JJNY : โชห่วยโอด กำลังซื้อทรุดหนัก│เท้งยันปชน. ไม่ร่วมรัฐบาล│เท้ง รับรบ.ยังแจงงบไม่ละเอียด│จีนสั่งเบรค “สงครามราคา” EV

.

.

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมในปี 2568 ที่ไม่ดี ทำให้คนประหยัดการใช้จ่าย กระทบต่อกำลังซื้อค้าปลีกอย่างมาก สะท้อนจากยอดขายของตั้งงี่สุนทั้ง 2 สาขา ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายนที่ผ่านมา มียอดขายลดลง 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ขณะที่เดือนพฤษภาคม บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยยังเงียบอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเปิดเทอม แต่ปัญหาหลักคือคนไม่มีเงินและนโยบายของรัฐบาลที่ออกมายังไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน

.

“กำลังซื้อไหลลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่หลังโควิดแล้ว ถ้าคิดเป็นโดยรวมถึงขณะนี้ลดลงไปกว่า 30% แล้ว แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะมีมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ออกมากระตุ้น 2 รอบ แต่ช่วยได้แค่สั้นๆ และไม่ได้เกิดพายุหมุนต่อระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบอย่างที่ตั้งเป้าไว้ ดังนั้นในครึ่งปีหลังนี้ ขอให้รัฐบาลมีมาตรการออกมาช่วยกระตุ้นโดยเร็ว เช่น เที่ยวคนละครึ่งที่เตรียมจะออกมานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าให้มีเงื่อนไขในการใช้ที่ยุ่งยากและต้องกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองด้วย เพื่อเป็นการกระจายรายได้” นายมิลินทร์กล่าว

.

นายมิลินทร์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีและแย่มากๆ จากเมื่อปี 2567 คิดว่าหนักแล้ว แต่ปีนี้หนักกว่าหลังโควิดอีก แต่ก็ขออย่าให้แย่ไปมากกว่านี้อีก อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการประคองยอดขายไม่ให้ลดลงไปมากกว่านี้ ปัจจุบันทางร้านได้ลดค่าใช้จ่ายเพื่อรักษากระแสเงินสดหมุนเวียน โดยได้มีการปรับลดสต๊อกสินค้าคงค้างไม่ให้เกิน 30-45 วัน จากเดิม 60 วัน สินค้ารายการไหนที่ขายช้าก็จะเลิกขาย และขอลดเป้ายอดขายกับทางซัพพลายเออร์และผู้ผลิตสินค้า เพื่อให้สอดรับกับยอดขายและกำลังซื้อในปัจจุบัน นอกเหนือจากการจัดโปรโมชั่นลดราคานั้นมีการทำเป็นประจำอยู่แล้ว

.

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน  นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุเสนอให้พรรคเพื่อไทย (พท.) ยึดคืนกระทรวงมหาดไทยกลับมาบริหารเอง จะเป็นชนวนรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ว่า ตนมองว่าอยู่ที่ฝั่งของทางรัฐบาลว่าเขาจะคุยและตกลงกันได้หรือไม่ และชนวนไม่ได้มีแค่เรื่องของกระทรวงมหาดไทยที่จู่ๆ นายทักษิณก็ประกาศว่า จะขอคืน เพราะจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีชนวนรอยร้าวอีกหลายเรื่อง ตนคงไม่คิดว่านี่จะเป็นชนวนที่จะเป็นรอยร้าวที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร เพราะคงจะมีองค์ประกอบอีกหลายเรื่องที่สะสมกันมา

.

“สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคงอยู่ที่ตัวของนายกรัฐมนตรีด้วยว่าจะสามารถควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้หรือไม่ เพราะสุดท้ายคนที่มีอำนาจสูงสุดของการควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลก็คืออำนาจในการยุบสภา หากควบคุมพรรคร่วมไม่ได้จริงๆ สุดท้ายอาจเป็นสิ่งที่นายกฯ ใช้ต่อรอง หากคุยกันไม่ได้ก็ยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ แต่หากนายกฯ ยังไม่ได้ใช้ไพ่นี้ ก็เป็นสิ่งที่นายกฯ และพรรคเพื่อไทยต้องพยายามที่จะควบคุมพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้รัฐบาล“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

.

เมื่อถามถึง กรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เคยให้สัมภาษณ์ในลักษณะ ว่าไม่ปิดทางที่จะจับมือกับพรรค ปชน.ในอนาคต หากมีนโยบายที่สามารถไปด้วยกันได้ มองว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการยุบสภาในเร็วๆ นี้หรือไม่

.

”ฉะนั้น การให้สัมภาษณ์แค่นั้นของนายอนุทินน่าจะเป็นการสร้างอำนาจต่อรอง แต่หากจะให้ข้อคิดเห็นกลับไปนั้น ผมคิดว่าพรรคประชาชนไม่ได้ปิดกั้นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาของประชาชน แม้ว่าเราจะบอกว่าในสภาชุดนี้ เราไม่ร่วมรัฐบาล

แต่ยังมีวาระอีกหลายอย่างที่เราสามารถผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ เช่น เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมคิดว่าหากพรรคภูมิใจไทยมีวัตถุประสงค์ในการขอความร่วมมือกับพรรคประชาชนที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ๆ ต่างๆ ของประเทศร่วมกัน ผมคิดว่าเราทำงานร่วมกันได้ในทุกเรื่องที่เอาวาระของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่วาระของการตั้งรัฐบาลเป็นที่ตั้งเป็น“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 เมื่อวันที่ 28-31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลอาจจะยังไม่ได้ชี้แจงลงรายละเอียดเท่าที่ควร เพราะตอนที่ฝ่ายค้านอภิปรายก็มีประเด็นหลายอย่างที่เราอยากเห็นการจัดสรรงบประมาณที่เป็นการลงทุนที่หาทางออกให้ประเทศอย่างตรงจุด

.

นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การใช้จ่ายที่ขาดประสิทธิภาพ ไม่มีความโปร่งใส ยังไม่ได้มีการรีดไขมันเท่าที่ควร ซึ่งหากจะสรุปง่ายๆ คืองบลงทุนในปีนี้ถูกนำไปใช้ 3 เรื่องหลักๆ คือ ตัดถนน ขุดคลอง และสร้างตึก แทนที่จะไปลงทุนให้ตรงจุดมากกว่านี้ ถือเป็นการทำซ้ำอยู่กับสิ่งเดิมๆ

.

เมื่อถามว่า ได้มีการกำชับแนวทางอะไรเป็นพิเศษในการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญงบประมาณฯ กับบุคคลที่เข้าไปนั่งเป็น กมธ.หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกประเด็นที่ได้อภิปรายไป เพราะประเด็นถือมีความสำคัญหมด และจะถูกส่งต่อไปยังคนที่เป็น กมธ.วิสามัญงบประมาณว่าให้ช่วยกันตรวจสอบ และเนื่องจากปี 2569 เราคาดการณ์กันว่าวิกฤตจะหนักกว่าปีก่อนๆ เนื่องจากเรื่องของสงครามการค้า เราจึงจะพยายามที่จะทำงานเพื่อช่วยรัฐบาลตัดงบที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นงบที่ต้องสงสัยว่าจะนำไปสู่การทุจริต หรือแม้กระทั่งพวกที่เป็นไขมัน เช่น งบอบรมต่างๆ การลงทุนที่ไม่ตรงจุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะพุ่งเป้าไปตัดงบประมาณในส่วนนั้น

.

เมื่อถามถึงกรณีก้าว Geek เตรียมส่งเอไอเข้าไปนั่งใน กมธ.วิสามัญงบประมาณ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นโปรเจ็กต์ของชุมชนออนไลน์ โดยก้าว Geek ไม่ได้เป็นทีมลูกของพรรค ปชน. เป็นโปรเจ็กต์ที่เขาริเริ่มกันเอง ซึ่งตนเห็นพอดีและเห็นว่าน่าสนใจ เขามีการทำตัวอย่างที่สำเร็จรูปของบประมาณวาระที่หนึ่ง โดยนำคลิปการอภิปรายตลอด 4 วันที่ผ่านมาโยนส่งไปให้เอไอ และเอไอก็ผลิตออกมาในรูปแบบของพอดแคสต์ ซึ่งบทสนทนาในพอดแคสต์ของเอไอที่ผลิตออกมานั้นก็ค่อนข้างแม่นยำ

.

นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า ในวาระสองจะมีเอกสารเยอะกว่าวาระแรก สิ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายคือ รายการพอดแคสต์ง่ายๆ เช่นนี้ ฟังสบายๆ โดยธีมของก้าว Geek คือจะเอาเอไอเข้าไปนั่งใน กมธ. ความหมายคือข้อมูลทุกอย่างที่เราได้รับชี้แจงในชั้น กมธ. เราอาจจะลองทำงานกับทีมดิจิทัลของก้าว Geek โดยจะลองส่งข้อมูลให้เขาไปป้อนเข้าสู่เอไอ และทำเป็นรายการออกมาว่าจะสามารถย่อยข้อมูลที่ถูกต้อง เข้าใจง่ายได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากทำได้ก็จะดี