ลองขับท่องเที่ยวจริงๆวิ่ง 1,800 Ford Everest Wildtrak เสียค่าน้ำมันเท่าไหร่

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ
และแล้วก็ได้มีโอกาสมาขับ Ford Everest Wildtrak อีกครั้ง ส่วนตัวเคยขับมาแล้วเมื่อสัก 1 ปีที่แล้ว
ในตอนนั้นยังไม่มีตัว ที่เติม Adblue / ตอนนั้นขับไป จ.แม่ฮ่องสอน ไปพิชิต 1,864 โค้งก็พอจะรับรู้ถึงสมรรถนะของรถได้อย่างดี

มาครั้งนี้ปี 2025 ได้มาขับ Everest Wildtrak อีกครั้งซึ่งเป็นตัวที่เติม Adblue / ครั้งนี้ทดสอบขับแบบท่องเที่ยวจริงๆ วิ่งไกลๆ
จาก กทม - ชะอำ - สำรวจหาดปึกเตียน - กลับมา กทม / วันรุ่งขึ้นขับจาก กทม - กำแพงเพชร ช่องเย็น ( เย็นสมชื่อ ) จากนั้นไป ลำปาง
และกลับมาจบทริปนี้ที่ กทม รวมๆแล้วระยะทางทั้งหมดที่วิ่งไป 1,800 กว่ากิโลเมตร

มีผู้โดยสาร 4 คนเป็นผู้ใหญ่ 2 ผู้สูงอายุ 2 รวม 4 คน และแมว 1 ตัว + ของสัมภาระกระเป๋าเสื้อผ้าต่างๆ เต็มท้ายรถ วันแรกที่จาก กทม - ชะอำ
ผมเป็นคนขับออกจากบ้านตีห้าครึ่ง เติมลมยางหน้า 38 หลัง 42 ( ง่วงนอนเลยเติมไม่เท่ากัน จริงควรจะ 42 ทั้ง 4 ล้อ ) เราใช้เส้นทางพระราม 2
คิดในใจหวั่นๆ อยู่นะแต่ไม่อยากอ้อมไปทางอื่น พระราม 2 ช่วงนั้นรถไม่เยอะไม่ติดเลย เราใช้ความเร็ว 80 90 100 ไม่เกิน 110 ส่วนใหญ่จะขับ
90 80 100 ซะมากกว่า แตะคันเร่งเบาๆ ไม่กดเร่ง ไม่จี้รถข้างหน้า เบรคให้น้อย จับจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ มองไกลๆ ทำให้มาถึงที่ตลาดชะอำ


อัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 14 โลลิตร แลกมากับเท้าแข็งเหมือนโดนสตาฟ 555 เพราะต้องอยู่แบบนั้นเรื่อยๆ ไม่ใช้ ACC นี่คือตัวเลขที่น้ำมันเต็มถัง
รีเซ็ทเป็น 0 จากบ้านมา สังเกตจอแสดงผลบอกวิ่งได้อีก 762 กม. แวะกินข้าวต้มทะเล ข้าวต้มปลาที่ตลาดชะอำ อร่อยเจ้านี้ลองแวะดูมีเจ้าเดียว
จากนั้นขับเผาผลาญน้ำมันไปที่หาดชะอำ วันธรรมดาดูเงียบหน่อยมีคนบ้างและขับต่อไปที่สะพานปูชัก




ตั้งแต่ขับจาก กทมมาฝนตกยันชะอำสะพานปูชักคนมาซื้อปูเยอะนะ ผมเองก็ซื้อมา 2 โลเขานึ่งให้ตรงนั้นเลยโลละ 300 350 400 450 500
แล้วแต่ไซค์ แต่ยอมรับว่าสดหวานเนื้อปู แต่กินไปเรื่อยๆ เริ่มได้รสชาติน้ำทะเลเค็มๆ จนปากซีด   




หลังจากนั้นขับไปสำรวจหาดปึกเตียน
เงียบเลยที่ปึกเตียนแต่มีรีสอร์ท ร้านกาแฟร้านอาหารเปิดนะ แต่คนนี่น้อยมากๆ นับรถได้ 3 คัน เงียบเหงาทีเดียว



ลืมบอกไปก่อนที่จะไปหาดชะอำ
หลังจากกินข้าวที่ตลาดชะอำเสร็จ เราไปที่ร้านขนมปัง ฝรั่งเศสร้านนี้ขายขนมปังต่างๆ มีพวกอาหารแนวสปาเก็ตตี้พาสต้าให้นั่งทานได้
ร้านนี้ถ้าพาแม่มาทีไรต้องแวะซื้อประจำหรือไม่ก็ซื้อไปฝากแม่ /  ต่อจากที่หาดปึกเตียนเราก็แวะริมทางไปเรื่อยและขับกลับ กทม ระหว่าง
ที่กลับ กทม พ่อผมลองขับจนถึงแถว สมุทรสงครามเปลี่ยนมาเป็นผมขับเข้า กทม จนถึงบ้าน


เช้าวันรุ่งขึ้นออกจากบ้าน 6 โมงนิดๆ มาดูอัตราสิ้นเปลืองที่กลับมาจากเมื่อวานได้ 12.9 โลลิตร ยังวิ่งได้อีก 551 กม. และวันนี้เราจะไปที่ จ.กำแพงเพชร ไปช่องเย็น ผมขับจากบ้านออกมาใช้เส้นมอเตอร์เวย์ ( จริงๆ ถ้าไปทางด่วนจะใกล้กว่า แต่อยากผลาญน้ำมัน 555 )  ขับมาได้ถึงสายเอเชียหลังจากกินข้าวเช้า
พ่อผมบอกจะขับเองไปจนถึง กำแพงเพชร ส่วนผมก็ได้จังหวะมาลองนั่งด้านหลัง พบว่าถนนลาดยางเรียบๆ ช่วงล่างจะนุ่มดีนั่งสบายไม่เด้ง  แต่เจอถนนคอนกรีตหรือปูน จะเด้งบ้างแต่ไม่เท่ารถกระบะ ถนนหลุมน้อยๆ เก็บอาการได้ดีสะเทือนบ้างบางๆ  ภายในห้องโดยสารกว้างโปร่ง เบาะรองนั่งสั้นไปหน่อย
พนักพิงหลังโอเคเลย ปรับเอนสบายๆ แอร์เย็น ช่วงหัวกับเพดานรถก็มีที่เหลือช่วงขาก็เหลือ  แต่จะติตรงที่เบาะรองนั่งไม่ว่าจะด้านหน้าหรือหลังไม่ค่อยนุ่ม

นั่งนานๆ เดินทางไกลผมรู้สึกเมื่อยแก้มก้น เบาะรองนั่งด้านหลังรู้สึกยังนั่งไม่ค่อยสบายไม่ค่อยลงตัว และควรมีที่จับด้านบนเพดานมาให้ เวลารถเหวี่ยงจะได้จับถนัด ไม่ใช่ไปจับตรงที่ประตูไม่กนัด

พอดีผมเห็นพ่อขับยาวเลยถ่ายไว้ในคลิปสัมภาษณ์ซะเลย เขาบอกขับสนุกดี นั่งสบายกว้าง เสียงเครื่องไม่ค่อยดังเข้ามาในห้องโดยสาร ช่วงล่างนุ่มดีไม่ค่อยเด้งมาก  ซึ่งพ่อผมขับทางยาวๆ ไม่บ่นเมื่อยเลยแปลก เอาตรงๆ ทั้งพ่อและแม่บอกว่านั่งสบายดี เหมือนผู้สูงอายุจะชอบ แต่แม่บอกรถมันสูงขึ้นลง ไม่ค่อยสะดวกเท่านั้นเอง  พ่อผมบอกขับที่ 110 ได้ 12 โลลิตร ตามนั้นครับ



และแล้วเราก็มาเติมน้ำมันถังแรกที่ จ.นครสวรรค์ ก่อนเติมผมลืมถ่ายให้ดูและลืมจดไว้ด้วย แต่พอจำได้ว่าน้ำมันยังเหลือให้วิ่งอีกประมาณ 300 โลได้
เราเติมน้ำมันดีเซล B7 เติมไป 1800 บาท 55.80 ลิตร / ลิตรละ 32.26 บาท



นี่เป็นการเติมน้ำมันถังแรกที่วิ่งจาก กทม - ชะอำ - หาดปึกเตียนแวะเที่ยวมาเรื่อยจนถึงบ้านที่ กทม และวันรุ่งขึ้นขับมาเติมที่ จ. นครสวรรค์
รวมระยะทางวิ่งมาทั้งหมด 681 กม. อัตราสิ้นเปลือง 12.7 โลลิตร ตอนเติมน้ำมันเต็มถังมาดูจอหน้าปัดบอกวิ่งได้อีก 900 กว่าโล  จากนั้นรีเซ็ทเป็น 0 และเดินทางต่อไปยัง ช่องเย็น จ.กำแพงเพชรและนี่เป็นครั้งแรก ที่ได้ไปช่องเย็น



ทางขึ้นเป็นทางชันบ้าง + วันนั้นฝนตกผมใช้ขับ 2H ธรรมดาก็ไปได้สบายๆ มี Traction control สบายถ้าไม่ไหวก็ยังมี โหมด Slippery ( ถนนลื่นเปียก ) ให้เลือกใช้และยังมี 4H 4L ให้เลือกใช้แค่ปลายนิ้ว ทางขึ้นมีทางชันหักศอกบ้าง แต่สบายๆไม่เท่าไหร่





ระหว่างทางจะเจอจุดชมวิวกิ่วกระทิง ผมชอบมากๆ สวยธรรมชาติอากาศดีแม้จะฝนตก เรียกได้ว่าขึ้นมายิ่งสูงอากาศยิ่งลดลงไปทุก 1 องศา
อยากจะอยู่ตรงนี้นานๆ แต่เรายังต้องไปอีกเพราะช่องเย็น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะปิดไม่ให้ขึ้นหลัง 5 โมงเย็น



และแล้วก็มาถึงช่องเย็น เย็นสมชื่อครับวันนั้น 22 องศาสบายๆ + ฝนตก มีคนมากางเต๊นท์ 2 เต๊นท์ ผมเดินรอบๆ เดินไปมาเจอ หมอกซะงั้นค่อยๆมาจนหนาเลยสวยมากๆ ครับที่นี่ ธรรมชาติสุดๆ ระหว่างทางตั้งแต่ทางขึ้น สังเกตดีๆ จะเห็นมูลสัตว์ เห็นไก่ป่า นกต่างๆ กระแตกระรอก ( และอยากให้ที่นี่รักษาแบบนี้ไว้เพราะรู้สึกช่องเย็นไม่มีไฟฟ้านะ )  *** เพราะที่ธรรมชาติสวยๆ มีไฟฟ้าคนมาเยอะเมื่อไหร่ ธรรมชาตที่นั่น บรรลัย ทันที ***



อยู่ที่ช่องเย็นประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับลงมาซึ่งฝนก็ตกตลอดเช่นกัน เดี๋ยวถ้าพร้อมอีกผมก็จะมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน ผมชอบธรรมชาติ ต้นไม้ ป่า ภูเขา ทะเล
ขากลับลงมาวิวก็สวยดีนะ


ต่อจากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง จ.ลำปางและอยู่ที่ ลำปาง 2 วันวิ่งรถเล่นในเมืองลำปางหาของกินบ้าง และแล้วก็ถึงวันที่ต้องกลับ กทม ในใจไม่อยาก
กลับเลยผมรู้สึกชอบการเดินทางไกล เสพบรรยากาศต่างๆ วิถีชีวิตคน อาหาร



ขากลับเติมน้ำมันเต็มถังที่ ลำปาง และเป็นถังที่ 2 ที่เติม ซึ่งน้ำมันก่อนเติมยังวิ่งได้อีกเยอะ แต่พ่อบอกให้เติม เราเติมไปทั้งหมด 1620 บาท
49.78 ลิตร ลิตรละ 32.54 บาท



และจากที่เราเติมที่ นครสวรรค์ไปช่องเย็นและมาที่ลำปางวิ่งไปแล้ว 541 กม. อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 10.9 โลลิตร เพราะช่วงขึ้นเขาไปช่องเย็น + ขาลง
ต้องใช้เบรคบ่อยใช้อัตราเร่งบ่อยและช่วงที่ไปลำปางใช้ควาามเร็ว 115 -120 มีกดเร่งลองอัตราเร่งด้วย และก็วิ่งในตัวเมืองลำปาง
หลังจากเติมเสร็จกดรีเซ็ท 0 ที่จอบอกว่าวิ่งได้อีก 813 กม. ( จำไว้ให้ดีนะครับเติมน้ำมันที่ลำปาง และจะวิ่งกลับ กทม )


ขอย้อนเล่าถึงตอนช่วงวิ่งไปลำปางไปถึงก็มืดแล้วน่าจะ 2 ทุ่มกว่า ระหว่างเดินทางสองข้างทางมืดดี ไฟหน้าให้ความสว่างมากๆเลยแสงไฟขาวนวล
ไม่แยงตารถฝั่งตรงข้ามไฟหน้าเปิดปิดอัตโนมัติ ไฟหน้าจะคอยจับแสงไฟจากรถฝั่งตรงข้าม ถ้าเจอมันจะปรับไฟลงให้ทำให้ไม่แยงตารถฝั่งตรงข้าม
อันนี้ดีมากๆ ส่วนหน้าจอกลาง จอมาตราวัดปรับแสงอัตโนมัติตั้งค่าได้ พอมืดลงจอก็จะปรับเป็นโทนดำ กลางวันก็จะปรับสว่างสีขาว เหมือนไฟหน้ารถตั้งไว้อัตโนมัติพอมืดก็จะเปิดไฟเอง

พูดถึงสมรรถนะเจ้ารถ Everest Wildtrak 2.0 ลิตรไบเทอร์โบ 210 ม้า แรงบิด 500 เหลือๆ ครับพอกับการใช้งานครอบครัวเดินทางไกล เหนือ ใต้ ออกตก
ขึ้นเขา ขึ้นดอย ใช้งานแบบคนทั่วๆไป พอแล้วกำลังเครื่องหายห่วง + กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด E Shifter ตอบสนองได้ไว ทำงานราบลื่นนุ่ม รอบต่อเกียร์แทบไม่รู้สึก ช่วงล่างการทรงตัว โยกซ้ายขวามีโยนบ้างตามอาการ ก็รถทรงสูงแบบนี้แต่ไม่ได้น่ากลัว ช่วงล่างวิ่งถนนลาดยางเรียบๆ นุ่มสบาย วิ่งถนนคอนกรีต มีเด้งบ้างแต่ไม่เท่ารถกระบะ เจอหลุมน้อยๆ เก็ยซับได้ดีพอประมาณ  
ช่วงล่างหน้า อิสระปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพ Twin-tube และเหล็กกันโคลง
ด้านหลัง Watt-link พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพ Twin-tube และเหล็กกันโคลง

ระบบเบรค หน้า แบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Discs)
ด้านหลัง เป็นจานเบรก แบบ Solid ธรรมดา
เบรคเหมือนจะไม่อยู่ เบรคเหมือนรถจะไหล แต่กดลึกหน่อยก็อยู่นะ ควรชะลอยกคันเร่งมาก่อนหรือขับมา 100 กว่าควรยกคันเร่งมาแต่ไกล
โหมดการขับขี่ มีให้เลือกใช้งานเพียบ Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery,Mud/Ruts and Sand ปรับให้เหมาะกับช่วงเวลานั้นๆ
ยังมี 2H 4H 4L ให้เลือกใช้

ตัดกลับมาเติมน้ำมันเต็มถังจากลำปาง มาตรวัดบอกว่าวิ่งได้ 800 กว่าโล ผมขับแบบไปเรื่อยๆ 90 100 110 130 นิดเดียว
กลับมาถึงบ้านที่ กทม. ได้ 13.4 โลลิตร ระยะทางที่วิ่งมา 620 กม. วันนั้นอากาสร้อนตับแตกด้วย
มองดูตัวเลขที่ยังเหลือให้วิ่งอีก 359 กม. ( เยอะมาก ) เพราะฉะนั้นเอา 359 + 620 คิดเล่นๆ นะน้ำมัน 1 ถังขับแบบผมขับ
วิ่งได้ 900 กว่าโล กับรถหนักๆแบบนี้  
สรุปค่าน้ำมันทั้งหมด
วิ่งไป 1800 กว่าโล เสียค่าร้ำมันทั้งหมด 3420 บาท
ใครอยากดูคลิปก็รับชมได้ที่นี่ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=sYLa8d92xKo
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่