จักปรับตัวในแต่ละวันด้วย ข้อแม้สำคัญของการไปเที่ยวคือ ต้องทำหน้าที่เ)ป็นมัคคุเทศน์ของที่ๆตัวเองเลือก เช่น ลูกสาวเลือกมิวเซียมมังงะ ก็ต้องทำหน้าที่ พาพ่อเดิน แล้วบอกว่ามันเจ๋งยังไง ถ้าอยากอยู่นานๆก็ต้องทำใ

ห้มันสนุก
ที่บ้าน เที่ยวกันแบบนี้มาตลอดครับ จะไปไหนวันเดียว สองวัน หลายวัน จะในไทย ในต่างประเทศ เราใช้กลไกแบบเดียวกันหมด
ซึ่งมีเกร็ดสถานการณ์ตื่นเต้นมาเล่าให้ฟังกัน น่าจะพอเป็นเรือ่งราวพอสังเขปได้
เหตุเกิด ณังหวัดโอคายาม่า หลังจากไปเดินเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว ขากลับ แวะหาอะไรกินซักแป๊บก่อนจะมานั่งรถไฟชินกันเซ็น ซึ่งซื้อบัตร JR ไว้ นั่งกลับไปนอนที่โอซาก้า แต่ดันช็อคกันตรงที่ รถไฟเต็ม เที่ยวนี้ ขบวนนี้ เต็มเรียบร้อย เราไปกระชั้นเวลาเกินไป ไม่ได้ซื้อแบบจองที่เอาไว้ ดังนั้น ไม่มีทางเลือกครับ รอขบวนต่อไป แล้วคืนนั้น เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเลยคือ รอจนเริ่มค่ำมืด 2-3 ทุ่มไปแล้วก็ยังไม่ได้เที่ยวรถ ในที่สุดก็ถึงจุดวิกฤติ เพราะ วัดที่ไปนอน ปิดประตูวัน 4 ทุ่ม ณ จุดๆนั้นคือ ได้แต่มองหน้ากัน มีทางเลือกระหว่าง หาซื้อตั๋วกลับแล้วนั่งแท็กซี่บึ่งไปวัดลุ้นให้ทันเวลาปิด กับ นอนโอกายาม่า

สรุปว่า คืนนั้น ถือว่า ใช้เงินแก้ปัญหาแบบเบาๆครับ ได้เรียนรู้อะไรกันใหม่แบบเพลินๆคือ หาโรงแรมแคปซูลนอนกัน ก็ดีที่ตลอดการเดินทาง เราจะพกของสำคัญติดตัวกันในเป้เล็กสเมอ พวกพาวเวอร์แบ็งค์ ที่ชาร์จ แท็บเล็ต ไปจน แปรงสีฟัน ถุงเท้า ชั้นในสำรอง ก็เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสกัน ไปหยอดแคปซูลนอน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราก็นั่งรถบัสเที่ยวในโอคายาม่า หาร้านอาหรไปนั่งกิน แล้วไปเดินหนาวๆกันในตัวเมืองย่านช็อปปิ้ง ซึ่งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว ก่อนจะกลับมาแถวสถานี มองหาโรงอาบน้ำ แยกย้ายกันเข้าไปอาบน้ำแล้วออกมาเจอกัน ไปแวะมินิมาร์ท ซื้อขนม น้ำ แล้วมานั่งเล่นกันจนดึกดื่น ค่อยไปหยอดแคปซูลนอน เช้ามา เราก็ไปลุยตารางต่อไปเลย ไม่วนกลับไปโอซาก้า
อีกทริคที่อยากให้พ่อแม่มีลูกวัยรุ่นต้องทำใจ และต้องทำได้ครับ คือ "ฟรีไทม์" แบบว่า เวลาอิสระ
ถึงทริปผมจะสร้างมาแบบไปไหนไปด้วยกัน แต่ ผมจงใจ ให้เวลาอิสระแยกย้ายกันเที่ยว โดย ผมตัดสินใจ ให้ฟรีเดย์เป็นที่โตเกียว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเที่ยวตามที่ตัวเองต้องการ แล้ว นัดเวลาเจอกันช่วงเย็นๆ สรุปว่า ราวๆ 7 ชั่วโมง ที่ลูกจะเป็นอิสระ เค้าไปเดินดูอิเคะบุคุโระ ไปดูเกมส์ ไปดูร้านของเล่น ในขณะที่ผม ไปนั่งฟาดซูชิกับเพื่อน ไปนั่งคุยเล่นตามคาเฟ่ ช่วงเย็นไปนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆรอลูก พอลูกมา ก็รวมตัวกัน พาไปเที่ยวชมย่านที่พ่อเคยมาอาศัยอยู่สั้นๆ ไปกินร้านอาหาร local ที่กินบ่อยๆตอนอยู่นั่น ไปรอบนี้ลูกสาวป้าแก มีลูกไปซะแล้วช่างน่าเสียดาย

อีกอย่าง ที่สำคัญมากๆครับ เวลาเดินทาง เวลาพักผ่อน ให้เวลาลูกเป็นส่วนตัวครับ เค้าจะเล่นโทรศัพท์ จะแชทกับเพือ่น จะส่งรูปให้เพื่อน จะโพสต์ไอจี จะตอบเม้น อะไรก็ตาม ให้เวลาเค้าครับ มันเรื่องปกติมากๆแล้วในยุคนี้ เราแวะพักริมทาง ก็ให้เวลานั่งเข้าสู่ดลกโซเชียลของเค้าซักหน่อย มีพ่อแม่เยอะมากที่ "ห้ามแตะ" มือถือตลอดเวลาไปเที่ยว อันนี้ผมยึดแนวคิด หยวนๆครับ ถ้า ตลอดทริปเค้าไม่ได้ก้มหน้าเข้าจอตลอด ยังสนุก ยังช่วยกันเที่ยวได้ จะลากเพื่อนมาเที่ยวด้วยกันบ้างก็ปกติ
ท้ายสุดคือ ไปกับวัยรุ่น "ไปให้สุด"ครับ บางอย่าง ซนได้ก็ซนบ้าง แสบได้ก็แสบบ้าง นึกถึงตอนเราเป็นเด็ก ไปสนุก ไปใช้ชีวิต อยากกินอะไรก็กิน นอนดึกกันบ้างไม่เป็นไรหรอก อยู่บ้าน ลูกก็นอนดึกเป็นปกติแล้ว ผมนึกถึงวัยเด็กที่ไปเที่ยวกับพ่อแม่แล้ว อันนี้ก็ห้าม อันนั้นก็ไม่ได้ ทุกอย่างอยุ่ในกรอบหมด สุดท้ายก็ไม่อยากไป พอโตมาสักนิด มัธยมปลาย มหาลัย ก็ ไม่เคยไปไหนกับที่บ้านอีกเลย

ณ เวลานี้ ลูกสาวไปเรียนต่างประเทศแล้วครับ คงอีกพักใหญ่กว่าจะได้ไปเที่ยวกันอีก แต่กะว่า สิ้นสุดการเรียน หรือ ถ้าเค้ามีเบรคยาวๆ ไปเจอกันกลางทาง เป้าหมายครั้งต่อไปคือ ลุยญี่ปุ่นทางเหนือ เราจะเข้าป่าไปหาหมีกันครับ แล้วลูกสาว อยากไปตามรอยสถานที่คดีฆาตกรรมนักสืบจิ๋วโคนันด้วย (เพราะรอบที่ผ่านมา มีวัดนึง ที่วัด มีป้ายโคนัน วัดนี้ เคยเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น)
หมายเหตุ
ภาพประกอบ ใช้เป็นภาพปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้ได้บรรยากาศ แต่ ไม่เปิดเผยสถานะบุคคลจริง
ที่สำคัญ ไปเที่ยวกัน ไม่มีรูปซักเท่าไหร่ ไปกันสองคน ถ้ามีรูป คือรูปวิว รูปอาหาร รูปแบบนี้ ีแต่ใน"ความทรงจำ" ที่เก็บไว้
เที่ยวกับลูกวัยรุ่น เที่ยวแบบไหนดี?
ให้แฮปปี้ทั้งพ่อแม่ และ ตัวลูกๆ
A ไปกับทัวร์ ทำตัวเหมือนเป็นสมาชิกคณะทัวร์
B ไปเอง ไปถึงแล้วแยกย้ายตัวใครตัวมัน
C ไปเอง ไปด้วยกันยกแผง
---------------------------------
ต่อไปนี้คือเรื่องราวจะจะแชร์ ในฐานะพ่อเลี้งเดี่ยว ชนชั้นกลาง กับลูกสาววัยรุ่นพันธุ์แท้หนึ่งหน่วย ที่อยู่บ้านกันมาสองคนก็ยาวนาน จนกระทั่งไม่นานมานี้ ได้จัดทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นกันสองคนพ่อลูก โดยตั้งเป้าหมายกันเอาไว้ตั้งแต่โควิด และเก็บเงิน ช่วยกันประหยัดมาจนได้ทุนตามเป้าหมาย
เหตุเกิดตอนลูกสาวอายุ 13 ย่าง 14 (ส่วนตัวมนุษย์พ่อนั้น 47 ขวบ)
เราเลือกจัดการเที่ยวแบบไปกันเอง แบกเป้ ลากกระเป๋าลุยกันเอง ต่างคนต่างจัดสรรที่หมายที่อยากไป เอามากางแล้วแข่งกันประมูลแลกเปลี่ยนกันเช่น
ลูกสาวอยากไปมิวเซียมมังงะ อยากไปเดินอิเคะบุคุโระอยากไปป่าไผ่อยากไปโอซาก้าย่านยอดนิยม
ส่วนของพ่อ มีเป้าหมายคือจะไปมิวเซียมศิลปะร่วมสมัยโกเบอยากไปมิวเซียมสาเกอยากไปนอนชนบทแบบว่าจังหวัดเล็กๆทุ่งนาๆ บ้านน๊อกกก บ้านนอก
นอกจากนี้ ยังมีนัดบังคับ นัดเจอเพื่อนเก่าพ่อที่โตเกียว
ดังนั้น ทุกอย่างจึงเอามาเรยงและแม็ทช์ จัดลำดับ ตารางกันให้ได้มากที่สุด จากนั้น ค่อยดูงบประมาณและวางการเดินทาง ซึ่ง ทริปนี้ มีไม้ตายคือ เราจะไปประหยัดเงินด้วยการ"นอนวัด" พวกวัดญี่ปุ่นหลายๆที่ เปิดบริการเป็นเรือนนอน(โฮสต์เทล) สำหรับนักเดินทาง แต่ก็มีข้อจำกัดหลายๆอย่างที่อาจไม่เหมาะกับการเที่ยวทั่วไป แต่ทริปนี้ เนื่องจากระยะเวลาค่อนข้างยาว เลยจำเป็นต้องเซฟงบในบางโอกาส
กติกาการเที่ยวคือ 80% ของการเที่ยว ต้องไปด้วยกัน ช่วยกัน ถ้าจะมีของเป็นภาระ ก็ต้องเป็นภาระช่วยกัน ถ้าตื่นเช้าแล้ว เท่ากับแต่ละวันช่วยกันตัดสินใจการเดินทาง จาก A ไป B ไป C โดยห้ามเลือกว่า ที่ไหนของใคร แน่นอนว่า ทั้งสองคนต้องคุมเวลาให้ดี ถ้าหลง หรือใช้เวลานานเกิน ก็จะพลาดที่ต่อๆไป
ซึ่งการ"หลง" เป็นเรื่องปกติของการเที่ยวแบบนี้ เป็นสีสันของการไปกันเอง และเมื่อหลง ก็ย่อมกระทบกับตารางเวลา และ ต้องรู้จักปรับตัวในแต่ละวันด้วย ข้อแม้สำคัญของการไปเที่ยวคือ ต้องทำหน้าที่เ)ป็นมัคคุเทศน์ของที่ๆตัวเองเลือก เช่น ลูกสาวเลือกมิวเซียมมังงะ ก็ต้องทำหน้าที่ พาพ่อเดิน แล้วบอกว่ามันเจ๋งยังไง ถ้าอยากอยู่นานๆก็ต้องทำใ
ที่บ้าน เที่ยวกันแบบนี้มาตลอดครับ จะไปไหนวันเดียว สองวัน หลายวัน จะในไทย ในต่างประเทศ เราใช้กลไกแบบเดียวกันหมด
ซึ่งมีเกร็ดสถานการณ์ตื่นเต้นมาเล่าให้ฟังกัน น่าจะพอเป็นเรือ่งราวพอสังเขปได้
เหตุเกิด ณังหวัดโอคายาม่า หลังจากไปเดินเที่ยวกันเรียบร้อยแล้ว ขากลับ แวะหาอะไรกินซักแป๊บก่อนจะมานั่งรถไฟชินกันเซ็น ซึ่งซื้อบัตร JR ไว้ นั่งกลับไปนอนที่โอซาก้า แต่ดันช็อคกันตรงที่ รถไฟเต็ม เที่ยวนี้ ขบวนนี้ เต็มเรียบร้อย เราไปกระชั้นเวลาเกินไป ไม่ได้ซื้อแบบจองที่เอาไว้ ดังนั้น ไม่มีทางเลือกครับ รอขบวนต่อไป แล้วคืนนั้น เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเลยคือ รอจนเริ่มค่ำมืด 2-3 ทุ่มไปแล้วก็ยังไม่ได้เที่ยวรถ ในที่สุดก็ถึงจุดวิกฤติ เพราะ วัดที่ไปนอน ปิดประตูวัน 4 ทุ่ม ณ จุดๆนั้นคือ ได้แต่มองหน้ากัน มีทางเลือกระหว่าง หาซื้อตั๋วกลับแล้วนั่งแท็กซี่บึ่งไปวัดลุ้นให้ทันเวลาปิด กับ นอนโอกายาม่า
สรุปว่า คืนนั้น ถือว่า ใช้เงินแก้ปัญหาแบบเบาๆครับ ได้เรียนรู้อะไรกันใหม่แบบเพลินๆคือ หาโรงแรมแคปซูลนอนกัน ก็ดีที่ตลอดการเดินทาง เราจะพกของสำคัญติดตัวกันในเป้เล็กสเมอ พวกพาวเวอร์แบ็งค์ ที่ชาร์จ แท็บเล็ต ไปจน แปรงสีฟัน ถุงเท้า ชั้นในสำรอง ก็เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสกัน ไปหยอดแคปซูลนอน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราก็นั่งรถบัสเที่ยวในโอคายาม่า หาร้านอาหรไปนั่งกิน แล้วไปเดินหนาวๆกันในตัวเมืองย่านช็อปปิ้ง ซึ่งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว ก่อนจะกลับมาแถวสถานี มองหาโรงอาบน้ำ แยกย้ายกันเข้าไปอาบน้ำแล้วออกมาเจอกัน ไปแวะมินิมาร์ท ซื้อขนม น้ำ แล้วมานั่งเล่นกันจนดึกดื่น ค่อยไปหยอดแคปซูลนอน เช้ามา เราก็ไปลุยตารางต่อไปเลย ไม่วนกลับไปโอซาก้า
อีกทริคที่อยากให้พ่อแม่มีลูกวัยรุ่นต้องทำใจ และต้องทำได้ครับ คือ "ฟรีไทม์" แบบว่า เวลาอิสระ
ถึงทริปผมจะสร้างมาแบบไปไหนไปด้วยกัน แต่ ผมจงใจ ให้เวลาอิสระแยกย้ายกันเที่ยว โดย ผมตัดสินใจ ให้ฟรีเดย์เป็นที่โตเกียว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเที่ยวตามที่ตัวเองต้องการ แล้ว นัดเวลาเจอกันช่วงเย็นๆ สรุปว่า ราวๆ 7 ชั่วโมง ที่ลูกจะเป็นอิสระ เค้าไปเดินดูอิเคะบุคุโระ ไปดูเกมส์ ไปดูร้านของเล่น ในขณะที่ผม ไปนั่งฟาดซูชิกับเพื่อน ไปนั่งคุยเล่นตามคาเฟ่ ช่วงเย็นไปนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆรอลูก พอลูกมา ก็รวมตัวกัน พาไปเที่ยวชมย่านที่พ่อเคยมาอาศัยอยู่สั้นๆ ไปกินร้านอาหาร local ที่กินบ่อยๆตอนอยู่นั่น ไปรอบนี้ลูกสาวป้าแก มีลูกไปซะแล้วช่างน่าเสียดาย
อีกอย่าง ที่สำคัญมากๆครับ เวลาเดินทาง เวลาพักผ่อน ให้เวลาลูกเป็นส่วนตัวครับ เค้าจะเล่นโทรศัพท์ จะแชทกับเพือ่น จะส่งรูปให้เพื่อน จะโพสต์ไอจี จะตอบเม้น อะไรก็ตาม ให้เวลาเค้าครับ มันเรื่องปกติมากๆแล้วในยุคนี้ เราแวะพักริมทาง ก็ให้เวลานั่งเข้าสู่ดลกโซเชียลของเค้าซักหน่อย มีพ่อแม่เยอะมากที่ "ห้ามแตะ" มือถือตลอดเวลาไปเที่ยว อันนี้ผมยึดแนวคิด หยวนๆครับ ถ้า ตลอดทริปเค้าไม่ได้ก้มหน้าเข้าจอตลอด ยังสนุก ยังช่วยกันเที่ยวได้ จะลากเพื่อนมาเที่ยวด้วยกันบ้างก็ปกติ
ท้ายสุดคือ ไปกับวัยรุ่น "ไปให้สุด"ครับ บางอย่าง ซนได้ก็ซนบ้าง แสบได้ก็แสบบ้าง นึกถึงตอนเราเป็นเด็ก ไปสนุก ไปใช้ชีวิต อยากกินอะไรก็กิน นอนดึกกันบ้างไม่เป็นไรหรอก อยู่บ้าน ลูกก็นอนดึกเป็นปกติแล้ว ผมนึกถึงวัยเด็กที่ไปเที่ยวกับพ่อแม่แล้ว อันนี้ก็ห้าม อันนั้นก็ไม่ได้ ทุกอย่างอยุ่ในกรอบหมด สุดท้ายก็ไม่อยากไป พอโตมาสักนิด มัธยมปลาย มหาลัย ก็ ไม่เคยไปไหนกับที่บ้านอีกเลย
ณ เวลานี้ ลูกสาวไปเรียนต่างประเทศแล้วครับ คงอีกพักใหญ่กว่าจะได้ไปเที่ยวกันอีก แต่กะว่า สิ้นสุดการเรียน หรือ ถ้าเค้ามีเบรคยาวๆ ไปเจอกันกลางทาง เป้าหมายครั้งต่อไปคือ ลุยญี่ปุ่นทางเหนือ เราจะเข้าป่าไปหาหมีกันครับ แล้วลูกสาว อยากไปตามรอยสถานที่คดีฆาตกรรมนักสืบจิ๋วโคนันด้วย (เพราะรอบที่ผ่านมา มีวัดนึง ที่วัด มีป้ายโคนัน วัดนี้ เคยเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น)
หมายเหตุ
ภาพประกอบ ใช้เป็นภาพปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้ได้บรรยากาศ แต่ ไม่เปิดเผยสถานะบุคคลจริง
ที่สำคัญ ไปเที่ยวกัน ไม่มีรูปซักเท่าไหร่ ไปกันสองคน ถ้ามีรูป คือรูปวิว รูปอาหาร รูปแบบนี้ ีแต่ใน"ความทรงจำ" ที่เก็บไว้