392

น256

น257

ฉนั้นเวลาเรียนไปแล้ว1.01.17 ถ้าเรียนตามตัวหนังสือต่างๆ ท่านก็จะเห็นว่า เข้าใจค่อนข้างยากอยู่เหมือนกัน
ก็สมควรแล้วน๊อ นั่นแหละ ก็ค่อยเรียนเอาที่พอได้
อันไหนที่ยากเกินไปก็ปล่อยผ่านไปก่อน อย่างเงี้ย ก็ค่อยๆศึกษาไป1.01.34
เป็นพื้นฐานนะ ทีนี้ถ้าเราต้องการตัวอย่างบ้างอะไรบ้าง พอเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ไปดูในพระสูตรบ้าง อะไรบ้าง ก็ว่ากันไปนะครับ
ต่อไปเจตสิกลำดับที่ 35 มุทิตาเจตสิก
1.01.57 นะครับ นับไปเรื่อยๆเรียนไป นะครับ
35 มุทิตา
โมทันติ ตายะ
ชื่อว่า มุทิตา เพราะว่าเป็นภาวะที่ ทำให้เกิดความยินดี
เป็นภาวะ หรือว่าเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้เกิดความยินดี
เวลาคนอื่นได้ความสุข เวลาคนอื่นได้ทรัพย์สินเงินทองมีสุขภาพดี สัตว์อื่นมีความสุข ก็เกิดความรู้สึกยินดี
ภาวะ หรือ สิ่งที่ทำให้เกิดความยินดีขึ้นมา ตัวนี้ก็คือ มุทิตา เป็นกิจหน้าที่ของธัมมะ
สรุปแล้วไม่มีตัวตนทำอะไรเลยน๊อ มีแต่ธัมมะ มีแต่ธรรมทั้งหมดเลย
สะยัง วา โมทะตีติ มุทิตา 1.02.44
หรือว่า เป็นภาวะที่ ยินดีเอง นั่นแหละ
เป็นความยินดี หรือ เป็นภาวะที่ยินดีด้วยตัวเอง ภาวะที่ก่อให้เกิดความยินดี หรือเป็นภาวะที่ยินดีนั่นเอง เรียกว่า มุทิตา
สา ปะโมทะนะลักขะณา
มุทิตา นั้น มีลักษณะ ยินดี ชื่นชม
ปะโมทะนะ คือ ยินดี หรือ ชื่นชม
ยินดีกับสมบัติของคนอื่น ยินดีกับความสุขของคนอื่น ยินดีกับความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของคนอื่น
ที่ทุกวันนี้เราเรียกกันว่า ไปแสดงมุทิตา นี่ก็พอได้อยู่ เข้าเค้าอยู่
ส่วนตอนไปจะเป็นเจตสิกไหนก็ไม่รู้แหละ คำพูดมันได้ คำพูดเชิงเหตุการณ์มันได้อยู่ คือเขาได้ความดีใช่ไหม เราก็ไปแสดงความยินดีเออมันเข้าเค้าอยู่ส่วนหนึ่ง ในใจเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน แต่ในคำสมมุติเรียกเนี่ยมันเป็นไปในทางเดียวกันอยู่
ไม่เหมือนสงสาร ที่เอามาเป็นกรุณา สงสารเป็นอกุศลซะแล้ว เขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย กลายเป็นเราเข้าใจเขาเองนะ ถ้าคนอื่นเป็นทุกข์แล้วเราไม่ทุกข์กับเขา แกทำไมใจจืดใจดำ อย่างนี้นะครับ
นี้ลักษณะของมุทิตานะ1.04.03
ปะโมทะนะ ลักขะณา
อะนิสสายะนะระสา
มีกิจหน้าที่ก็คือ มีกิจก็คือไม่ทำการอิสสาริษยา
อะนิสสายะ ก็คือ ไม่อิสสา
อะนิสสายะนะ นะ อิสสา ก็คือ ความริษยา ความทนไม่ได้ที่คนอื่นเขามีสมบัติภัสสถานต่างๆ เขามีความสุขก็ทนไม่ไหว เรียกว่า อิจฉา หรือ อิสสา ริษยา อันนี้ก็มีคำปฏิเสธเข้ามาเป็น
อะนิสสายะนะ ระสา
มีจิตก็คือการไม่ริษยา เป็น หน้าที่
1.04.47
อะระติวิฆาติ ปัจจุปัฎฐานา
มีอาการปรากฎก็คือ กำจัดความไม่ยินดี
อะระติ คือ ไม่ยินดี
กำจัดความไม่ยินดี ก็เลยกลายเป็น พลอยยินดี
สัตตานัง สัมปัตติทัสสะนะปะทัฎฐานา
มุทิตามีเหตุใกล้ให้เกิดคือการเห็นสมบัติของสัตว์ทั้งหลายเป็นปทัฎฐาน
เห็นสมบัติ สมบัติก็คือความถึงพร้อม
เช่นเขามีความสุข มีชีวิตที่ดี 1.05.20
เจริญก้าวหน้า ได้บรรลุธรรมชั้นต่างๆ มีที่พึ่ง จิตใจดีงามต่างๆ เนี่ย สมบัติ เขามีสมบัติ เห็นอย่างนี้ก็พลอยยินดี
มีความชื่นชม ไม่มีอิสสาริษยา นะอย่างนี้
มีแต่พลอยยินดี อย่างนี้นะครับ
ต่อไป
เกจิ ปะนะ เมตตุเปกขาโยปิ อะนิยะเต อิจฉันติ
เกจิอาจารย์บางพวกย่อมบอกว่า เมตตา กับ อุเบกขา นี้จัดอยู่ใน อะนิยะตะด้วย
ตัง นะ คะเหตัพพัง
คำแบบนี้ไม่พึงถือเอา
ก็คือ อย่าไปถือสาอาจารย์ที่พูดอย่างนี้นะ
ก็คือ ถ้าอาจารย์ไหนบอกว่า เมตตา กับ อุเบกขา เนี่ย เป็น อนิยตะด้วย เป็นเจตสิกหนึ่งโดยเฉพาะ อย่าไปถือสาเขา อย่าไปถือเอาคำเหล่านั้น
แสดงว่านั้นเป็นเกจิอาจารย์ที่ไม่รู้จริง1.06.24
อัตถะโต เพราะว่าโดยอรรถะแล้ว
อัตถะโต หิ อะโดโส เอวะ เมตตา
ก็โดยแท้จริงแล้ว อโทสะ นั่นแหละคือ เมตตา
เมตตา กับ อโทสะ เป็นเจตสิก เดียวกัน เพียงแต่เอามาเปลี่ยนอารมณ์ เท่านั้นเองนะ
อโทสะ มันก็มีภาวะไม่ประทุษร้าย ต่ออารมณ์
แต่เวลาเมตตา ก็เอาโทสะอันนั้นมาเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นสัตว์บุคคล
ถ้าเอามาทำอัปปมัญญา ก็ขยายบุคคลสัตว์ออกไปให้มีจำนวนไม่มีประมาณเท่านั้นเอง นะทำนองนี้
ส่วนอุเบกขาก็คือ ตัตตะระมัชฌัตตุเปกขาเยวะ อุเปกขาติ
ตัตตะระมัชฌัตตัตตานั่นเองเป็น อุเบกขา 1.07.10
1.07.10
ฉนั้น เมตตาเจตสิก ก็เลยไม่มี
อุเบกขาเจตสิก ก็เลยไม่มี
เมตตา ก็คือ อโทสะ
อุเบกขา ก็คือ ตัตตะระมัชฌัตตัตตา นั่นเอง
อย่างนี้ทำนองนี้นะครับ 1.07.24
ฉนั้น เกจิอาจารย์ก็จะมีในยุคนั้น ท่านก็เลยใช้ เกจิ
เกจิ หมายถึง ว่า เป็นทำนองอาจารย์ เกจิอาจารย์ยุคนี้เขาก็มาใช้กันกลายเป็นยกย่องไป
ถ้า เกจิ ในคัมภีร์หมายถึงว่า พวกนั้นไม่รู้เรื่องประมาณนั้น ตีความผิด มั่ว ประมาณนั้น นะ
อาจารย์มั่วๆ ประมาณนั้นแหละนะ
ออกทำนองดูหมิ่นซักนิดนึง แต่หลังๆมาภาษาไทยเราก็เอาอีกแล้ว เกจิอาจารย์ก็แสดงว่าสุดยอดอะไรอย่างนั้น
อันนี้ก็อย่าไปถือสากันเรื่องของภาษาน๊อ ก็ว่ากันไป
แต่ตานี้ เกจิ ตามแบบคัมภีร์
เกจิ ตามแบบคัมภีร์ หมายถึง ท่านผู้เขียนคัมภีร์ท่านค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยว่านั่นเกจิอย่างนี้นะครับ
อ้าต่อไปลำดับ 1.08.10
มุทิตาเจตสิก --เจตสิกที่เกิดไม่แน่นอน นานๆเกิดครั้งหนึ่ง ในมหากุศลจิตดวงที่ 1
น256
น257
ฉนั้นเวลาเรียนไปแล้ว1.01.17 ถ้าเรียนตามตัวหนังสือต่างๆ ท่านก็จะเห็นว่า เข้าใจค่อนข้างยากอยู่เหมือนกัน
ก็สมควรแล้วน๊อ นั่นแหละ ก็ค่อยเรียนเอาที่พอได้
อันไหนที่ยากเกินไปก็ปล่อยผ่านไปก่อน อย่างเงี้ย ก็ค่อยๆศึกษาไป1.01.34
เป็นพื้นฐานนะ ทีนี้ถ้าเราต้องการตัวอย่างบ้างอะไรบ้าง พอเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ไปดูในพระสูตรบ้าง อะไรบ้าง ก็ว่ากันไปนะครับ
ต่อไปเจตสิกลำดับที่ 35 มุทิตาเจตสิก
1.01.57 นะครับ นับไปเรื่อยๆเรียนไป นะครับ
35 มุทิตา
โมทันติ ตายะ
ชื่อว่า มุทิตา เพราะว่าเป็นภาวะที่ ทำให้เกิดความยินดี
เป็นภาวะ หรือว่าเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้เกิดความยินดี
เวลาคนอื่นได้ความสุข เวลาคนอื่นได้ทรัพย์สินเงินทองมีสุขภาพดี สัตว์อื่นมีความสุข ก็เกิดความรู้สึกยินดี
ภาวะ หรือ สิ่งที่ทำให้เกิดความยินดีขึ้นมา ตัวนี้ก็คือ มุทิตา เป็นกิจหน้าที่ของธัมมะ
สรุปแล้วไม่มีตัวตนทำอะไรเลยน๊อ มีแต่ธัมมะ มีแต่ธรรมทั้งหมดเลย
สะยัง วา โมทะตีติ มุทิตา 1.02.44
หรือว่า เป็นภาวะที่ ยินดีเอง นั่นแหละ
เป็นความยินดี หรือ เป็นภาวะที่ยินดีด้วยตัวเอง ภาวะที่ก่อให้เกิดความยินดี หรือเป็นภาวะที่ยินดีนั่นเอง เรียกว่า มุทิตา
สา ปะโมทะนะลักขะณา
มุทิตา นั้น มีลักษณะ ยินดี ชื่นชม
ปะโมทะนะ คือ ยินดี หรือ ชื่นชม
ยินดีกับสมบัติของคนอื่น ยินดีกับความสุขของคนอื่น ยินดีกับความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของคนอื่น
ที่ทุกวันนี้เราเรียกกันว่า ไปแสดงมุทิตา นี่ก็พอได้อยู่ เข้าเค้าอยู่
ส่วนตอนไปจะเป็นเจตสิกไหนก็ไม่รู้แหละ คำพูดมันได้ คำพูดเชิงเหตุการณ์มันได้อยู่ คือเขาได้ความดีใช่ไหม เราก็ไปแสดงความยินดีเออมันเข้าเค้าอยู่ส่วนหนึ่ง ในใจเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน แต่ในคำสมมุติเรียกเนี่ยมันเป็นไปในทางเดียวกันอยู่
ไม่เหมือนสงสาร ที่เอามาเป็นกรุณา สงสารเป็นอกุศลซะแล้ว เขาทุกข์ก็ทุกข์ด้วย กลายเป็นเราเข้าใจเขาเองนะ ถ้าคนอื่นเป็นทุกข์แล้วเราไม่ทุกข์กับเขา แกทำไมใจจืดใจดำ อย่างนี้นะครับ
นี้ลักษณะของมุทิตานะ1.04.03
ปะโมทะนะ ลักขะณา
อะนิสสายะนะระสา
มีกิจหน้าที่ก็คือ มีกิจก็คือไม่ทำการอิสสาริษยา
อะนิสสายะ ก็คือ ไม่อิสสา
อะนิสสายะนะ นะ อิสสา ก็คือ ความริษยา ความทนไม่ได้ที่คนอื่นเขามีสมบัติภัสสถานต่างๆ เขามีความสุขก็ทนไม่ไหว เรียกว่า อิจฉา หรือ อิสสา ริษยา อันนี้ก็มีคำปฏิเสธเข้ามาเป็น
อะนิสสายะนะ ระสา
มีจิตก็คือการไม่ริษยา เป็น หน้าที่
1.04.47
อะระติวิฆาติ ปัจจุปัฎฐานา
มีอาการปรากฎก็คือ กำจัดความไม่ยินดี
อะระติ คือ ไม่ยินดี
กำจัดความไม่ยินดี ก็เลยกลายเป็น พลอยยินดี
สัตตานัง สัมปัตติทัสสะนะปะทัฎฐานา
มุทิตามีเหตุใกล้ให้เกิดคือการเห็นสมบัติของสัตว์ทั้งหลายเป็นปทัฎฐาน
เห็นสมบัติ สมบัติก็คือความถึงพร้อม
เช่นเขามีความสุข มีชีวิตที่ดี 1.05.20
เจริญก้าวหน้า ได้บรรลุธรรมชั้นต่างๆ มีที่พึ่ง จิตใจดีงามต่างๆ เนี่ย สมบัติ เขามีสมบัติ เห็นอย่างนี้ก็พลอยยินดี
มีความชื่นชม ไม่มีอิสสาริษยา นะอย่างนี้
มีแต่พลอยยินดี อย่างนี้นะครับ
ต่อไป
เกจิ ปะนะ เมตตุเปกขาโยปิ อะนิยะเต อิจฉันติ
เกจิอาจารย์บางพวกย่อมบอกว่า เมตตา กับ อุเบกขา นี้จัดอยู่ใน อะนิยะตะด้วย
ตัง นะ คะเหตัพพัง
คำแบบนี้ไม่พึงถือเอา
ก็คือ อย่าไปถือสาอาจารย์ที่พูดอย่างนี้นะ
ก็คือ ถ้าอาจารย์ไหนบอกว่า เมตตา กับ อุเบกขา เนี่ย เป็น อนิยตะด้วย เป็นเจตสิกหนึ่งโดยเฉพาะ อย่าไปถือสาเขา อย่าไปถือเอาคำเหล่านั้น
แสดงว่านั้นเป็นเกจิอาจารย์ที่ไม่รู้จริง1.06.24
อัตถะโต เพราะว่าโดยอรรถะแล้ว
อัตถะโต หิ อะโดโส เอวะ เมตตา
ก็โดยแท้จริงแล้ว อโทสะ นั่นแหละคือ เมตตา
เมตตา กับ อโทสะ เป็นเจตสิก เดียวกัน เพียงแต่เอามาเปลี่ยนอารมณ์ เท่านั้นเองนะ
อโทสะ มันก็มีภาวะไม่ประทุษร้าย ต่ออารมณ์
แต่เวลาเมตตา ก็เอาโทสะอันนั้นมาเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นสัตว์บุคคล
ถ้าเอามาทำอัปปมัญญา ก็ขยายบุคคลสัตว์ออกไปให้มีจำนวนไม่มีประมาณเท่านั้นเอง นะทำนองนี้
ส่วนอุเบกขาก็คือ ตัตตะระมัชฌัตตุเปกขาเยวะ อุเปกขาติ
ตัตตะระมัชฌัตตัตตานั่นเองเป็น อุเบกขา 1.07.10
1.07.10
ฉนั้น เมตตาเจตสิก ก็เลยไม่มี
อุเบกขาเจตสิก ก็เลยไม่มี
เมตตา ก็คือ อโทสะ
อุเบกขา ก็คือ ตัตตะระมัชฌัตตัตตา นั่นเอง
อย่างนี้ทำนองนี้นะครับ 1.07.24
ฉนั้น เกจิอาจารย์ก็จะมีในยุคนั้น ท่านก็เลยใช้ เกจิ
เกจิ หมายถึง ว่า เป็นทำนองอาจารย์ เกจิอาจารย์ยุคนี้เขาก็มาใช้กันกลายเป็นยกย่องไป
ถ้า เกจิ ในคัมภีร์หมายถึงว่า พวกนั้นไม่รู้เรื่องประมาณนั้น ตีความผิด มั่ว ประมาณนั้น นะ
อาจารย์มั่วๆ ประมาณนั้นแหละนะ
ออกทำนองดูหมิ่นซักนิดนึง แต่หลังๆมาภาษาไทยเราก็เอาอีกแล้ว เกจิอาจารย์ก็แสดงว่าสุดยอดอะไรอย่างนั้น
อันนี้ก็อย่าไปถือสากันเรื่องของภาษาน๊อ ก็ว่ากันไป
แต่ตานี้ เกจิ ตามแบบคัมภีร์
เกจิ ตามแบบคัมภีร์ หมายถึง ท่านผู้เขียนคัมภีร์ท่านค่อนข้างจะไม่เห็นด้วยว่านั่นเกจิอย่างนี้นะครับ
อ้าต่อไปลำดับ 1.08.10