เมื่อประสิทธิภาพต้องยืนรอหน้าห้อง… เพราะคำว่า ‘ยังไม่ถึงคิว’ เคยเห็นไหม... ดอกไม้ที่บานอยู่ในกระถางหลังห้อง แสงดี น้ำถึง
แต่ไม่มีใครเดินไปดู เพราะคนที่ดูต้นไม้ชอบเดินเฉพาะโซนหน้าอาคาร ที่มีแต่ต้นไม้เก่า ๆ รากแข็ง ใบร่วง แต่ยังได้รดน้ำทุกเช้า ในองค์กรบางแห่ง ความสามารถอาจมีค่า
แต่มีค่าก็ต่อเมื่อ อายุงานถึง และ "คำว่ายังเด็ก" หายไปจากแฟ้มประวัติ
> คนมีไฟมักโดนสาดน้ำก่อนถึงจะได้จุดไม้ขีด ไฟแรงเหรอ? ดีนะ... แต่ใจเย็นก่อนเพราะในระบบที่ดี (ในทางทฤษฎี) เขาบอกว่า “เด็กต้องรู้จักก้มหน้า”
คนที่มาใหม่ต้องรอให้พี่ ๆ ทำก่อน “อาวุโสคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" เหมือนบัตรผ่านประตูวัด ที่ไม่มีวันหมดอายุ บางทีคุณอาจจะทำได้มากกว่าคนตรงหน้า
แต่กฎเหล็กในองค์กรบอกว่า...
“ถ้ายังไม่เคยกินข้าวกล่องในวงประชุมมา 10 ปี ก็ยังไม่มีสิทธิ์เปิดปากเสนอ”
> ระบบที่ไม่ฆ่าคนเก่ง แต่ทำให้เขาเงียบไปเอง เก่งได้… แต่เบาได้เบา เพราะถ้าเสนอมากไป คุณอาจกลายเป็น “ตัวปัญหา” บางครั้งการมีความคิดใหม่เท่ากับการ “คิดนอกตำรา” และที่นี่… ตำราไม่เคยอนุญาตให้เด็กถาม หลายคนเลยเลือกเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่เพราะรู้ว่า… พูดไปก็เป็น “เสียงรบกวนระบบเปล่าๆ”
> ความเก่งไม่สำคัญเท่ากับ... ปีพ.ศ.ที่เริ่มเข้าทำงาน บางทีคุณเป็นนักวิ่งมาราธอนที่วิ่งเร็วที่สุด แต่ต้องยืนรอให้นักวิ่งที่อยู่มาก่อน ไปถึงเส้นชัยให้ได้ก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะหยุดเดินตั้งแต่หลักกิโลเมตรที่สองก็ตาม
> องค์กรที่สับสนระหว่าง “ความจงรักภักดี” กับ “ความเก่ง” ความเก่งบางทีก็ต้องแต่งตัวให้ดูสงบ ยืนตรงหลังห้อง ไม่กล้าหายใจแรง เพราะอาจจะไปขัดอากาศของใครบางคนที่ “หายใจมานาน” และหากวันใดคุณดันเก่งกว่า… อย่าลืม “เกรงใจความเก๋า” เพราะบางองค์กรเชื่อว่า
“สิ่งที่ถูกต้อง ต้องมากับความเก่า” ผลงานที่น่าชื่นชม ควรมาจากคนที่น่าชื่นชมอยู่แล้วตามลำดับวัย
เราไม่ได้เรียกร้องให้เลิกเคารพคนที่มาก่อน เราแค่ตั้งคำถามว่า... ถ้าคิวมันยาวจนหางแถวอยู่ในยุคไดโนเสาร์ แล้วคนไฟแรงต้องยืนรอแบบไม่มีวี่แววว่าจะได้ขยับ ประเทศไทยจะเหลือพลังงานสร้างสรรค์ไว้กับคนรุ่นใหม่ได้ถึงเมื่อไหร่? ในห้องประชุมที่ “ประสบการณ์” ถูกนับด้วยปี พ.ศ. ไม่ใช่ผลงาน
ความสามารถจึงถูกจัดวางให้ “นั่งเงียบ” ข้างเบอร์เก่า ๆ ที่ไม่เคยอัปเดต และในขณะที่โลกเปลี่ยนไปทุกเช้า การเปลี่ยนแปลงของบ้านเรากลับยังยืนรออยู่หน้าประตู พร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ ต่อป้ายที่เขียนว่า “กรุณารอเรียกชื่อ เมื่อถึงวาระสมควร”
"ระบบที่ดันคนด้วยวัย ไม่ใช่ด้วยไฟในตัวตน"
> คนมีไฟมักโดนสาดน้ำก่อนถึงจะได้จุดไม้ขีด ไฟแรงเหรอ? ดีนะ... แต่ใจเย็นก่อนเพราะในระบบที่ดี (ในทางทฤษฎี) เขาบอกว่า “เด็กต้องรู้จักก้มหน้า”
คนที่มาใหม่ต้องรอให้พี่ ๆ ทำก่อน “อาวุโสคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" เหมือนบัตรผ่านประตูวัด ที่ไม่มีวันหมดอายุ บางทีคุณอาจจะทำได้มากกว่าคนตรงหน้า
แต่กฎเหล็กในองค์กรบอกว่า... “ถ้ายังไม่เคยกินข้าวกล่องในวงประชุมมา 10 ปี ก็ยังไม่มีสิทธิ์เปิดปากเสนอ”
> ระบบที่ไม่ฆ่าคนเก่ง แต่ทำให้เขาเงียบไปเอง เก่งได้… แต่เบาได้เบา เพราะถ้าเสนอมากไป คุณอาจกลายเป็น “ตัวปัญหา” บางครั้งการมีความคิดใหม่เท่ากับการ “คิดนอกตำรา” และที่นี่… ตำราไม่เคยอนุญาตให้เด็กถาม หลายคนเลยเลือกเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่เพราะรู้ว่า… พูดไปก็เป็น “เสียงรบกวนระบบเปล่าๆ”
> ความเก่งไม่สำคัญเท่ากับ... ปีพ.ศ.ที่เริ่มเข้าทำงาน บางทีคุณเป็นนักวิ่งมาราธอนที่วิ่งเร็วที่สุด แต่ต้องยืนรอให้นักวิ่งที่อยู่มาก่อน ไปถึงเส้นชัยให้ได้ก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะหยุดเดินตั้งแต่หลักกิโลเมตรที่สองก็ตาม
> องค์กรที่สับสนระหว่าง “ความจงรักภักดี” กับ “ความเก่ง” ความเก่งบางทีก็ต้องแต่งตัวให้ดูสงบ ยืนตรงหลังห้อง ไม่กล้าหายใจแรง เพราะอาจจะไปขัดอากาศของใครบางคนที่ “หายใจมานาน” และหากวันใดคุณดันเก่งกว่า… อย่าลืม “เกรงใจความเก๋า” เพราะบางองค์กรเชื่อว่า
“สิ่งที่ถูกต้อง ต้องมากับความเก่า” ผลงานที่น่าชื่นชม ควรมาจากคนที่น่าชื่นชมอยู่แล้วตามลำดับวัย
เราไม่ได้เรียกร้องให้เลิกเคารพคนที่มาก่อน เราแค่ตั้งคำถามว่า... ถ้าคิวมันยาวจนหางแถวอยู่ในยุคไดโนเสาร์ แล้วคนไฟแรงต้องยืนรอแบบไม่มีวี่แววว่าจะได้ขยับ ประเทศไทยจะเหลือพลังงานสร้างสรรค์ไว้กับคนรุ่นใหม่ได้ถึงเมื่อไหร่? ในห้องประชุมที่ “ประสบการณ์” ถูกนับด้วยปี พ.ศ. ไม่ใช่ผลงาน
ความสามารถจึงถูกจัดวางให้ “นั่งเงียบ” ข้างเบอร์เก่า ๆ ที่ไม่เคยอัปเดต และในขณะที่โลกเปลี่ยนไปทุกเช้า การเปลี่ยนแปลงของบ้านเรากลับยังยืนรออยู่หน้าประตู พร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ ต่อป้ายที่เขียนว่า “กรุณารอเรียกชื่อ เมื่อถึงวาระสมควร”