ผู้นำเขาวางแผนรับมือได้เยี่ยมจริง ต่อไปคงขึ้นมาครองแทนอเมริกาแน่ๆ แต่หันมามองประเทศเรา อืมหนักใจจริง
Cr
https://www.blockdit.com/posts/6837e988dd8e802154b4b3f1
รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเดินหน้าจัดทำยุทธศาสตร์การผลิตฉบับใหม่ เพื่อวางรากฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันด้านอำนาจเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบาย “แยกตัวเชิงยุทธศาสตร์” ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กำลังเร่งผลักดัน
แผนดังกล่าวเป็นการสานต่อโครงการ “Made in China 2025” ที่เคยเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของจีนในภาคการผลิต โดยเฉพาะในเทคโนโลยีสำคัญ 10 สาขา เช่น หุ่นยนต์ พลังงานใหม่ อากาศยาน และอุปกรณ์การแพทย์ โดยมีแรงบันดาลใจจากยุทธศาสตร์ Industry 4.0 ของเยอรมนี
ในรอบใหม่นี้ จีนให้ความสำคัญกับการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นพิเศษ หลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าสกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เครื่องมือลิโธกราฟีจากบริษัท ASML ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้สร้างลวดลายบนเวเฟอร์สำหรับผลิตชิปขนาดจิ๋ว ระดับ 7 นาโนเมตร หรือต่ำกว่า ที่จีนยังมีอัตราการพึ่งพาตนเองไม่ถึง 10%
แม้เผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากต่างชาติ จีนยังคงเดินหน้าทุ่มลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่หยุดยั้ง โดยคาดว่าเฉพาะช่วงปี 2025-2027 จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน จะใช้เงินรวมกันมากกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ผลิตชิป ขณะที่จีนยังครองแชมป์ประเทศที่มีการลงทุนด้านอุปกรณ์ผลิตชิปใหม่มากที่สุดในโลก แม้จะมีการชะลอตัวบ้างเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ความสำเร็จจากแผน Made in China 2025 ยังช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้นำจีนอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า จีนขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยี 5 รายการ จากทั้งหมด 13 รายการที่ติดตาม โดยอีก 7 รายการ จีนก็กำลังไล่ทันอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าของบริษัท DeepSeek ด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่ปรากฏในช่วงต้นปี 2025 ถือเป็นสัญญาณบวกต่อการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของประเทศ แม้อยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก
จีนเร่งยกร่างยุทธศาสตร์ "Made in China" ยึดฐานการผลิตโลก
Cr https://www.blockdit.com/posts/6837e988dd8e802154b4b3f1
รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเดินหน้าจัดทำยุทธศาสตร์การผลิตฉบับใหม่ เพื่อวางรากฐานอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันด้านอำนาจเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบาย “แยกตัวเชิงยุทธศาสตร์” ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กำลังเร่งผลักดัน
แผนดังกล่าวเป็นการสานต่อโครงการ “Made in China 2025” ที่เคยเปิดตัวเมื่อหลายปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของจีนในภาคการผลิต โดยเฉพาะในเทคโนโลยีสำคัญ 10 สาขา เช่น หุ่นยนต์ พลังงานใหม่ อากาศยาน และอุปกรณ์การแพทย์ โดยมีแรงบันดาลใจจากยุทธศาสตร์ Industry 4.0 ของเยอรมนี
ในรอบใหม่นี้ จีนให้ความสำคัญกับการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์เป็นพิเศษ หลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ ที่พุ่งเป้าสกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เครื่องมือลิโธกราฟีจากบริษัท ASML ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้สร้างลวดลายบนเวเฟอร์สำหรับผลิตชิปขนาดจิ๋ว ระดับ 7 นาโนเมตร หรือต่ำกว่า ที่จีนยังมีอัตราการพึ่งพาตนเองไม่ถึง 10%
แม้เผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีจากต่างชาติ จีนยังคงเดินหน้าทุ่มลงทุนในอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่หยุดยั้ง โดยคาดว่าเฉพาะช่วงปี 2025-2027 จีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน จะใช้เงินรวมกันมากกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ผลิตชิป ขณะที่จีนยังครองแชมป์ประเทศที่มีการลงทุนด้านอุปกรณ์ผลิตชิปใหม่มากที่สุดในโลก แม้จะมีการชะลอตัวบ้างเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ความสำเร็จจากแผน Made in China 2025 ยังช่วยเสริมความมั่นใจให้กับผู้นำจีนอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า จีนขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในเทคโนโลยี 5 รายการ จากทั้งหมด 13 รายการที่ติดตาม โดยอีก 7 รายการ จีนก็กำลังไล่ทันอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าของบริษัท DeepSeek ด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่ปรากฏในช่วงต้นปี 2025 ถือเป็นสัญญาณบวกต่อการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของประเทศ แม้อยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอก