เป็นคริสตัง แต่โดนทางบ้านบังคับให้สวดมนต์

เรื่องนี้ค่อนข้างยาวพอสมควรและไม่สนับสนุนให้เกิดดราม่าใด ๆ ทั้งสิ้น
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

คือที่บ้านขอมผมนับถือศาสนาพุทธกันหมด แต่ผมเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่าไม่อิน แต่พอสวดมนต์ได้บ้างและผมก็ไม่ได้ต่อต้านอะไรเลย แบบทำบุญก็ไป ฟังสวด ฟังเทศน์ผมก็ไปหมด

จนเมื่อผมอยู่มหาลัย (พฤศจิกายน ปี 63) เรามีเพื่อนเป็นคริสเตียน(คริสต์สายโปรแตสแตนท์) และเห็น, รับรู้สิ่งที่เขาได้รับพระพรจากพระเจ้า ผมก็รู้สึกว่าชอบมาก เข้ากับตัวผมได้มากเลยทีเดียว และช่วงนั้นแหละที่มีคนชวนผมไปชมรมของคริสเตียน กิจกรรมของชาวคริสเตียน ชวนเหมือนลองไปเปิดใจก่อนและผมเองก็สนใจด้วยก็เลยตอบตกลงไป นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเริ่มรู้จักชีวิตคริสเตียนจริง ๆ พอเราไปชมรม พี่น้องคริสเตียนก็ดีกับผมเลย ดีแบบที่ไม่เคยมีในศาสนาพุทธมาก่อน คือผมชอบพวกเขา เขาก็ชวนผมมาเชื่อในพระเจ้า ผมก็เอาเลยสิครับ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

ตอนแรกผมยอมรับเลย ไปโบสถ์ ไปชมรมคริสเตียน ทำกิจกรรมทางศาสนาคริสต์ และมีท่าทีในการเชื่อพระเจ้าหรือไว้วางใจในพระองค์ทีนี้ พี่เลี้ยงของผมเหมือนเขาจะรู้ในจุดที่ผมสับสนพอดี เขาบอกให้ผมอธิษฐานกับพระเจ้าบ่อย ๆ แล้วก็พูดถึงพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งเราเคยฟังมาบ้าง แรก ๆ ผมเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ด้วยความที่ผมก็นับถือพุทธมาก่อน เข้าวัดก่อน แต่อยู่ ๆ จะเปลี่ยนไปคริสเตียนเลยคงไม่ใช่เรื่อง

แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปผ่านสื่อเลย ได้แต่เขาให้ทำอะไรก็ทำ และทุกครั้งที่ผมไปโบสถ์ ผมไม่เคยบอกพ่อแม่เลยสักครั้งเนื่องจากผมเริ่มมีท่าทีเชื่อในพระเจ้าจริง ๆ แต่ดูไม่ออก ผมเลยไม่รู้จะบอกทำไม ได้แต่บอกแม่ว่า ไปเป็นเพื่อน เพื่อนที่เป็นคริสเตียน แม่ผมก็บอกว่า อย่าไปยุ่งอะไรนะ ห่าง ๆ ไว้ก็ดี  ผมก็โอเคดี ไม่กล้าบอกแม่ว่าไปทุกอาทิตย์แม่บอกให้ห่าง ๆ ก็บอกว่าไม่ได้ไปโบสถ์แล้ว แต่ความจริงคือผมไปทุกอาทิตย์สิครับ แต่เปลี่ยนเป็นโบสถ์สายคริสตัง (คริสต์สายคาธอลิก) แล้วผมก็ได้รับการทำพิธีศีลล้างบาปเรียบร้อยแล้ว และบัตรประชาชนของผมได้เป็นเป็นศาสนาคริสต์โดยสมบูรณ์

จนกระทั่งเรื่องมาแดงเมื่อช่วงปลายสิงหาปี 67 ที่ผ่านมานี่แหละ มีญาติของแม่ผมคุยกับแม่ผม แม่เรานี่มองผมแบบดูถูกและพูดจาถากถางผมสิครับ และแม่ถึงรู้ว่า ผมนับถือคริสต์คาธอลิกโดยสมบูรณ์แล้ว (บ้านเราพุทธจ๋ามาก พ่อแม่บังคับให้ลูกสวดมนต์ทุกคืนก่อนนอน แต่ผมไม่อยากสวดมากที่สุด) แม่ก็เอาเรื่องนี้ไปพูดกับพ่อครับ ทีนี้พ่อรู้ก็แบบ เฉย ๆ เหมือนปล่อยผมไปตามชาตะชีวิตผมแล้ว และแม่ผมนี่หนักเลย กักบริเวณผม ไม่ยอมให้ผมใช้ชีวิตตามที่ใจผมต้องการ บังคับให้เรียนที่ผมไม่อยากเรียนมาก (ผมเรียนเภสัชแต่ใจผมชอบการเมืองมาก แบบ อยากทำงานสายการเมือง) จนสุดท้ายผมก็ตัดสินใจปล่อยจอย และก็โดนบังคับให้ลาออกในที่สุด แต่คือเหมือนสายไปแล้ว ผมเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว 100% ก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไร เชื่อตอนไหน แต่คือมารู้สึกอีกทีก็พบว่าผมโอเคกับศาสนาคริสต์ มากกว่า ศาสนาพุทธ แบบ 100% ผมมีความสุขที่เชื่อใจพระเจ้า เราไว้วางใจในพระองค์ ยิ่งมีแฟนสาวที่นับถือคริสต์คาธอลิก
นี่ยิ่งสุขใจกันไปใหญ่ (แฟนสาวของผมเป็นคนฟิลิปปินส์) ประเด็นคือ พอผมไม่ได้ไปโบสถ์ ก็เหมือนละทิ้งพระเจ้ากลาย ๆ และก็ไม่ได้เรียนพระคัมภีร์ที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ไม่ได้สรรเสริญพระเจ้าในวันอาทิตย์ จุดนี้เองทำให้รู้สึกผิดต่อพระเจ้ามาก ไม่รู้จะทำยังไง จะเริ่มยังไง ได้แต่อ่านไบเบิ้ลอยู่ที่บ้าน เวลาอ่านก็แบบพ่อแม่อ่าน หรือไม่ก็อ่านไบเบิ้ลที่เป็นภาษาอังกฤษหรือไม่ก็ภาษารัสเซียไปเลย (อ่านในแอพ youvision เอา เพราะไบเบิ้ลที่เป็นเล่มที่ขายในไทยไม่มี 2 ภาษานี้) เวลาทางคริสตจักรมีทำพิธีกัน ผมไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากไปมาก ผมได้แต่คุยกับแฟนสาวเพื่อระบายความในใจของผมออกมา ซึ่งแฟนสาวผมเข้าใจในจุดนี้ดีเลยให้กำลังใจผม อย่างน้อยผมก็มีที่เยียวยาหัวใจบ้าง

ล่าสุดก็ช่วงต้นมิถุนายน 68 นี้เอง ที่แม่ผมบังคับให้ผมสวดมนต์เพื่อแผ่เมตตาให้คณะกรรมการสัมภาษณ์เห็นใจผมและให้ผมสอบสัมภาษณ์ผ่าน ทั้งที่ความจริงเรื่องสอบสัมภาษณ์ให้ผ่านนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาเลย เห็นสวดมนต์กันเยอะแยะ แต่ตกสัมภาษณ์ก็มี กลับกันคนที่ไม่ได้มีจิตใจใฝ่ทางพุทธเลยก็ผ่านสัมภาษณ์กันถ้วนหน้า แถมแม่ผมก็บอกว่าผมเป็นคนโง่เขลา ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผมมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมอยู่เยอะพอสมควร แต่ไม่ได้มีปัญหาในการใช้ภาษาเลย บางครั้งผมก็ใช้คำที่คนในสมัยนี้ไม่ใช้กันมาใช้อีกรอบ และผมมักจะชอบพูดให้คนอื่นไปตีความเองว่าผมจะสื่ออะไร แล้วอีกประเด็นก็คือ แม่ยังบอกผมว่า ผมอยู่ฐานะที่สูงแล้วแต่กลับทำให้ตกลงโดยตัวผมเอง ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว มันผิดพลาดตั้งแต่พ่อแม่ดูแลผมมานานแล้ว พ่อแม่ดูแลผมแบบไข่ในหินเลย ซึ่งเป็นวิธีที่ชาวยุโรปมองว่ามันขัดกับพัฒนาการเด็กอย่างร้ายแรง ถึงแม้ว่าพ่อแม่บอกผมว่ามีเหตุผลที่เลี้ยงดูผมแบบนี้ แต่ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเหมือนหุ่นยนต์มากไปบ ต้องทำตามคำสั่งพ่อแม่อย่างเดียว แต่ในความจริงนั้น ผมมีความคิดที่ก้าวหน้ามาก และสามารถสร้างสรรค์และออกแบบแผนธุรกิจของผมได้มีประสิทธิภาพสูงสุด และผมก็ได้รับการวินิจฉัยว่า ผมเป็นออทิสติกประเภท high-function (แอสเพอร์เกอร์ในเกณฑ์อดีต) และมีโรคซึมเศร้า ซึ่งแม่ผมบอกว่า โรคซึมเศร้าคือโรคของคนหาเรื่องใส่ตัว แต่ในความเป็นจริงคือ โรคซึมเศร้าเกิดจากสารเคมีในสมองที่ไม่เท่ากัน และผมก็มีใบรับรองแพทย์ยืนยันที่เป็นของจริง 100% มายื่นให้ แต่พ่อแม่บอกว่า ไม่เชื่อ ผมเลยรู้สึกแบบ สิ้นหวังมากและจิตใจผมแตกสลายโดยสมบูรณ์แล้ว ทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตแบบคนที่เป็นฮิคิโคโมริไปวัน ๆ รอวันตายของผมมาถึง ก็เท่านั้นเอง

ผมเหมือนเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ เข้าพิธีศีลล้างบาป 100% แต่ไม่ใช่คริสตังแบบตามที่สังคมบอก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ถ้ามีคนมาบอกว่า 'พระเจ้าอวยพระพรนะ' ควรตอบว่าอย่างไรผมได้แค่คิดว่า สักวันนึง พ่อแม่ต้องเข้าใจผม และยอมให้ผมใช้ชีวิตตามที่อิสระเสียที

ที่ผมมาตั้งกระทู้คือ อยากทราบว่า ผมมีท่าทีที่ผิดไหม ผมไม่ไปโบสถ์ ไม่ได้เรียนพระคัมภีร์ ไม่ได้ร้องเพลงสรรเสริญในวันอาทิตย์ แต่ผมยังเชื่อในพระเจ้า ยังอ่านไบเบิ้ล ยังอธิษฐานต่อพระองค์เรื่อย ๆ อย่างผมเรียกว่า คริสตัง ได้ไหม ?

(ปล. ที่ผมไม่เชื่อในศาสนาพุทธเพราะข่าวเสียหายในวงการศาสนาพุทธไทยนี่แหละ แต่คริสต์คาธอลิกกลับไม่มีเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเพราะคริสต์คาธอลิกมีองค์กรศาสนาที่คุมศาสนาคริสต์คาธอลิกทั่วโลกแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่