ข้อคิดจาก"สงครามส่งด่วน" สำหรับพนักงานที่ผู้ประกอบการอาจไม่ชอบ(ยาว)

(spoil )
สงครามส่งด่วน ซีรีส์ Netflix เรื่องใหม่จากคนไทยที่ดีจนพูดได้เลยว่าไม่แพ้ประเทศไหนจริงๆ

ทั้งบทพูดที่ดีและสนุกจนคนตัดเอามาทำคอนเทนต์ได้ทั้งเรื่อง

รวมถึง Part tech ที่สมจริงที่สุดในซีรีส์ที่มีโปรแกรมเมอร์เป็นตัวละครทั้งหมด

งานภาพ มุมกล้องดีหมด

หรือแม้แต่บทเรียนทางการเงินสำหรับ "ผู้ประกอบการ" ที่ดูจะได้แรงบันดาลใจมหาศาลในการทำธุรกิจ

แม้แต่สื่อที่อยู่นอกเหนือวงการซีรีส์ก็ยังชมเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อการลงทุนที่พูดถึงการเป็นเจ้าของหุ้นบริษัท ที่พระเอกโดนเพิ่มทุนจนตัวเองเหลือ ความเป็นเจ้าของ 1.9% ว่าเป็นข้อระวังที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรระลึกไว้ หรือจะเป็นเรื่องบอกผู้ประกอบการว่าต้องมีทีมที่ดีถึงจะประสบความสำเร็จ

แต่ในมุมมองพนักงานที่ไม่ได้อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ เมื่อดูเรื่องนี้ ผมกลับได้แง่คิดอีกอย่างที่ถ้าผู้ประกอบการรู้คงไม่ชอบเท่าไร

***Disclaimer คำวิจารณ์ต่อจากนี้เป็นการวิจารณ์ตัวละครในเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ตัวละครที่มีตัวตนอยู่จริง จะวิเคราะห์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์เท่านั้น***

1. อย่าทุ่มเทให้ธุรกิจที่ไม่ใช่ของเรา

แง่คิดนี้ไม่ได้มาจากที่สันติ เลือกที่จะไม่เป็นพนักงานใครเท่านั้น แต่ช่วงพาร์ตที่พระเอกออกมาตั้งบริษัทเอง แง่คิดนี้มันชัดเจนขึ้นมากกว่าช่วงแรกอีก
พนักงานใน SR Express ทุกคน. โดนประพฤติตัวแย่ๆ ใส่และยังเรียกได้ว่ามีชีวิตที่แย่มากในช่วงก่อตั้ง แน่นอน สันติเองก็เหนื่อย เจ้าของและพนักงานต่างก็เหนื่อย แต่ผลตอบแทนที่ได้หลังจากชนะ มีแต่ผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่ได้ผลประโยชน์




ลินุกซ์ ตัวละครที่เก่ง ถ้าเขาไปเป็นพนักงานที่ EZ
ก็คงมีเงินมากพอจะรักษาแม่โดยไม่ต้องทำเรื่องแย่ๆ
ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ ลินุกซ์ ทำถูก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ ว่า
การตัดสินใจที่มาจากความการมุ่งมั่นอยากรวยอยากชนะของคนๆ นึง มันมีกระทบกับ การตัดสินใจในครั้งนี้




     ช่วงแรกของการก่อตั้งเกือบจะไม่ได้ไปเยี่ยมแม่ที่ป่วย ทำงานอย่างหนักผลตอบแทนที่ได้คือ เมื่อบริษัทโตพอไปชกกับคู่แข่งได้แล้ว ต้องโดนลดเงินเดือน แทนที่เพื่อบริษัทจะได้ตัดราคาคู่แข่งได้ เนี่ยแหละผลตอบแทน

การสร้างปาฏิหารย์ต้องมีการเสียสละ ปาฏิหารย์ อย่างการเปลี่ยน"คนจนให้เป็นelite" หรือและการให้ธุรกิจเล็กชนะและกลายเป็นธุรกิจใหญ่เอง
ต้อง "ใช้การเสียสละของพนักงานกี่คน"?



แม้เราจะเห็นว่าผู้ถือหุ้นก็ต่างลดเงินเดือน แต่ในความเป็นจริงผมขอให้พนักงานทำเสียงคุณคนิน
"ลดเงินเดือนของคุณกับลดเงินเดือนของผม น้ำหนักมันไม่เท่ากัน"




เจ้าของยังมีหุ้น ลดเงินเดือนตัวเองไป ถ้าบริษัทโตขึ้นคุณก็รวยขึ้น เงินเดือนไม่ใช่ทั้งหมดของเขา พนักงานที่โดนลดเงินเดือน เงินเดือนคือทั้งหมดของพนักงาน
แม้แต่ตอนจบที่บริษัทประสบความสำเร็จ ชนะ EZ Express  สันติมีบริษัทยูนิคอร์น 30,000 ล้านสำเร็จ แต่พนักงานที่อยู่มาด้วยก็ยังเป็นพนักงานต่อไปนั่นแหละ ซึ่งมันสมจริงมาก เทียบกับ ใน Itaewonclass มีฉากหนึ่งที่พนักงานทุกคนจากช่วงแรกกลายเป็นหัวหน้าใส่สูทหรูหรา ใช้ชีวิตสบาย ในชีวิตจริงไม่เป็นแบบนั้นหรอก 30000ล้าน เค้าเขาเอาไปติดอาวุธให้ไปซัดในเกมธุรกิจ ที่เป็นเป้าหมายต่อไปหลังซีรีย์อีของเขา ความสนุกในสงครามธุรกิจของเขา ไม่ถึงคุณหรอก

2. บริษัทคุณไม่ได้เปลี่ยนโลก อย่าสำคัญตัวผิด

ประโยคนี้ไม่ได้บอกว่าเจ้าของบริษัทไม่ควรเชื่อว่าคุณทำสิ่งที่เปลี่ยนประเทศ หรือเปลี่ยนโลกอะไรก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าเจ้าของบริษัทต้องมีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ถึงจะทำงานได้ เพราะในหลายๆ ครั้งคุณต้องตัดสินใจในเรื่องแย่ๆ เช่น ไล่คนออก ลดเงินเดือนพนักงาน ทำลายคู่แข่ง ถ้าไม่มีความเชื่อว่าตัวเองทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าปกติอยู่ คงใช้ชีวิตยาก



แต่สำหรับพนักงาน อย่าไปหลงเชื่อประโยคที่บอกว่า "เราจะเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนโลก เราบริษัทเราสร้างงาน สร้างอาชีพ" จนต้องทำอะไรเกินตัวเอง
ในเรื่องจะมีฉากที่สันติบอกว่าอยากให้คนทั้งประเทศมีขนส่งราคา 25 บาท ลดความเลื่อมล้ำ
แต่จริงๆ แล้วความฝันพวกนี้สำเร็จไปตั้งแต่ตอนที่ EZ Express ก่อตั้งแล้ว ต่อให้ไม่มี Thunder สิ่งที่สันติทำหลังจากนั้นก็แค่ความแค้นและความอยากรวย  (ซึ่งสันติในเรื่องก็บอก)  โดยมีพนักงานเป็นเหยื่อของความแค้นและความอยากนี้เท่านั้น

ในโลกที่ไม่มี Thunder Express Rider ก็แค่ย้ายไปทำงานกับ EZ ทุกคนก็ยังมีงานเหมือนเดิม จำนวนคนมีงานในตลาดไม่ได้ต่างจากเดิม EZ ที่แพ้ตลาดแล้วหลังโดนควบรวมก็คงจะโดนลดพนักงานหรือแม้แต่ปิดตัว โลกที่ไม่มี Thunder Express นั้นอาจจะมีงานที่ EZ ที่ดูทรงจะให้ผลตอบแทนกับพนักงานดีกว่า Thunder ก็ได้

3. ควรเลือกทำงานบริษัทใหญ่มากกว่าบริษัทที่มีแค่ความฝันของคนธรรมดาอยากรวยคนนึง ถ้าไม่ได้หุ้น

ไม่เหมือนเจ้าของที่ high risk high reward เปลี่ยนคนธรรมดาเป็นชนชั้น elite แต่สำหรับพนักงานมัน high risk low reward


จริงอยู่thunder expressโดนกลั่นแกล้งจากคู่แข่งมากมายเพื่อไม่ให้สันติลืมตาอ้าปาก แต่
"คุณไม่ควรมาเป็นทหารในสงครามให้กับประเทศที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ"

ในเรื่องบอก 80% ของธุรกิจแบบนี้จะเจ๊ง

ช่วงที่เป็นไคลแมกซ์ 11-11 ถ้าเกิด Thunder all in ไปแล้ว ถ้าเกิดเจ๊งขึ้นมา พนักงานไม่ได้ค่าชดเชยอะไรแน่ คงเป็นสงครามฟ้องกันเป็นสิบๆ ปี ในขณะที่พนักงาน EZ ที่โอกาสชนะเยอะกว่า แต่ถ้าแพ้เขาหาทางลงที่จะได้ชดเชยตามกฎหมายทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง

ไม่เหมือนสันติที่ all in มีคนขอซื้อ 1,200 ล้านก็ไม่ยอม ตายเป็นตาย ได้1200ล้านต่อให้พนักงานบางส่วนต้องโดนเลย์ออฟก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าชดเชย ในฉากนั้น สันติแสดงความอยากของตัวเองมากกว่าเป็นห่วงพนักงานจริงๆ

ทำที่ไหนก็มีโอกาสตกงานเหมือนกัน แต่ความเสี่ยงไม่เท่ากัน และประเทศเรามีกฎหมายชดเชย ไปอยู่ในที่ที่การันตีว่าเขามีปัญญาจ่ายดีกว่าไปอยู่ในที่ที่เขาเดิมพันทุกอย่างที่พังมาแล้ว แม้แต่กฎหมายก็ไม่มีปัญญาไปบังคับเขาจ่าย

"ถอนขนไก่ กับ ขนนกกระจอก ถอนขนไก่ดีกว่าเพราะได้เนื้อเยอะกว่า" ประโยคนี้อาจเป็นคำสอนที่ดีให้กับผู้ประกอบการ
สำหรับพนักงาน
"ถอนขนไก่ กับ ขนลูกเจี๊ยบ ถ้าถอนขนลูกเจี๊ยบ ละเจ้านายแบ่งเนื้อให้เยอะกว่า ก็ไปถอนขนลูกเจี๊ยบเถอะ"

   สุดท้ายผมไม่เห็นว่าในโลกที่ Thunder Express ชนะมันดีกว่าโลกที่ดีว่า EZ ชนะยังไง โลกก็แค่มีคนรวยคนนึงที่รวยน้อยลง ไปเป็นคนธรรมดาหนึ่งรวยมากขึ้น

สันติไม่ผิดที่อยากรวย

แต่พนักงานได้โปรดอย่าตาม fantasy ของเจ้าของธุรกิจ ถ้าไม่ได้หุ้น ให้รู้ว่าเป้าหมายของเขาคือรวยอย่าหลอกตัวเอง ทำงานที่คิดว่าได้ผลตอบแทนดีที่สุด อย่าเอาใจลงไปเล่น

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่