TikTok ทำให้เด็กโตเร็วเกินไป?
.
เมื่อ ‘สกินแคร์’ กลายเป็นของเล่นใหม่ของเด็กวัยสิบขวบ คำถามคือ…นี่เป็นความผิดของใครกันแน่
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าเลื่อนฟีด TikTok เราอาจจะเคยเห็นเด็กประถมหรือมัธยมต้นกำลังโชว์เซรั่มตัวใหม่ รีวิวครีมวิตซี หรือจัดรูทีนดูแลผิวก่อนนอนอย่างจริงจัง บางคนใช้สกินแคร์เป็นสิบขั้นตอน ทั้งที่อายุเพิ่งจะ 10 ขวบต้นๆ เท่านั้น
.
ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ‘Sephora Kids’ หมายถึงเด็กที่เข้าไปซื้อของในร้านเครื่องสำอางหรูอย่าง Sephora แล้วเลือกซื้อสกินแคร์แบบผู้ใหญ่โดยไม่ได้เข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจตามมาจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
.
สำหรับในไทยเอง ถ้าใครอยู่ในโลกออนไลน์ก็คงสังเกตได้ว่า กระแสนี้เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะใน TikTok ที่มีเด็กๆ จำนวนมากอัดคลิปรีวิวครีมบำรุง แนะนำผลิตภัณฑ์ แถมยังพูดถึงชื่อแบรนด์ดังต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว จนหลายคนอาจลืมไปเลยว่า คนที่กำลังพูดอยู่ในคลิปนั้นเพิ่งอยู่ชั้น ป.6 เท่านั้นเอง
.
หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นก็คือ สื่อออนไลน์ โดยเฉพาะ ‘TikTok’ ซึ่งกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่กำหนดพฤติกรรมของวัยรุ่นยุคใหม่ เด็กในวันนี้เติบโตมากับคอนเทนต์แบบ ‘Get ready with me’ หรือ ‘Skincare routine’ ที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์รีวิวการดูแลตัวเองในแต่ละวัน ตั้งแต่ล้างหน้า ทาเซรั่ม ไปจนถึงบำรุงริมฝีปากก่อนนอน ที่ดูแล้วเพลิน ดูเป็น ‘คนสวย’ และก็เป็นสาเหตุให้เด็กๆ เหล่านี้อยากทำตาม
.
CBS News ได้ทำการวิเคราะห์บัญชี TikTok ยอดนิยมที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กและวัยรุ่นที่หมกมุ่นอยู่กับสกินแคร์ และพบว่าหลายบัญชีมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมต่อต้านริ้วรอยที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวเด็ก และที่น่าคิดคือ ในหลายกรณีเป็นการโปรโมตร่วมกับแบรนด์ต่างๆ โดยตรง
.
แบรนด์เครื่องสำอางจำนวนมากยังใช้กลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงเด็กได้ง่าย ตั้งแต่กล่องสีชมพูพาสเทล กลิ่นหอมหวาน แพ็กเกจจิงหน้าตาน่ารัก หรือตั้งชื่อเซ็ตว่า ‘Back to School’ ชวนให้รู้สึกว่าสกินแคร์คือสิ่งที่เด็กก็ควรมีติดกระเป๋า ไม่ต่างจากสมุดปากกา แม้จะไม่มีการบอกชัดเจนว่าสินค้าเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อเด็กก็ตาม
.
ที่น่าคิดประเด็นต่อมาก็คือ เด็กสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ง่ายมาก บางคนสั่งซื้อเองผ่าน Shopee, Lazada หรือ Sephora ได้เลยโดยไม่ต้องให้ผู้ปกครองอนุญาต เพราะไม่มีระบบจำกัดอายุหรือคำเตือนที่ชัดเจน
.
อีกปัญหาที่หลายคนอาจเข้าใจผิดคือ สกินแคร์คือของดีที่ใครๆ ก็ใช้ได้ เด็กหลายคนเลือกใช้ครีมลดริ้วรอยทั้งที่ยังไม่มีริ้วรอยตามวัย ใช้ AHA BHA ทั้งที่ยังไม่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ และใช้เรตินอลโดยไม่รู้เลยว่ามันคือสารผลัดเซลล์ผิวที่อาจทำให้ผิวบาง แห้งลอก หรือไวต่อแสงมากขึ้น
.
ทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้ว ผิวเด็กยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือกับสารออกฤทธิ์แรงเหล่านี้ ทั้งผิวที่ยังบาง ชั้นไขมันยังไม่พัฒนาเต็มที่ เกราะป้องกันยังไม่แข็งแรงพอ การใส่อะไรเข้าไปผิดจังหวะอาจไม่ใช่แค่ทำให้ผิวลอกเป็นขุย แต่ยังรวมถึงปัญหาระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวแพ้ง่ายเรื้อรัง หรือเกิดสิวเพราะระบบผิวถูกรบกวน
.
แม้แพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยและผู้เชี่ยวชาญหลายรายจะเคยออกมาเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เนื้อหาเหล่านี้กลับไม่ค่อยเข้าถึงกลุ่มเด็กและวัยรุ่นเท่าคอนเทนต์ของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์
.
ที่น่าห่วงไปกว่านั้นคือ ความคาดหวังเรื่องรูปลักษณ์เริ่มไหลเข้าไปในใจของเด็กโดยไม่รู้ตัว เด็กบางคนเริ่มรู้สึกว่าสิวคือปัญหา ผิวไม่เรียบคือข้อบกพร่อง และการไม่มีไอเทมสกินแคร์ดังๆ ใช้คือการตกเทรนด์ ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานความงามใหม่ที่เด็กต้องไล่ตามให้ทัน
.
เด็กบางคนไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเองทั้งที่ผิวยังปกติดี เด็กบางคนใช้เวลาหน้ากระจกมากกว่าออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน บางคนอยากได้ของขวัญวันเกิดเป็นเซรั่มมากกว่าของเล่น ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของวัยเด็กที่กำลังถูกคอนเทนต์ความงามบิดเบือนให้เติบโตเร็วเกินไป
.
การใช้สกินแคร์ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ทางแก้มันควรจะเป็นสังคมโดยรวมทั้งหมด ทั้งผู้ปกครองที่ควรให้ความรู้เรื่องการดูแลผิวที่เหมาะสม โรงเรียนที่ควรสร้างความเข้าใจเรื่องการรักตัวเองในแบบธรรมชาติ สื่อที่ควรนำเสนอข้อมูลรอบด้าน และตัวแพลตฟอร์มเองที่ควรมีระบบแจ้งเตือนหรือจำกัดการมองเห็นสินค้าที่ไม่เหมาะกับวัย
.
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการเสนอร่างกฎหมายที่ห้ามขายเครื่องสำอางต่อต้านริ้วรอยให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ในไทยยังไม่มีข้อกำหนดเช่นนี้ เพราะฉะนั้นการควบคุมจึงต้องอาศัยความตระหนักรู้ของสังคมมากกว่ากฎหมาย
.
ที่มา : BrandThink
TikTok ทำให้เด็กโตเร็วเกินไป? ‘สกินแคร์’ ของเล่นใหม่เด็กสิบขวบ …นี่เป็นความผิดของใครกันแน่