เพิ่งดูจบสดๆเลยสำหรับเรื่อง You ซีซั่น 5 บน Netflix คือบทสรุปของเรื่องราวพ่อหนุ่มโจ โกลด์เบิร์ก ที่พยายามจะเทิร์นตัวเองเป็นคนใหม่อีกแล้วจ้า แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม หนีอดีตตัวเองไม่พ้นอยู่ดีอ่ะนะ
ในซีซั่นนี้ โจกลับมานิวยอร์ก มากับเคทที่ตอนนี้เป็นเมียเขาแล้ว พร้อมลูกชายอีกหนึ่ง แต่แทนที่จะได้ใช้ชีวิตสงบ ๆ แบบคนธรรมดา ความลับทั้งหลายก็ตามมาหลอกหลอนเหมือนเคย ทั้งอดีต ทั้งความคลั่งระดับพรีเมียมของเขาก็ยังอยู่ครบ
จุดที่รู้สึกว่า “เออ มันดีอะ"
การที่โจกลับนิวยอร์กคือแบบ...โอเคเลย มันทำให้เรื่องดูวนกลับมาจุดเริ่มต้น แล้วก็ให้ฟีลแบบจะปิดตำนานจริง ๆ แล้วล่ะ
เพนน์ แบดจ์ลีย์ ที่เล่นเป็นโจคือยังเจ๋งเหมือนเดิม สีหน้า ท่าทาง คำพูด

ดูแล้วหลอนแต่ก็น่าหลง
แล้วก็มีตัวละครใหม่ชื่อบรอนเต้ (คนที่เล่นคือ มาเดอลีน บรูเออร์) เป็นนักเขียนบทที่ดูมีอะไรซ่อนอยู่ แถมเชื่อมกับอดีตของโจอีกต่างหาก เพิ่มรสชาติให้เรื่องได้ดีเลย
แต่ก็มีบางอย่างที่แบบ...อือมมมมม
พล็อตบางช่วงมันดูเดาได้อะ โดยเฉพาะเรื่องโจไปคลั่งรักผู้หญิงใหม่อีกแล้ว แก...ซีซั่น 5 แล้วนะ ทำไมยังไม่เข็ดอะลูก555555 บางตอนก็เดินเรื่องช้าอยู่เหมือนกัน มีจังหวะที่แบบ...เห้ย สลับไปเช็กมือถือได้เฉย
สรุปๆ
ถ้าใครตามดูมาตั้งแต่แรก ยังไงก็ต้องดูจบ เพราะมันคือบทสรุปของตัวละครโจจริง ๆ แล้วก็พาเราไปเจอกับคำถามที่ว่า… สุดท้ายแล้ว คนเราเปลี่ยนได้จริงมั้ย?
ถึงบางพาร์ตจะซ้ำบ้าง แต่โดยรวมยังสนุก มีจุดพีค มีดาร์ก มีจิตแบบที่ซีรีส์นี้ทำได้ดีมาตลอด
ถ้าชอบดูอะไรหลอน ๆ จิต ๆ แต่ก็มีสาระแทรกเบา ๆ เรื่องนี้ก็ยังควรค่าแก่การปิดตำนานนะจ๊ะ 🖤
🧠 ต่อไปจะมาวิเคราะห์โจในเชิงจิตวิทยา นักล่าเงียบในคราบพระเอกโรแมนติกกันค้าา
โจไม่ได้จีบผู้หญิงแบบหวือหวาอะไรหรอก แต่เขาใช้ การพูดอย่างนุ่มนวล ฉลาด และดูเข้าอกเข้าใจ
เขาคือ predator ที่มาในคราบ protector ทำให้เหยื่อรู้สึกว่าเขา ปลอดภัย ในขณะที่จริง ๆ แล้วเขาควบคุมทุกอย่างแบบแนบเนียน
💬 เทคนิคทางจิตวิทยาที่โจใช้บ่อยๆ
1. Mirroring การสะท้อนตัวตนของเหยื่อ
โจมักจะสะท้อนความคิด ความฝัน หรือความเจ็บปวดของผู้หญิงให้เหมือนว่า เขาเข้าใจเธอจริงๆ
เช่น ถ้าผู้หญิงมีปมจากครอบครัว โจจะพูดว่า
“ผมก็เข้าใจนะ… บ้านผมก็ไม่เคยอบอุ่นเท่าไหร่เหมือนกัน"
→ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่า “เราคล้ายกัน” ทั้งที่จริงเขาแค่พูดให้เข้ากับข้อมูลที่เขา สืบมาแล้วล่วงหน้า
!!ว้าววว!! พ่อเทพบุตร🤣
2. Gaslighting – การทำให้เหยื่อสับสนในความจริง
บางครั้งโจจะบิดเบือนสถานการณ์ให้เหยื่อเริ่มสงสัยตัวเอง
เช่น ถ้าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกว่าเขา แอบน่ากลัวหรือ ติดตามมากไป เขาจะพูดแบบอ่อนโยนว่า
“คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ? ผมแค่อยากแน่ใจว่าคุณปลอดภัยนะ"
→ เปลี่ยนจาก ‘โจผิด’ เป็น ‘คุณคิดมากไปเอง’
แบบนี้ทำให้เหยื่อรู้สึกผิด ทั้งที่จริงแล้วเขากำลังควบคุมอยู่เต็มๆ
3. Love Bombing – ช่วงแรกแสนดีแบบเกินจริง
ในช่วงต้นของความสัมพันธ์ โจจะทุ่มเทมาก ทำให้ดูเหมือนรู้ใจ พร้อมเสมที่จะเข้าใจทุกอย่างแบบ “เธอไม่ต้องอธิบายเลย ฉันเข้าใจ”
→ แต่สิ่งนี้คือการสร้าง dependency หรือความรู้สึกว่า "ขาดเขาไม่ได้" พอเหยื่อเริ่มผูกพัน เขาก็จะเริ่มควบคุมแบบเนียนๆ
4. การใช้ ความเจ็บปวด เป็นเครื่องมือ
โจมักพูดถึงอดีตที่เจ็บปวดของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อขอความเห็นใจเฉย ๆ แต่เพื่อให้เหยื่อรู้สึกอยากอยู่ข้างเขา
“ผมไม่เคยมีใครจริงๆ จนกระทั่งเจอคุณ…”
→ ประโยคนี้ฟังดูเศร้าแต่จริงๆ คือการกดดันว่า "คุณต้องไม่ทิ้งผมนะ"
5. การวางตัวเป็น “ผู้กอบกู้”
เขาชอบทำตัวเหมือนผู้ปกป้องผู้หญิงจากคนเลวหรือโลกที่โหดร้าย
แต่ในความจริง โจคือคนที่อันตรายที่สุดในเรื่อง
💥 สรุปจิตวิทยาโจแบบเข้าใจง่าย
โจใช้ข้อมูล (ที่แอบเก็บมาหมด) มาทำให้ตัวเองดูเหมือน “คู่ชีวิตในฝัน”
เขาเก่งในการทำให้เหยื่อรู้สึกพิเศษ เข้าใจได้แค่เธอและปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา แต่ลึกๆ แล้ว ทุกอย่างคือการควบคุม
เขาคือภาพของ Toxic Love ที่ห่อด้วยคำว่ารักแท้ แบบเนียนมาก และนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เขาทั้งน่าหลงใหลและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
รีวิว you ss5
เพิ่งดูจบสดๆเลยสำหรับเรื่อง You ซีซั่น 5 บน Netflix คือบทสรุปของเรื่องราวพ่อหนุ่มโจ โกลด์เบิร์ก ที่พยายามจะเทิร์นตัวเองเป็นคนใหม่อีกแล้วจ้า แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม หนีอดีตตัวเองไม่พ้นอยู่ดีอ่ะนะ
ในซีซั่นนี้ โจกลับมานิวยอร์ก มากับเคทที่ตอนนี้เป็นเมียเขาแล้ว พร้อมลูกชายอีกหนึ่ง แต่แทนที่จะได้ใช้ชีวิตสงบ ๆ แบบคนธรรมดา ความลับทั้งหลายก็ตามมาหลอกหลอนเหมือนเคย ทั้งอดีต ทั้งความคลั่งระดับพรีเมียมของเขาก็ยังอยู่ครบ
จุดที่รู้สึกว่า “เออ มันดีอะ"
การที่โจกลับนิวยอร์กคือแบบ...โอเคเลย มันทำให้เรื่องดูวนกลับมาจุดเริ่มต้น แล้วก็ให้ฟีลแบบจะปิดตำนานจริง ๆ แล้วล่ะ
เพนน์ แบดจ์ลีย์ ที่เล่นเป็นโจคือยังเจ๋งเหมือนเดิม สีหน้า ท่าทาง คำพูด
แล้วก็มีตัวละครใหม่ชื่อบรอนเต้ (คนที่เล่นคือ มาเดอลีน บรูเออร์) เป็นนักเขียนบทที่ดูมีอะไรซ่อนอยู่ แถมเชื่อมกับอดีตของโจอีกต่างหาก เพิ่มรสชาติให้เรื่องได้ดีเลย
แต่ก็มีบางอย่างที่แบบ...อือมมมมม
พล็อตบางช่วงมันดูเดาได้อะ โดยเฉพาะเรื่องโจไปคลั่งรักผู้หญิงใหม่อีกแล้ว แก...ซีซั่น 5 แล้วนะ ทำไมยังไม่เข็ดอะลูก555555 บางตอนก็เดินเรื่องช้าอยู่เหมือนกัน มีจังหวะที่แบบ...เห้ย สลับไปเช็กมือถือได้เฉย
สรุปๆ
ถ้าใครตามดูมาตั้งแต่แรก ยังไงก็ต้องดูจบ เพราะมันคือบทสรุปของตัวละครโจจริง ๆ แล้วก็พาเราไปเจอกับคำถามที่ว่า… สุดท้ายแล้ว คนเราเปลี่ยนได้จริงมั้ย?
ถึงบางพาร์ตจะซ้ำบ้าง แต่โดยรวมยังสนุก มีจุดพีค มีดาร์ก มีจิตแบบที่ซีรีส์นี้ทำได้ดีมาตลอด
ถ้าชอบดูอะไรหลอน ๆ จิต ๆ แต่ก็มีสาระแทรกเบา ๆ เรื่องนี้ก็ยังควรค่าแก่การปิดตำนานนะจ๊ะ 🖤
🧠 ต่อไปจะมาวิเคราะห์โจในเชิงจิตวิทยา นักล่าเงียบในคราบพระเอกโรแมนติกกันค้าา
โจไม่ได้จีบผู้หญิงแบบหวือหวาอะไรหรอก แต่เขาใช้ การพูดอย่างนุ่มนวล ฉลาด และดูเข้าอกเข้าใจ
เขาคือ predator ที่มาในคราบ protector ทำให้เหยื่อรู้สึกว่าเขา ปลอดภัย ในขณะที่จริง ๆ แล้วเขาควบคุมทุกอย่างแบบแนบเนียน
💬 เทคนิคทางจิตวิทยาที่โจใช้บ่อยๆ
1. Mirroring การสะท้อนตัวตนของเหยื่อ
โจมักจะสะท้อนความคิด ความฝัน หรือความเจ็บปวดของผู้หญิงให้เหมือนว่า เขาเข้าใจเธอจริงๆ
เช่น ถ้าผู้หญิงมีปมจากครอบครัว โจจะพูดว่า
“ผมก็เข้าใจนะ… บ้านผมก็ไม่เคยอบอุ่นเท่าไหร่เหมือนกัน"
→ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่า “เราคล้ายกัน” ทั้งที่จริงเขาแค่พูดให้เข้ากับข้อมูลที่เขา สืบมาแล้วล่วงหน้า
!!ว้าววว!! พ่อเทพบุตร🤣
2. Gaslighting – การทำให้เหยื่อสับสนในความจริง
บางครั้งโจจะบิดเบือนสถานการณ์ให้เหยื่อเริ่มสงสัยตัวเอง
เช่น ถ้าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกว่าเขา แอบน่ากลัวหรือ ติดตามมากไป เขาจะพูดแบบอ่อนโยนว่า
“คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ? ผมแค่อยากแน่ใจว่าคุณปลอดภัยนะ"
→ เปลี่ยนจาก ‘โจผิด’ เป็น ‘คุณคิดมากไปเอง’
แบบนี้ทำให้เหยื่อรู้สึกผิด ทั้งที่จริงแล้วเขากำลังควบคุมอยู่เต็มๆ
3. Love Bombing – ช่วงแรกแสนดีแบบเกินจริง
ในช่วงต้นของความสัมพันธ์ โจจะทุ่มเทมาก ทำให้ดูเหมือนรู้ใจ พร้อมเสมที่จะเข้าใจทุกอย่างแบบ “เธอไม่ต้องอธิบายเลย ฉันเข้าใจ”
→ แต่สิ่งนี้คือการสร้าง dependency หรือความรู้สึกว่า "ขาดเขาไม่ได้" พอเหยื่อเริ่มผูกพัน เขาก็จะเริ่มควบคุมแบบเนียนๆ
4. การใช้ ความเจ็บปวด เป็นเครื่องมือ
โจมักพูดถึงอดีตที่เจ็บปวดของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อขอความเห็นใจเฉย ๆ แต่เพื่อให้เหยื่อรู้สึกอยากอยู่ข้างเขา
“ผมไม่เคยมีใครจริงๆ จนกระทั่งเจอคุณ…”
→ ประโยคนี้ฟังดูเศร้าแต่จริงๆ คือการกดดันว่า "คุณต้องไม่ทิ้งผมนะ"
5. การวางตัวเป็น “ผู้กอบกู้”
เขาชอบทำตัวเหมือนผู้ปกป้องผู้หญิงจากคนเลวหรือโลกที่โหดร้าย
แต่ในความจริง โจคือคนที่อันตรายที่สุดในเรื่อง
💥 สรุปจิตวิทยาโจแบบเข้าใจง่าย
โจใช้ข้อมูล (ที่แอบเก็บมาหมด) มาทำให้ตัวเองดูเหมือน “คู่ชีวิตในฝัน”
เขาเก่งในการทำให้เหยื่อรู้สึกพิเศษ เข้าใจได้แค่เธอและปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา แต่ลึกๆ แล้ว ทุกอย่างคือการควบคุม
เขาคือภาพของ Toxic Love ที่ห่อด้วยคำว่ารักแท้ แบบเนียนมาก และนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เขาทั้งน่าหลงใหลและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน