สหัสวัต แนะรบ. กู้ภาพประกันสังคม ปิดช่องพวกสูบเงินผู้ประกันตน แนะใช้หนี้ยืดอายุกองทุนเจ๊ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5208675
.
.
‘สหัสวัต’ แนะ ‘รัฐบาล’ เร่งกู้ความเชื่อมั่นกองทุนประกันสังคมให้ผู้ประกันตน ทำให้โปร่งใส-ตรวจสอบได้ ปิดช่องนักการเมืองฉ้อฉล-นักการเมืองน้ำเสีย รวมหัวคอร์รัปชั่น ลั่น หากรัฐใช้หนี้จะทำให้กองทุนยึดอายุได้ หลัง มีผู้เชี่ยวชาญตราหน้าบอกมีโอกาสเจ๊ง
.
วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ต่อเป็นวันที่ 4
.
จากนั้น เวลา 11.25 น. นายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายงบของกระทรวงแรงงาน ว่า ปี 2569 กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรวงเงินงบประมาณ ทั้งสิ้นจำนวน 6.80 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณของสำนักงานประกันสังคมไปแล้ว 6.16 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของงบประมาณทั้งกระทรวง โดยงบประมาณในส่วนนี้ดูเหมือนจะเยอะ เพราะมาจากส่วนที่เรียกว่า งบอุดหนุน ซึ่งถูกบังคับโดย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคมที่ต้องเก็บเงินสมทบจากสามฝ่าย คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ เรียกว่า เป็นเงินสมทบที่รัฐต้องจ่ายอยู่แล้ว และแม้งบประมาณจำนวนนี้ ดูเหมือนจะมาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนในอนาคต
.
ทั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาบอกว่า กองทุนจะเจ๊งใน 20-30 ปี การที่กองทุนประกันสังคมจะเจ๊ง ซึ่งหมายความว่าในอนาคต คนที่อายุประมาณ 30 ปี และตอนนี้ทำงานส่งประกันสังคมไปจะไม่ได้สิทธิรักษาพยาบาลจากประกันสังคม และเมื่อเกษียณไปจะไม่ได้บำนาญจากประกันสังคม หรือแม้กระทั่งเด็กที่เพิ่งเกิด หากเขาโตไปและมีลูกก็จะไม่มีเงินอุดหนุน รวมถึงหากในอนาคตถ้าใครตกงานก็จะไม่ได้รับเงินว่างงาน แปลง่ายๆ คือเบาะรองทางสังคมจะล่มสลาย เรากำลังอยู่ในวิกฤตที่อีก 30 ปี ประชาชนคนไทยจะเจ็บป่วยไม่ได้ จะตกงานไม่ได้ จะหยุดทำงานไม่ได้ เพราะหยุดเมื่อไหร่ เราจะล้มทันทีแบบไม่มีโอกาสลุก
.
นายสหัสวัต กล่าวต่อว่า จนถึงวันนี้ รัฐบาลยังเหลือเงินค้างจ่ายประกันสังคมอยู่ประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่า วันนี้รัฐยังเป็นหนี้เหลืออยู่เท่าไร แต่ทุกปีที่รัฐเบี้ยวหนี้ นั่นคือการขโมยเงินในอนาคตของผู้ประกันตน เสียโอกาสที่จะไปลงทุนเพื่อให้ออกดอกออกผล แล้วกลับมาเป็นสิทธิประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ อยากให้ท่านลองคิดเล่นๆ ดูหากเราตั้งต้นจากเงิน 1 แสนล้านบาท โดยมาลงทุนให้ได้กำไรสัก 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี หรือหากจะเริ่มนับแค่จากปี 2559 ก็ได้ จากวันนั้นที่ค้างจ่ายจนถึงวันนี้ สำนักงานประกันสังคมจะมีเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท ยิ่งหากเราลงทุนทบๆ ไปเรื่อยๆ ปีหนึ่งขยายอายุได้สัก 15 วัน เพิ่มเป็น 20-30 วันไปเรื่อยๆ ก็จะช่วยยืดอายุกองทุนนี้ไม่ให้เจ๊งได้
.
ประเด็นต่อมาคือ ความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกันตนและผู้ประกอบการ เพราะผู้ประกอบการทุกท่านทราบดีว่าหากบริษัทของตัวเองจ่ายเงินสมทบช้าก็จะโดนปรับค่าล่าช้าคิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ย้ำว่าต่อเดือนไม่ใช่ต่อปี คิดทุกเดือน ทบเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งที่รัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการนำจ่าย และสามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า แต่ละปีจะต้องจ่ายประมาณเท่าไหร่บ้าง แต่กลับค้างจ่ายเงินตรงนี้มาหลายปีแล้ว และรัฐบาลไม่เคยต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือค่าปรับแม้แต่บาทเดียว
.
“อยากชวนทุกท่านมาลองคำนวนกันว่า หากรัฐบาลค้างจ่ายประกันสังคม ตั้งต้นที่ 1 แสนล้านบาท เอาแค่ 9 ปี ก็พอ และหากคิดค่าปรับใส่เข้าไปในตรงนี้ ค่าปรับทั้งหมดที่รัฐบาลจะต้องจ่ายคือไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท ถ้ารัฐบาลจ่ายค่าปรับแบบที่ผู้ประกอบการต้องจ่าย ตอนนี้กองทุนจะสามารถยืดอายุไปได้อีกอย่างน้อย 2 ปี แต่ถ้าคิดเงินทุกเม็ดว่า รัฐต้องจ่ายทั้งค่าปรับและค่าเสียโอกาสที่จะลงทุนทบต้นกัน เงินที่รัฐควรต้องจ่ายให้กับประกันสังคมตอนนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท แค่คืนก้อนนี้มาก็จะสามารถยืดอายุของกองทุนไปได้อีก 4 ปี ทันที ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมพูดและเสนอนั้นยากที่จะทำได้ แต่อย่างน้อยหากรัฐบาลมีความจริงใจ อยากให้กองทุนนี้ยืดอายุได้ยาวขึ้น ก็ต้องจะทำแผนการใช้หนี้ออกมาอย่างจริงจังได้แล้ว หยุดเอาเปรียบลูกจ้างและนายจ้าง ผมหวังว่าจะได้เห็นแผนใช้หนี้นี้ในงบปีหน้า” นายสหัสวัต กล่าว
.
นายสหัสวัต กล่าวต่อว่า หลักการแรกเริ่มของสำนักงานประกันสังคมคือ 3 ฝ่ายร่วมกันสมทบ คือผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายคนละ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐจ่ายเพียง 2.75 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จ่ายน้อยที่สุด เอาเปรียบตั้งแต่ต้นแล้วไม่พอ ยังมาค้างจ่าย แบบไม่ต้องมีค่าปรับ ดอกเบี้ยอะไรเลย ประเด็นต่อมาคือ เรื่องความโปร่งใสของกองทุน เพราะความไม่โปร่งใสย่อมส่งผลต่อความไม่มีประสิทธิภาพ และสะท้อนออกมาผ่านผลตอบแทนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม ย้ำว่าก่อนท่านจะให้ผู้ประกันตนแบกเพิ่ม ท่านต้องเริ่มจากการกู้คืนความเชื่อมั่นทำให้การบริหารกองทุนนี้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ก่อน แค่เปิดข้อมูลตนไม่เข้าใจว่ายากอะไร หรือกลัวคนรู้ว่าที่มันจะเจ๊งเป็นเพราะมีคนหากินอยู่ในกองทุนนี้
.
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งสามารถใช้เงินบริหารที่เป็นเงินนอกงบประมาณ ด้วยจากเงินสมทบผู้ประกันตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินทำปฏิทินปีละ 50 กว่าล้านบาท ที่ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ไม่มีใครเคยได้ และไม่รู้จะแจกไปทำไม หรือกรณีที่ตนเคยเปิดเผยไป คือการซื้อรถหรูของประกันสังคม ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็นคือการเอาเงิน 3-4 ล้านบาทของผู้ประกันตน มีการเขียนโครงการด้วยคำสวยหรูว่า รถสนับสนุนภารกิจกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม แต่ที่จริงคือ เอารถไปใช้ประจำตำแหน่ง รวมถึงยังมีการแต่งเบาะนวดไฟฟ้าอย่างดีเพื่อความสะดวกสบายของคนนั่ง อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนรถกันแบบนี้ ทุก 2 ปี
.
“สุดยอดใช้เงินผู้ประกันตนเหมือนเงินตัวเอง แถมสุดท้ายรถปลดประจำการยังมีการนำไปบริจาคให้วัด เงินโอนให้ใครก็ไม่รู้ เจ้าอาวาสยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีรถเข้าวัด บริหารกันแบบนี้ ไม่เจ๊งก็แปลก และผมเห็นมีแผนขยายสิทธิรักษาต่างๆ ทั้งโรคหัวใจ ไตวาย มะเร็ง สถานพยาบาล การพัฒนาระบบให้ไม่ต้องสำรองจ่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดี ดีมากๆ แต่พอท่านใช้เงินกันแบบนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำ ถ้าตัดการใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายของพวกท่านออกไป เราจะขยายสิทธิเหล่านี้ไปได้ถึงไหนต่อไหนบ้าง ดังนั้น เราต้องปฏิรูปการใช้เงินของสำนักงานประกันสังคม ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นนำไปใช้กับสิ่งที่จำเป็น เช่น จ้างมืออาชีพ เข้ามาดูแลเรื่องการลงทุน จ้างนักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มเพื่อมาช่วยดูแลสิทธิประโยชน์จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนมากกว่า” นายสหัสวัต กล่าว
.
นายสหัสวัต กล่าวด้วยว่า เรื่องสุดท้ายและเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่จะดึงความเชื่อมั่นของประกันสังคมกลับคืนมาคือการปฏิรูปโครงสร้างของประกันสังคมทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องของความไม่แฟร์ที่ภาครัฐซึ่งส่งเงินน้อยสุด ช้าสุด ค้างจ่ายไม่จ่ายค่าค่าปรับ ไม่เสียดอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือรัฐกลับมีอำนาจมากที่สุด และผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ อำนาจบริหารในระดับผุ้อำนวยการกองต่างๆ ไล่จนจนถึงเลขาประกันสังคม ไปจนถึงปลัดกระทรวง ที่เป็นประธานบอร์ดตามตำแหน่ง เป็นข้าราชการ แล้วข้าราชการเหล่านี้ไม่เคยต้องจ่ายเงินสมทบ ไม่เคยต้องมาเครียดเรื่องบำนาญ ไม่เคยต้องเครียดเรื่องการรักษาพยาบาล แต่เป็นคนที่มาคิดแทนผู้ประกันตนว่า แต่ละคนควรมีบำนาญเท่าไหร่ ควรมีสิทธิรักษาได้แค่ไหน มันแฟร์ต่อนายจ้างและผู้ประกันตนไหมครับ แล้วถ้าพูดกันจริงๆ ข้าราชการที่มีอำนาจตัดสินใจ มันก็แค่ข้าราชการจากส่วนกลาง ระดับบนๆ ไม่กี่สิบคน และข้าราชการเหล่านี้ก็ทำงานภายใต้รัฐมนตรี ที่เป็นนักการเมืองอีกที นี่คือช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่เปิดช่องให้นักการเมืองฉ้อฉล และข้าราชการน้ำเสีย รวมหัวกันคอร์รัปชั่น สูบกินเงินของผู้ประกันตนไป
.
นายสหัสวัต กล่าวอีกว่า ฉะนั้น เราต้องแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคม ที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างอำนาจของประกันสังคม โดยยืนยันหลักการที่ว่า กองทุนประกันสังคมจำเป็นที่จะต้องยึดโยงกับนายจ้างและผู้ประกันตนให้มากที่สุด โดยผ่านการเลือกตั้ง ให้เจ้าของเงินส่วนใหญ่มีสิทธิ์มีเสียง คนนั่งบริหารต้องมาจาก 3 ฝ่ายอย่างแท้จริง ไม่ใช่ฝ่ายรัฐที่จ่ายน้อยที่สุด แต่มีอำนาจสูงสุดและต้องสร้างกลไกลให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อปิดโอกาส ปิดช่องไม่ให้มีพวกปรสิตมาโกงกิน สูบเงินพวกเราที่ทำงานอย่างหนัก แล้วส่งเงินเข้ากองทุนนี้ เพื่อหวังจะมีเบาะรองในชีวิต และย้ำว่าการบริหารกองทุนประกันสังคม ต้องตั้งต้นว่าเงินที่ลงไปทั้งหมดต้องเป็นไปเพื่อสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
.
ดังนั้น ประกันสังคมต้องได้รับการปฏิรูปทั้งหมด ทั้งกรอบงบบริหารสำนักงาน กรอบการทำงาน กรอบการจ้างงาน กรอบการลงทุน ให้ทั้งองคาพยพหลุดออกจากระบบราชการ ทำงานเป็นมืออาชีพ คล่องตัว เลิกทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง เปลี่ยนจากแดนสนธยาเป็นที่ที่ประชาชนมองเห็น และสามารถตรวจสอบได้ โดยตนมีข้อเสนอสั้นๆ ง่ายๆ โอกาสสุดท้ายที่จะกู้วิกฤตประกันสังคมคือ 1.ใช้หนี้ 2.ทำให้โปร่งใส และ 3.ปฏิรูปโครงสร้าง นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะกู้วิกฤตประกันสังคม ท่านจะเลือกปล่อยเบาะรองสุดท้ายของคนทำงานนี้ให้เจ๊งไปกับมือ หรือจะเลือกรับข้อเสนอนี้ แล้วช่วยกันทำให้เบาะรองนี้ได้เป็นความหวังให้กับคนทำงานต่อไป
.
.
ส.ส.ปชน. แนะ สำนักพุทธ ให้วัดทำบัญชีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ชูศักดิ์ ‘เงิน-ผู้หญิง’ ทำวัดวุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5208772
.
ฉัตร แนะ ‘สำนักพุทธ’ ให้วัดทำบันทึกบัญชีรายรับรายจ่ายแบบมาตรฐานเดียวกัน-ชัดเจน-ตรวจสอบได้ ด้าน ‘ชูศักดิ์’ รับ สองปัจจัยทำให้วัดมีปัญหาคือเงิน-ผู้หญิง ขันนอต ต้องทำบัญชีให้ชัดเจนเพื่อง่ายตรวจสอบ บอก สำนักพุทธฯ มีอำนาจแค่กำกับดูแลความเรียบร้อย เหตุมีกม.สงฆ์ดูแลอยู่
.
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ที่มี นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ต่อเป็นวันที่ 4
จากนั้นเวลา 12.45 น. นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคประชาชน อภิปรายเกี่ยวกับงบของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่า วัดกลายเป็นแหล่งกระทำความผิดเกี่ยวกับเงิน เพราะไม่มีการตรวจสอบที่ดีรวมถึงมีกิจกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเงินสดเงินบริจาค การเช่าวัตถุมงคลต่างๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้คือไม่มีการกำกับดูแลดีพอในเรื่องบัญชี จากการไปพูดคุยจากเจ้าหน้าที่สำนักพุทธฯ ตนได้ข้อมูลว่าเจ้าอาวาส พระ กรรมการวัด ทั้งหลายไม่ได้ถนัดที่จะทำบัญชี ซึ่งในทางปฏิบัติการจัดทำรายรับรายจ่ายของวัดนั้น เป็นเพียงบัญชีที่บันทึกเอาไว้เท่านั้นและไม่มีความซับซ้อนใดๆเป็นไปตามมาตรฐานทางบัญชี ในแต่ละสิ้นสุดของปีบางครั้งวัดก็จะบอกแค่ยอดรวมๆ ซึ่งการกำกับการดูแลเปิดเผยข้อมูล เกี่ยวกับบัญชีรับจ่ายของวัดยังไม่ได้ระบุชัดเจนเพราะ
JJNY : สหัสวัตแนะใช้หนี้ยืดอายุกองทุนเจ๊ง│ปชน.แนะสำนักพุทธให้วัดทำบัญชี│ชาวกัมพูชามาข้ามฝั่งไทยบางตา│ทรัมป์ฉะจีนละเมิด
https://www.matichon.co.th/politics/news_5208675
.
.
ส.ส.ปชน. แนะ สำนักพุทธ ให้วัดทำบัญชีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ชูศักดิ์ ‘เงิน-ผู้หญิง’ ทำวัดวุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5208772
.