สังคมสูงวัยไม่น่ากลัว ถ้า “วัยเก๋า” มีที่ยืนในตลาดแรงงาน





     ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 16 ล้านคน หรือคิดเป็น 20.2% ของประชากรทั้งประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็น “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์”

สัดส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุยังน้อย มีอยู่เพียง 2% ของประชากรทั้งหมด และปัญหาที่พบคือการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ โดยส่วนมากยังอยู่ในภาคใช้แรงกาย แทบจะไม่ได้ใช้ทักษะหรือประสบการณ์ และค่าตอบแทนถูก

หากสนับสนุนจ้างงานผู้สูงอายุในภาคส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากภาคเกษตร การค้า และการผลิต ที่เหมาะสมกับศักยภาพและประสบการณ์ของพวกเขามากขึ้น จะเป็นทั้งโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ลดภาระของรัฐ-ครัวเรือน และเสริมสร้างคุณค่าความภูมิใจให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
สังคมสูงวัยอาจไม่ใช่ "วิกฤต" หากมองเห็น "โอกาส" ที่ซ่อนอยู่ "การจ้างงานผู้สูงอายุ" คือกุญแจสำคัญ ที่จะไขทางรอดในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยน

การเป็น สังคมผู้สูงอายุ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไม่ใช่เรื่องอันตราย ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดี หรือมีการวางแผนล่วงหน้า 
นี่คือคำพูดเริ่มต้นที่ “ผศ.ศุภชัย ศรีสุชาติ รักษาการแทนในตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในทุกระดับ ไม่ว่าจะ “แบบสมบูรณ์” หรือ “ระดับสุดยอด” ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิด แต่ต้องจัดการให้ถูกจุด และหนึ่งในกลไกสำคัญนั้นคือ “การจ้างงานผู้สูงอายุ” ซึ่งอาจเป็นทางรอดที่สำคัญ
 

อะไรจะเกิดขึ้น ? เมื่อไทยเป็น “สังคมสูงอายุ”

แต่ประเด็นของการเข้าสู่สังคมสูงอายุ คือการที่มีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มากเกิน 20% หรือเกิน  28% ในอีก 5 ข้างหน้า ซึ่งสวนทางกับจำนวนเด็กที่เกิดน้อยลง

นั่นหมายความว่าในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า สัดส่วนแรงงานจะลดลง ถ้าไม่จัดการหรือวางแผนรับมือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ “เศรษฐกิจจะหดตัวลง” และอาจอยู่ไม่ได้ เพราะคนทำงานน้อยกว่าผู้ใช้เงิน

สองคือ “ค่าใช้จ่าย” ในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเกินกำลังทั้งในระบบงบประมาณของประเทศ ครัวเรือน และเงินออมของผู้สูงวัยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เมื่อภาวะเงินเฟ้อทำให้ข้าวของมีราคาสูงขึ้น และค่าเงินลดลง ปัญหาจะยิ่งรุนแรงขึ้น
ภาครัฐ : จะมีภาระงบประมาณในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครอบครัว : จะมีกำลังทรัพย์น้อยลงในการดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ผู้สูงอายุ : เงินที่เก็บออมไว้ใช้หลังเกษียณอาจไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ผลที่ตามมาคือ “คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ” อาจแย่ลง และไม่ได้รับการดูแลที่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

สามคือ การดูแลผู้สูงอายุของภาครัฐในแต่ละรุ่น” เป็นอีกโจทย์หนึ่งที่น่ากังวล ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ สมมติเราอยากให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ดี มีสวัสดิการเยอะ แต่เงินที่รัฐบาลมีไม่เพียงพอ รัฐก็ต้องกู้เงิน ภาระก็จะไปตกกับคนรุ่นอื่น ๆ ทั้งหมด พอวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง ตัวหารในการที่จะมารับภาระก็น้อยลงตามไปด้วย

ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าเป็นปัญหาลูกโซ่ต่อเนื่องกัน ดังนั้นถ้าเรามี “การวางแผนการรับมือ” ที่ดี ปรากฏการณ์เหล่านี้จะจัดการได้ และกลไกในการจัดการคือ “การขยายระยะเวลาให้ผู้สูงอายุสามารถสร้างคุณค่าให้กับระบบเศรษฐกิจ” ได้ นั่นคือการให้ผู้สูงอายุยังทำงานอยู่ เพราะผู้สูงอายุที่มีคุณค่า คือมีค่าใช้จ่ายดูแลตัวเองได้ เศรษฐกิจจะไม่เหนื่อย ภาครัฐและครัวเรือนไม่ต้องแบกรับภาระ และเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องจ่ายภาษีจะไม่หนักจนเกินไป

สถานการณ์การจ้างงานผู้สูงอายุไทย

สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยข้อมูลในปี 2567 ว่า ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 14.16 ล้านคน หรือคิดเป็น 20.2% ของประชากรทั้งประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็น “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” และในอีก 5 – 10 ปีคาดการณ์ว่าจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มเป็น 28% ของประชากรทั้งหมด ขยับให้ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด”

โดยมีจำนวนผู้สูงอายุที่ทำงาน 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 5.11 ล้านคน หรือ 37.5%
เมื่อเจาะลึกลงไปในสถานภาพการทำงาน พบผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็น ผู้ทำงานส่วนตัว โดยไม่มีลูกจ้าง 64.4% รองลงมาคือ ผู้ช่วยธุรกิจในครัวเรือน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง 19.7% ส่วนที่เหลือเป็นลูกจ้าง 12.4% และนายจ้าง 3.5%

สำหรับประเภทงานที่ผู้สูงอายุทำ ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเกษตรกรรม 57.7% ตามด้วย ภาคบริการและการค้า 32.4% และ ภาคการผลิต 9.9% ที่มีเงินเดือนเฉลี่ย 6,826 – 14,612 บาท

ส่วนอาชีพหลักของผู้สูงอายุ ส่วนมากยังเป็น ผู้มีฝีมือด้านการเกษตรและประมง 55.4% รองลงมาคือ พนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า 20.4% ตามด้วย ผู้ประกอบอาชีพงานพื้นฐาน 8% ช่างฝีมือและผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 7.5% และกลุ่มอาชีพอื่น ๆ 8.7%
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุยังน้อย มีอยู่เพียง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด และปัญหาที่พบคือการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ โดยส่วนมากยังอยู่ในภาคใช้แรงกาย แทบจะไม่ได้ใช้ทักษะหรือประสบการณ์ และค่าตอบแทนถูก

ขยายโอกาส “วัยเก๋า” ทางรอดในวันที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยน

ที่จริงแล้วในช่วงอายุ 60 – 69 ปี เป็นช่วงที่คนจำนวนมากยังมีสุขภาพที่แข็งแรง และสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อีกมาก
การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุยังคงอยู่ในตลาดแรงงาน จึงเป็น “โอกาสทอง” ที่จะสร้างประโยชน์หลากหลายอย่าง ดังนี้

รักษาขนาดเศรษฐกิจ: ผู้สูงอายุที่ทำงานยังคงสร้างผลผลิต มีรายได้ และเสียภาษี ซึ่งช่วยชะลอการหดตัวของเศรษฐกิจ
ลดภาระการพึ่งพิง: หากผู้สูงอายุสามารถดูแลตนเองทางการเงินได้ ภาระต่อภาครัฐและครอบครัวก็จะลดลง
เพิ่มฐานภาษี: การมีผู้ทำงานมากขึ้น ย่อมหมายถึงฐานภาษีที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รัฐมีงบประมาณในการดูแลประชากรกลุ่มต่างๆ และพัฒนาประเทศได้มากขึ้น
คุณค่าและศักดิ์ศรี: การทำงานยังช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่า ไม่เป็นภาระ และยังคงมีบทบาทในสังคม
ดังนั้นการส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในภาคส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากภาคเกษตร การค้า และการผลิต ที่เหมาะสมกับศักยภาพและประสบการณ์ของพวกเขามากขึ้น จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ลดภาระสังคม และเสริมสร้างคุณค่าความภูมิใจให้กับ “วัยเก๋า” ของเรา ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรี
 

โจทย์ใหญ่ของรัฐ: บริหารจัดการ “วงจรชีวิต” ให้สมดุล

ข้อมูลบัญชีเงินโอนในปี 2021 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สคช.)  ชี้ให้เห็นว่า ผู้สูงอายุ 1 คน ใช้เงินเฉลี่ย 3.22 ล้านบาท ตลอดช่วงบั้นปลายชีวิต นับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากไม่แพ้กับเด็ก 1 คน ที่ตลอดระยะเวลา 20 ปี จะใช้เงินราว ๆ 3 ล้านบาท

โดยแหล่งเงินของผู้สูงอายุ (60 – 80 ปี) มาจาก การดูแลของครอบครัว เฉลี่ย 1,185,601 บาท, ทรัพย์สินส่วนตัว 1,022,807 บาท, การทำงาน 767,717 บาท และเงินช่วยเหลือจากรัฐ 245,656 บาท

ขณะที่เด็ก (0 – 21 ปี) มาจาก การดูแลของครอบครัว เฉลี่ย 1,420,772 บาท, เงินช่วยเหลือจากรัฐ 1,283,124 บาท, การทำงาน 246,292 บาท และ ทรัพย์สินส่วนตัว 53,182 บาท
[img]blob:https://pantip.com/a9c7d29f-c228-4296-ae3b-3b0840c2a588[/img]

ทั้งหมดฉายภาพให้เห็นวงจรชีวิตของคนเรา ประกอบด้วย ช่วงพึ่งพิง (วัยเด็ก) ช่วงที่สามารถดูแลตัวเองได้ (วัยทำงาน) และกลับมาเป็นช่วงพึ่งพิง (วัยชรา) อีกครั้ง

แต่ผู้สูงอายุจะพึ่งพิงใครได้มาขนาดไหน  หากย้อนไปในปี 2537 ผู้สูงอายุ 1 คนจะได้รับการเกื้อหนุนจากประชากรวัยทำงานถึง 9 คน แต่ในปี 2567 เหลือเพียง 3 คน 

ส่วนเงินออมนั้น มีเพียง 1 ใน 3 ของประชากรสูงวัยเท่านั้น ที่จะมีเงินเก็บ และที่มีเงินสะสมเกิน 1,000,000 บาท มีเพียง 5% เท่านั้น

 นี่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐ ที่จะต้องบริหารจัดการความสมดุลของชีวิตคนในแต่ละช่วงวัย รองรับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร โดยจะต้องส่งเสริมให้เด็กเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น และ “ขยายอายุการทำงาน” ให้ผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพอยู่ ยังสามารถทำงานต่อไปได้
การ “ขยายอายุการทำงาน” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นในการรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัยในประเทศไทย

https://policywatch.thaipbs.or.th/article/life-133
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่