(ผมจะเล่าเรื่องน่ากลัวของผมให้ฟัง)
เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเซ็นท์เเรง(เกิดวันเสาร์)เเต่ก็อาจจะไม่เกี่ยว เริ่มเรื่องคือ ผมเกิดเเถวอีสานใต้ มาในครอบครัวที่ยากจน (บ้านผมเป็นบ้านพระราชทาน) ในบ้านมีกัน 5 คน มีพ่อเเม่ พี่ชาย2คนรวมผมเป็น (5) คน เเต่พี่ชายผมไปทำงานที่กรุงเทพตั้งเเต่เรียนยังไม่จบ
(๑. ช่วงเรื่องวัยเรียน) -ผมเป็นคนเกิดวันเสาร์ที่ ๒๐ เดือนมกราคม ผมอยู่ในตำบลที่ค่อนข้างใหญ่เเต่เเยกออกไปหลายหมู่บ้าน เเต่หมู่บ้านผมเป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่เป็นหมู่บ้านที่มีทุ่งนาล้อมรอบสุดลูกตาบ้านผมอยู่ขอบหมู่บ้านทางเข้าเป็นคันนาเล็กๆเเต่ทางเข้ามีศาลพระภูมิ (เรื่องความกลัว ผมเป็นคนที่กลัวผีตั้งเเต่เด็กเเม้จะโตเเล้วก็ตามบวกกับความเชื่อเเถวภาคอีสาน)อีกอย่างยายผมเป็น(หมอธรรม หรือ หมอความเชื่อ) นี่เป็นสิ่งเเรกที่ทำให้ผมรู้ว่าผีมีจริงในชีวิตหรือจอาจจะเป็นเเค่อุปทานหมู่เรื่องคือว่า หลังจากที่ผมเลิกเรียนผมกลับมาบ้านคนในหมู่บ้านคุยกันว่ายายที่อยู่ในหมู่บ้านโดนผีปอบเข้าเเละดูเหมือนจะไม่รอดพอผมกลับถึงบ้านพี่ชายผมบอกว่าจะพาไปดูผีพวกเราก็พากันปั่นจักรยานไปบ้านยายที่กำลังทำพิธีไล่ผีภาพที่ผมเห็นคือยายคนที่โดนผีปอบเข้าคือท้องปล่องบวมผมคิดว่ายายคนนั้นไม่น่าจะมีเเรงเเล้วเเต่ไม่เลยยายคนที่โดนผีปอบเข้านั้นทำหน้าตาเเลบลิ้นน่ากลัวเเล้วพูดว่า(กูกินมันหมดเเล้วหละ)จากนั้นยายผมก็ทำพิธีไล่ของท่านไปต่อเเต่ผมไม่ได้ดูจนจบผมกลับบ้านก่อน พอเช้ามายายคนนั้นก็เสียอย่างน่าเเปลกใจเเต่ตอนนั้นผมยังเด็กมากเลยไม่ได้สนใจ จนเวลาผ่านไปหลายปีผมเรียนมาเรื่อยๆ.
(๒. เรื่องเริ่มเห็นสิ่งเเปลกๆ)
ในวัยเด็กที่ผมเรียนไปเรื่อยคือตั้งเเต่ ป.1 ไล่ไปนี้คือเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอเเค่คนเดียว 1.เรื่องโรงเรียน-โรงเรียนของผมเนี่ยเเต่ก่อนเคยเป็นป่าช้าเก่าตอนเด็กนั้นผมไม่รู้) บ้านของผมจะอยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุดเพราะหมู่บ้านผมอยู่หลังโรงเรียนเเต่ไม่ได้ติดกับโรงเรียนถ้าปั่นจักรยานไปก็ประมาณ 15น.+ วันนั้นเเม่ผมต้องออกไปจากบ้านไปเปิดร้านขายส้มตำในหมู่บ้านใหญ่คือต้องไปเตรียมของ ตั้งเเต่ตี 4 เกือบตี 5 ผมจะสะดุ้งตื่นพร้อมเเม่ตลอดเพราะนอนกับเเม่พอเเม่จะออกไปเเม่พูดว่า "อยู่ได้ไหม" ผมในความเกรงใจตอบว่า อยู่ได้ เเต่จริงๆเเล้วตอนเเม่ออกไปเเล้วผมไม่เคยนอนหลับต่อเลยเพราะผมกลัวผมจะนั่งเล่นจนกว่าฟ้าจะขึ้นพอฟ้าสว่างนิดหน่อยผมก็อาบนํ้าเเต่งตัวไปโรงเรียนเลยเเต่จริงๆเเล้วผมต้องไปเอากับข้าวกับเเม่ที่ร้านเเต่วันนั้นผมไม่ไป ผมไปที่โรงเรียนเลย เพราะมีวาระทำความสะอาดห้อง ช่วงนั้นผมยังไม่มีโทรศัพท์นาฬิกาในบ้านก็ไม่มีผมรีบปั่นไปโรงเรียน ช่วงฟ้ายังครึ้มๆน่าจะประมาณตี 5 นิดๆ ผมนั้นคิดว่า"น่าจะไม่มีใครมาเร็วกว่าเราเเล้ว"ผมเดินไปหน้าอาคารเรียน เเต่หางตาผมเห็นเงาดำเดินไปที่ห้องของผม เเต่ผมไม่คิดไรมากเพราะคิดว่าตาฝาด เลยลอดลูกกรงอาคารเรียนขึ้นไปชั้น 2 เพราะตัวเองตัวเล็กพอจะเดินไปห้องตัวเอง ได้ยินเสียงของตกในห้องอื่นห้องที่ของตกนั้นไม่ได้ล็อคผมเลยเปิดเข้าไปดู พอเข้าไปดูพบว่าของที่ตกเป็นหิ้งพระที่มีดอกไม้เเห้ง เเต่ตอนเด็กนั้นผมไม่สนใจเลยเดินไปห้องตัวเองเข้าไปเเล้วก็ไม่พบอะไรผมก็ทำกิจของผมต่อไป ผมนั้นมาเช้าเเบบนี้เกือบทุกครั้ง เเละเห็นเงาดำบ่อยมาก เข้าทางหลังโรงเรียนเจอเงาดำที่ห้องนํ้าบ้าง ที่โรงครัวบ้าง หนักสุดคือเสียงคนวิ่ง ผมก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ
(๓.เห็นสิ่งเเปลกๆหนักจนระเเวง)
มีวันหนึ่งผมนอนที่บ้านกับเเม่ตัวติดเเม่มาก พ่อไม่อยู่พอตกคํ่าเเม่จะเปิดไฟหน้าบ้านรอพ่อเเละเปิดประตูไว้ (ระเเวกบ้าน คือทุ่งนาสุดลูกตาบวกกับเป็นบ้านที่อยู่ริมสุดหมู่บ้าน) ต่อ ผมเผลอหลับเเล้วผมได้ยินเสียงกุกกักพอลืมตาขึ้นมาเห็นเเม่เดินออกจากประตูไป ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้กลัวผมรีบลุกเเล้ววิ่งไปที่ประตูทันที ทันใดนั้นมีเสียงเรียกผมจากด้านหลังว่า "จะไปไหน" ผมหันกลับไปผมพบว่าเเม่ก็นอนอยู่กับผม พอผมหันกลับไปที่ประตูก็พบว่าไม่มีใครเดินออกไปมีเเต่ความมืดด้านนอกผมก็รีบวิ่งกลับไปหาเเม่เเล้วเล่าเรื่องที่ผมเห็นเเม่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไรนอนต่อเถอะ พอเหตุการณ์ผ่านมา ผมนั้นผ่านเหตุการณ์ (เฉียดตายมา 3 ครั้ง) คือเกือบโดน รถเหยียบ กับชน 2 ครั้ง เพราะตัวเองปั่นจักรยานเเล้วไปล้มตรงหน้ารถเปะๆ กับเกือบจมนํ้า พอผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ผมก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยไป จนปิดเทอม
ช่วงปิดเทอมนั้นเป็นช่วงที่ผมอยู่ตัวคนเดียวนานที่สุดเพราะผมอยู่เเต่บ้านตัวเองเล่น ก้อนหิน เล่นไม้ ดูโทรทัศน์บ้าง เพราะตัวเองไม่มีโทรศัพท์ ผมสังเกตุว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ (บ้านตัวเอง) ตอนผมนั่งดูโทรทัศน์ในบ้านผมนั่งบนเตียงนอนบนหัวเตียงนอนเป็นหน้าต่างไม้ที่เปิดรับเเสงตอนเช้าผมนั่งดูไปซักพักรู้สึกเสียวสันหลังเเต่ยังไม่หันไปเเต่บังเอิญหางตามองไปเห็นเงาสีดำที่ยืนใกล้ผมมากที่หน้าต่างตัวผมนั้นดีดออกจากเตียงทันทีเเล้ววิ่งไปนอกบ้านเเล้วดูข้างนอกว่ามีใครไหมเเต่ดูเเล้วก็ไม่มีใคร ผมเจอซํ้าๆเเบบนี้หลายรอบ ไม่ว่าจะตอนเช้า หรือ คํ่า ผมก็กลัวบ้านตัวเอง เเล้วเป็นคนที่หลับยากมากเเม้จะนอนกับพ่อเเม่ ชอบเห็นเงาเเวบไปมาตลอด
(เรื่องที่ไม่ได้อธิบายตั้งเเต่ก่อนหน้านี้ คือผมบวชฤดูร้อนเกือบทุกปี ช่วงปิดเทอม 15 วัน) ต่อ- ผมใช้ชีวิตด้วยความกลัวมาหลายปี จนถึงปีที่ปิดเทอมนี้ ผมนั่งเล่นที่หน้าบ้านช่วงบ่ายโมง มีเณรรุ่นพี่ พาเพื่อน มาประมาณ 5 รูป มาชวนผมไปบวช ด้วยความที่ผมบวชมาปีละ 15 วัน เลยจะชวนไปบวชอีก เเต่พอพี่เณรมาถามว่าจะบวชไหม ผมคิดในใจว่า "เราบวชมาหลายรอบเเล้วปีนี้อยากวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไปบ้าง" ผมเลยตอบไปว่า "ไม่บวชครับ" พอพี่เณรถามหลายรอบผมก็ตอบไปอย่างนั้น พอพี่เณรเข้าใจท่านก็พาเพื่อนกลับไป ผมก็นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านไปเรื่อยๆจนประมาณ 5 หรือ เกือบ 6 โมงเย็น อยู่ดีๆผมก็รู้สึกเหงาเเล้วเศร้าไปพร้อมกันอธิบายไม่ถูก เเล้วคิดว่าบวชดีไหม พอคิดไปคิดมาเหมือนมีอะไรดลใจให้บวช พอพ่อเเม่กลับมา ผมก็บอกไปว่า "พาผมไปส่งวัดหน่อยจะไปบวช" พ่อเเม่ก็ถามว่าเเน่ใจนะ ผมก็บอกว่าเเเน่ใจ พ่อก็ไปส่งผมที่วัดเเล้วผมก็บวชในวันต่อมา ถามว่าผมบวชเเล้วกลัวไหมผมตอบเลยว่าผมไม่กลัวเท่าตัวเองอยู่บ้านถามว่าเจอสิ่งลี้ลับไหมที่บวช ผมก็มีเจอบ้างนิดหน่อยเเต่ก็เริ่มชินเเล้ว จนตอนนี้ผมบวชมา เกือบสิบปีเเล้ว.
สรุป:สิ่งที่ผมเห็นมันอาจจะเป็นเเค่สิ่งที่ผมคิดไปเองอาจจะเป็นคนกลัวมากๆจนทำให้สมองผมสร้างสิ่งที่มันน่ากลัวขึ้นมา หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่เขามาบอกให้ผมบวชผมคิดว่าที่ผมบวชมาจนถึงทุกวันนี้เหมือนชะตาลิขิตให้ผมบวช ผมบวชอยู่ที่วัดบ้านจนย้ายมาเรียนที่กรุงเทพจนถึงทุกวันนี้ก็ยังบวชอยู่ เรื่องทั้งหมดที่มานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอ ขอให้ทุกคนที่อ่านพิจารณาตามสมควรต่อไป😄รูปนี้เป็นรูปสถานที่ทางเข้าบ้านหรือโรงเรียนเมื่อปี 2015
เรื่องเเปลกเเละหลอนในชีวิต
เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนเซ็นท์เเรง(เกิดวันเสาร์)เเต่ก็อาจจะไม่เกี่ยว เริ่มเรื่องคือ ผมเกิดเเถวอีสานใต้ มาในครอบครัวที่ยากจน (บ้านผมเป็นบ้านพระราชทาน) ในบ้านมีกัน 5 คน มีพ่อเเม่ พี่ชาย2คนรวมผมเป็น (5) คน เเต่พี่ชายผมไปทำงานที่กรุงเทพตั้งเเต่เรียนยังไม่จบ
(๑. ช่วงเรื่องวัยเรียน) -ผมเป็นคนเกิดวันเสาร์ที่ ๒๐ เดือนมกราคม ผมอยู่ในตำบลที่ค่อนข้างใหญ่เเต่เเยกออกไปหลายหมู่บ้าน เเต่หมู่บ้านผมเป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่เป็นหมู่บ้านที่มีทุ่งนาล้อมรอบสุดลูกตาบ้านผมอยู่ขอบหมู่บ้านทางเข้าเป็นคันนาเล็กๆเเต่ทางเข้ามีศาลพระภูมิ (เรื่องความกลัว ผมเป็นคนที่กลัวผีตั้งเเต่เด็กเเม้จะโตเเล้วก็ตามบวกกับความเชื่อเเถวภาคอีสาน)อีกอย่างยายผมเป็น(หมอธรรม หรือ หมอความเชื่อ) นี่เป็นสิ่งเเรกที่ทำให้ผมรู้ว่าผีมีจริงในชีวิตหรือจอาจจะเป็นเเค่อุปทานหมู่เรื่องคือว่า หลังจากที่ผมเลิกเรียนผมกลับมาบ้านคนในหมู่บ้านคุยกันว่ายายที่อยู่ในหมู่บ้านโดนผีปอบเข้าเเละดูเหมือนจะไม่รอดพอผมกลับถึงบ้านพี่ชายผมบอกว่าจะพาไปดูผีพวกเราก็พากันปั่นจักรยานไปบ้านยายที่กำลังทำพิธีไล่ผีภาพที่ผมเห็นคือยายคนที่โดนผีปอบเข้าคือท้องปล่องบวมผมคิดว่ายายคนนั้นไม่น่าจะมีเเรงเเล้วเเต่ไม่เลยยายคนที่โดนผีปอบเข้านั้นทำหน้าตาเเลบลิ้นน่ากลัวเเล้วพูดว่า(กูกินมันหมดเเล้วหละ)จากนั้นยายผมก็ทำพิธีไล่ของท่านไปต่อเเต่ผมไม่ได้ดูจนจบผมกลับบ้านก่อน พอเช้ามายายคนนั้นก็เสียอย่างน่าเเปลกใจเเต่ตอนนั้นผมยังเด็กมากเลยไม่ได้สนใจ จนเวลาผ่านไปหลายปีผมเรียนมาเรื่อยๆ.
(๒. เรื่องเริ่มเห็นสิ่งเเปลกๆ)
ในวัยเด็กที่ผมเรียนไปเรื่อยคือตั้งเเต่ ป.1 ไล่ไปนี้คือเหตุการณ์ที่ประสบพบเจอเเค่คนเดียว 1.เรื่องโรงเรียน-โรงเรียนของผมเนี่ยเเต่ก่อนเคยเป็นป่าช้าเก่าตอนเด็กนั้นผมไม่รู้) บ้านของผมจะอยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุดเพราะหมู่บ้านผมอยู่หลังโรงเรียนเเต่ไม่ได้ติดกับโรงเรียนถ้าปั่นจักรยานไปก็ประมาณ 15น.+ วันนั้นเเม่ผมต้องออกไปจากบ้านไปเปิดร้านขายส้มตำในหมู่บ้านใหญ่คือต้องไปเตรียมของ ตั้งเเต่ตี 4 เกือบตี 5 ผมจะสะดุ้งตื่นพร้อมเเม่ตลอดเพราะนอนกับเเม่พอเเม่จะออกไปเเม่พูดว่า "อยู่ได้ไหม" ผมในความเกรงใจตอบว่า อยู่ได้ เเต่จริงๆเเล้วตอนเเม่ออกไปเเล้วผมไม่เคยนอนหลับต่อเลยเพราะผมกลัวผมจะนั่งเล่นจนกว่าฟ้าจะขึ้นพอฟ้าสว่างนิดหน่อยผมก็อาบนํ้าเเต่งตัวไปโรงเรียนเลยเเต่จริงๆเเล้วผมต้องไปเอากับข้าวกับเเม่ที่ร้านเเต่วันนั้นผมไม่ไป ผมไปที่โรงเรียนเลย เพราะมีวาระทำความสะอาดห้อง ช่วงนั้นผมยังไม่มีโทรศัพท์นาฬิกาในบ้านก็ไม่มีผมรีบปั่นไปโรงเรียน ช่วงฟ้ายังครึ้มๆน่าจะประมาณตี 5 นิดๆ ผมนั้นคิดว่า"น่าจะไม่มีใครมาเร็วกว่าเราเเล้ว"ผมเดินไปหน้าอาคารเรียน เเต่หางตาผมเห็นเงาดำเดินไปที่ห้องของผม เเต่ผมไม่คิดไรมากเพราะคิดว่าตาฝาด เลยลอดลูกกรงอาคารเรียนขึ้นไปชั้น 2 เพราะตัวเองตัวเล็กพอจะเดินไปห้องตัวเอง ได้ยินเสียงของตกในห้องอื่นห้องที่ของตกนั้นไม่ได้ล็อคผมเลยเปิดเข้าไปดู พอเข้าไปดูพบว่าของที่ตกเป็นหิ้งพระที่มีดอกไม้เเห้ง เเต่ตอนเด็กนั้นผมไม่สนใจเลยเดินไปห้องตัวเองเข้าไปเเล้วก็ไม่พบอะไรผมก็ทำกิจของผมต่อไป ผมนั้นมาเช้าเเบบนี้เกือบทุกครั้ง เเละเห็นเงาดำบ่อยมาก เข้าทางหลังโรงเรียนเจอเงาดำที่ห้องนํ้าบ้าง ที่โรงครัวบ้าง หนักสุดคือเสียงคนวิ่ง ผมก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ
(๓.เห็นสิ่งเเปลกๆหนักจนระเเวง)
มีวันหนึ่งผมนอนที่บ้านกับเเม่ตัวติดเเม่มาก พ่อไม่อยู่พอตกคํ่าเเม่จะเปิดไฟหน้าบ้านรอพ่อเเละเปิดประตูไว้ (ระเเวกบ้าน คือทุ่งนาสุดลูกตาบวกกับเป็นบ้านที่อยู่ริมสุดหมู่บ้าน) ต่อ ผมเผลอหลับเเล้วผมได้ยินเสียงกุกกักพอลืมตาขึ้นมาเห็นเเม่เดินออกจากประตูไป ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้กลัวผมรีบลุกเเล้ววิ่งไปที่ประตูทันที ทันใดนั้นมีเสียงเรียกผมจากด้านหลังว่า "จะไปไหน" ผมหันกลับไปผมพบว่าเเม่ก็นอนอยู่กับผม พอผมหันกลับไปที่ประตูก็พบว่าไม่มีใครเดินออกไปมีเเต่ความมืดด้านนอกผมก็รีบวิ่งกลับไปหาเเม่เเล้วเล่าเรื่องที่ผมเห็นเเม่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไรนอนต่อเถอะ พอเหตุการณ์ผ่านมา ผมนั้นผ่านเหตุการณ์ (เฉียดตายมา 3 ครั้ง) คือเกือบโดน รถเหยียบ กับชน 2 ครั้ง เพราะตัวเองปั่นจักรยานเเล้วไปล้มตรงหน้ารถเปะๆ กับเกือบจมนํ้า พอผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ ผมก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยไป จนปิดเทอม
ช่วงปิดเทอมนั้นเป็นช่วงที่ผมอยู่ตัวคนเดียวนานที่สุดเพราะผมอยู่เเต่บ้านตัวเองเล่น ก้อนหิน เล่นไม้ ดูโทรทัศน์บ้าง เพราะตัวเองไม่มีโทรศัพท์ ผมสังเกตุว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ (บ้านตัวเอง) ตอนผมนั่งดูโทรทัศน์ในบ้านผมนั่งบนเตียงนอนบนหัวเตียงนอนเป็นหน้าต่างไม้ที่เปิดรับเเสงตอนเช้าผมนั่งดูไปซักพักรู้สึกเสียวสันหลังเเต่ยังไม่หันไปเเต่บังเอิญหางตามองไปเห็นเงาสีดำที่ยืนใกล้ผมมากที่หน้าต่างตัวผมนั้นดีดออกจากเตียงทันทีเเล้ววิ่งไปนอกบ้านเเล้วดูข้างนอกว่ามีใครไหมเเต่ดูเเล้วก็ไม่มีใคร ผมเจอซํ้าๆเเบบนี้หลายรอบ ไม่ว่าจะตอนเช้า หรือ คํ่า ผมก็กลัวบ้านตัวเอง เเล้วเป็นคนที่หลับยากมากเเม้จะนอนกับพ่อเเม่ ชอบเห็นเงาเเวบไปมาตลอด
(เรื่องที่ไม่ได้อธิบายตั้งเเต่ก่อนหน้านี้ คือผมบวชฤดูร้อนเกือบทุกปี ช่วงปิดเทอม 15 วัน) ต่อ- ผมใช้ชีวิตด้วยความกลัวมาหลายปี จนถึงปีที่ปิดเทอมนี้ ผมนั่งเล่นที่หน้าบ้านช่วงบ่ายโมง มีเณรรุ่นพี่ พาเพื่อน มาประมาณ 5 รูป มาชวนผมไปบวช ด้วยความที่ผมบวชมาปีละ 15 วัน เลยจะชวนไปบวชอีก เเต่พอพี่เณรมาถามว่าจะบวชไหม ผมคิดในใจว่า "เราบวชมาหลายรอบเเล้วปีนี้อยากวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไปบ้าง" ผมเลยตอบไปว่า "ไม่บวชครับ" พอพี่เณรถามหลายรอบผมก็ตอบไปอย่างนั้น พอพี่เณรเข้าใจท่านก็พาเพื่อนกลับไป ผมก็นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านไปเรื่อยๆจนประมาณ 5 หรือ เกือบ 6 โมงเย็น อยู่ดีๆผมก็รู้สึกเหงาเเล้วเศร้าไปพร้อมกันอธิบายไม่ถูก เเล้วคิดว่าบวชดีไหม พอคิดไปคิดมาเหมือนมีอะไรดลใจให้บวช พอพ่อเเม่กลับมา ผมก็บอกไปว่า "พาผมไปส่งวัดหน่อยจะไปบวช" พ่อเเม่ก็ถามว่าเเน่ใจนะ ผมก็บอกว่าเเเน่ใจ พ่อก็ไปส่งผมที่วัดเเล้วผมก็บวชในวันต่อมา ถามว่าผมบวชเเล้วกลัวไหมผมตอบเลยว่าผมไม่กลัวเท่าตัวเองอยู่บ้านถามว่าเจอสิ่งลี้ลับไหมที่บวช ผมก็มีเจอบ้างนิดหน่อยเเต่ก็เริ่มชินเเล้ว จนตอนนี้ผมบวชมา เกือบสิบปีเเล้ว.
สรุป:สิ่งที่ผมเห็นมันอาจจะเป็นเเค่สิ่งที่ผมคิดไปเองอาจจะเป็นคนกลัวมากๆจนทำให้สมองผมสร้างสิ่งที่มันน่ากลัวขึ้นมา หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่เขามาบอกให้ผมบวชผมคิดว่าที่ผมบวชมาจนถึงทุกวันนี้เหมือนชะตาลิขิตให้ผมบวช ผมบวชอยู่ที่วัดบ้านจนย้ายมาเรียนที่กรุงเทพจนถึงทุกวันนี้ก็ยังบวชอยู่ เรื่องทั้งหมดที่มานี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอ ขอให้ทุกคนที่อ่านพิจารณาตามสมควรต่อไป😄รูปนี้เป็นรูปสถานที่ทางเข้าบ้านหรือโรงเรียนเมื่อปี 2015