สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ในชีวิตของเราให้ฟังนะครับ ขอพื้นที่ตรงนี้ระบายหน่อยนะครับ 🥹
เราเป็นเด็กต่างจังหวัดคนนึง จะเรียกว่าบ้านนอกเลยก็ว่าได้ เราอยู่กับยายและแม่ ตั้งแต่เกิดจนตอนเราเรียนจบมัธยมเราอยู่กับที่บ้านตลอด แต่ช่วงม.ปลาย เรากลับกลายเป็นเด็กที่ไม่ชอบอยู่บ้านเลย ชอบเที่ยว ชอบไปนอนบ้านเพื่อน เรารู้สึกว่าเราไม่ได้สนใจกับครอบครัวเรามากเท่าไหร่ ในวันสำคัญ เช่น ปีใหม่ หรือสงกรานต์ เรากลับมองว่ามันเป็นวันพิเศษเฉพาะกับเพื่อนเพราะเราจะได้วางแผนไปเที่ยวด้วยกัน
จนเราได้มีโอกาสมาเรียนที่มหาลัย ซึ่งก็ไม่ได้ไกลบ้านมากนัก จังหวัดติดกันเดินทางแค่ 1 ชั่วโมง เราใช้ชีวิตมหาลัยสุดมาก เมา เรียน เที่ยว อยู่อย่างงั้น แต่เราก็ไม่ได้ขาดเรียนนะ ไปเรียนตามปกติ วันหยุดก็พากันไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ แต่สิ่งที่เรามองข้ามไปอีกแล้วก็คือการกลับบ้านครับ ครึ่งปีกลับบ้านครั้งนึง เราไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นมันนานหรือปกติ แต่สำหรับเราตอนนั้นเรารู้สึกว่าก็ไม่ได้อยากที่จะกลับบ้านบ่อยขนาดนั้น
จนเราขึ้นปี 4 จึงได้มาฝึกงานที่กรุงเทพครับ ก่อนมาที่บ้านพูดกับเราว่า “ต่อไปนี้ก็คงนาน ๆ ได้กลับบ้าน ยายก็คงเหงาแหละ” เราน้ำตาไหลเลยครับ แต่ด้วยความที่เราไม่ค่อยได้เปิดใจหรือคุยอะไรลึกซึ้งกับทางบ้านเลย เราจึงไม่เคยร้องไห้ให้ครอบครัวเห็นเลยครับ ซึ่งมันก็ทำให้เราอึดอัดใจมาก ว่าทำไมเราถึงไม่กล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นเหมือนครอบครัวคนอื่นบ้าง จากนั้นเราก็ได้ฝึกงานมาเรื่อย ๆ จนจบ มหาลัยเราฝึกนานถึง 8 เดือนเลยครับ เราได้กลับบ้านทั้งหมด 1 ครั้งถ้วน ไม่เคยได้โทรไปหาหรือบอกคิดถึงเลย ได้แค่พิมพ์แชทบอกว่า คิดถึง ทำอะไร กินข้าวหรือยัง แค่นั้น เหมือนเดิมในทุก ๆ วัน
ต่อมาหลังจากนั้นเราก็ได้ทำงานที่ที่เราฝึกงานอยู่ต่อเลยครับ เพราะเรารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆ ยังไม่อยากหางานใหม่ อีกอย่างที่ไม่กลับบ้านเพราะ ต่างจังหวัดแถวบ้านเราไม่มีงานที่เกี่ยวกับสายอาชีพเราเลย เราจึงอยู่ต่อมาเรื่อย ๆ และเริ่มคิดถึงบ้านอย่างจริงจังก็ตอนทำงานนี่แหละครับ ตอนฝึกงานที่ยังอยู่ได้เพราะมีเพื่อนมาด้วย 1 คน เราคิดถึงบ้านและร้องไห้บ่อยมาก แต่ก็ได้แค่พิมพ์แชทหาที่บ้านเหมือนเดิมครับ จนยายเริ่มส่งมาว่าป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ฝนตกน้ำท่วมก็ขนของกันไม่ไหว มันทำให้เราคิดถึงบ้านไปอีกครับ แต่เรายังกลับไปไม่ได้เพราะว่าเรามีหนี้สินที่ต้องจ่ายทุกเดือน เราไม่สามารถหยุดทำงานได้เลยครับ
ขอเล่าก่อนว่า เราเป็นคนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยมาก อยากได้อะไรก็ต้องได้ คิดน้อย และไม่เคยวางแผนในการใช้เงินเลย สำหรับเราที่เข้าทำงานและได้เงินเดือน เราคิดว่ามันได้เยอะมาก ๆ เราก็เต็มที่เลยครับ ซื้อไปหมดทุกอย่าง เสื้อผ้าราคาเป็นพัน รองเท้าราคาเป็นหมื่น จนเงินเดือนที่ว่าเยอะ มันไม่พอครับ เรากลายเป็นคนที่ต้องมีหนี้สินมากมาย ตอนแรกเริ่มจากกู้ในระบบก่อน แต่ก็ต้องส่งทุกเดือนจนไม่พอ เริ่มยืมคนอื่นมาส่ง ก็ไม่พออยู่ดี ยืมคนนี้มาจ่ายคนนั้น ไปเรื่อย ๆ ถึงขั้นไปกู้เงินจากแอปที่ผิดกฎหมายเลยครับ ในใจรู้ว่ามันจะคิดดอกแพงมาก เกือบเท่าต้น แต่ ณ ตอนนั้นคือเราไม่มีทางออกแล้วจริง ๆ เรื่องนี้เราไม่เคยบอกให้ที่บ้านรู้เลยครับ มีแค่เพื่อนสนิทจริง ๆ ที่รู้ แต่เราก็มีขอเงินที่บ้านมาบ้าง บอกว่าเงินเดือนออกช้า บลาๆๆ
และเมื่อเราได้เจออะไรแบบนี้ ทั้งเรื่องหนี้สินและเรื่องงานที่ทำอยู่ ก็กดดัน มันทำให้เราอยากกลับบ้านมาก ๆ เลยครับ เราท้อทุกวัน มีทั้งแอปกู้เงินเถื่อนที่โทรมาขู่ เงินในระบบที่โทรมาบอกว่าถึงเวลาที่ต้องจ่ายแล้ว มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว แต่นั่นแหละครับ เราหยุดทำไม่ได้ เรากลับบ้านไม่ได้ เพราะเรามีหนี้ที่ต้องจ่าย ไม่มีเงินสำรอง ไม่มีเงินไว้หมุน ตอนนี้เราท้อมากจริง ๆ ครับ เรามาทำงานได้ครบ 1 ปี (ไม่รวมฝึกงาน) เราได้กลับบ้านไปตอนรับปริญญาครั้งนึง กับตอนเกณฑ์ทหารครั้งนึง ในการกลับแต่ละครั้งเราไม่อยากกลับมากรุงเทพเลยครับ
เราเพิ่งจะมาคิดได้ก็ช่วงนี้แหละครับ ว่าเราใช้ชีวิตได้ผิดพลาดมากจริง ๆ ทั้งใช้เงินเกินตัว และไม่สนใจที่บ้านเลย ยายเราแก่ขึ้นทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะอยู่กับเราได้ถึงเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เราปิดเงินนอกระบบกับพวกแอปเถื่อนผิดกฎหมายไปหมดแล้วนะครับ เหลือแค่ในระบบที่เราต้องส่งทุกเดือนครับ แต่มันก็ยังคงติด ๆ ขัด ๆ อยู่ครับ เราตั้งเป้ากับตัวเองว่าจะเคลียร์ให้หมดภายในปีนี้ และกลับไปอยู่แถวบ้านครับ
ที่เรามาเขียนลงเราแค่อยากมาระบายครับทุกคน อยากคุยกับใครสักคนที่เขาไม่ต้องรู้จักหน้าตาเราก็ได้ แค่ฟังเรื่องราวของชีวิตเราก็พอ เรากำลังพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นอยู่ครับ อยากกลับไปหาที่บ้านมากเลยครับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ เราไม่เคยพิมพ์อะไรแบบนี้อาจจะมีงง ๆ หรือวนไปมาบ้างขออภัยด้วยนะครับ ทุกคนสามารถคอมเมนต์พูดคุยหรือแนะนำเราได้นะครับ อยากคุยมาก ๆ เลยครับ
ขอบคุณครับ
คิดถึงบ้านสุดหัวใจ แต่กลับไปไม่ได้ 😭
เราเป็นเด็กต่างจังหวัดคนนึง จะเรียกว่าบ้านนอกเลยก็ว่าได้ เราอยู่กับยายและแม่ ตั้งแต่เกิดจนตอนเราเรียนจบมัธยมเราอยู่กับที่บ้านตลอด แต่ช่วงม.ปลาย เรากลับกลายเป็นเด็กที่ไม่ชอบอยู่บ้านเลย ชอบเที่ยว ชอบไปนอนบ้านเพื่อน เรารู้สึกว่าเราไม่ได้สนใจกับครอบครัวเรามากเท่าไหร่ ในวันสำคัญ เช่น ปีใหม่ หรือสงกรานต์ เรากลับมองว่ามันเป็นวันพิเศษเฉพาะกับเพื่อนเพราะเราจะได้วางแผนไปเที่ยวด้วยกัน
จนเราได้มีโอกาสมาเรียนที่มหาลัย ซึ่งก็ไม่ได้ไกลบ้านมากนัก จังหวัดติดกันเดินทางแค่ 1 ชั่วโมง เราใช้ชีวิตมหาลัยสุดมาก เมา เรียน เที่ยว อยู่อย่างงั้น แต่เราก็ไม่ได้ขาดเรียนนะ ไปเรียนตามปกติ วันหยุดก็พากันไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ แต่สิ่งที่เรามองข้ามไปอีกแล้วก็คือการกลับบ้านครับ ครึ่งปีกลับบ้านครั้งนึง เราไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นมันนานหรือปกติ แต่สำหรับเราตอนนั้นเรารู้สึกว่าก็ไม่ได้อยากที่จะกลับบ้านบ่อยขนาดนั้น
จนเราขึ้นปี 4 จึงได้มาฝึกงานที่กรุงเทพครับ ก่อนมาที่บ้านพูดกับเราว่า “ต่อไปนี้ก็คงนาน ๆ ได้กลับบ้าน ยายก็คงเหงาแหละ” เราน้ำตาไหลเลยครับ แต่ด้วยความที่เราไม่ค่อยได้เปิดใจหรือคุยอะไรลึกซึ้งกับทางบ้านเลย เราจึงไม่เคยร้องไห้ให้ครอบครัวเห็นเลยครับ ซึ่งมันก็ทำให้เราอึดอัดใจมาก ว่าทำไมเราถึงไม่กล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นเหมือนครอบครัวคนอื่นบ้าง จากนั้นเราก็ได้ฝึกงานมาเรื่อย ๆ จนจบ มหาลัยเราฝึกนานถึง 8 เดือนเลยครับ เราได้กลับบ้านทั้งหมด 1 ครั้งถ้วน ไม่เคยได้โทรไปหาหรือบอกคิดถึงเลย ได้แค่พิมพ์แชทบอกว่า คิดถึง ทำอะไร กินข้าวหรือยัง แค่นั้น เหมือนเดิมในทุก ๆ วัน
ต่อมาหลังจากนั้นเราก็ได้ทำงานที่ที่เราฝึกงานอยู่ต่อเลยครับ เพราะเรารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ว่าง ๆ ยังไม่อยากหางานใหม่ อีกอย่างที่ไม่กลับบ้านเพราะ ต่างจังหวัดแถวบ้านเราไม่มีงานที่เกี่ยวกับสายอาชีพเราเลย เราจึงอยู่ต่อมาเรื่อย ๆ และเริ่มคิดถึงบ้านอย่างจริงจังก็ตอนทำงานนี่แหละครับ ตอนฝึกงานที่ยังอยู่ได้เพราะมีเพื่อนมาด้วย 1 คน เราคิดถึงบ้านและร้องไห้บ่อยมาก แต่ก็ได้แค่พิมพ์แชทหาที่บ้านเหมือนเดิมครับ จนยายเริ่มส่งมาว่าป่วยเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ฝนตกน้ำท่วมก็ขนของกันไม่ไหว มันทำให้เราคิดถึงบ้านไปอีกครับ แต่เรายังกลับไปไม่ได้เพราะว่าเรามีหนี้สินที่ต้องจ่ายทุกเดือน เราไม่สามารถหยุดทำงานได้เลยครับ
ขอเล่าก่อนว่า เราเป็นคนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยมาก อยากได้อะไรก็ต้องได้ คิดน้อย และไม่เคยวางแผนในการใช้เงินเลย สำหรับเราที่เข้าทำงานและได้เงินเดือน เราคิดว่ามันได้เยอะมาก ๆ เราก็เต็มที่เลยครับ ซื้อไปหมดทุกอย่าง เสื้อผ้าราคาเป็นพัน รองเท้าราคาเป็นหมื่น จนเงินเดือนที่ว่าเยอะ มันไม่พอครับ เรากลายเป็นคนที่ต้องมีหนี้สินมากมาย ตอนแรกเริ่มจากกู้ในระบบก่อน แต่ก็ต้องส่งทุกเดือนจนไม่พอ เริ่มยืมคนอื่นมาส่ง ก็ไม่พออยู่ดี ยืมคนนี้มาจ่ายคนนั้น ไปเรื่อย ๆ ถึงขั้นไปกู้เงินจากแอปที่ผิดกฎหมายเลยครับ ในใจรู้ว่ามันจะคิดดอกแพงมาก เกือบเท่าต้น แต่ ณ ตอนนั้นคือเราไม่มีทางออกแล้วจริง ๆ เรื่องนี้เราไม่เคยบอกให้ที่บ้านรู้เลยครับ มีแค่เพื่อนสนิทจริง ๆ ที่รู้ แต่เราก็มีขอเงินที่บ้านมาบ้าง บอกว่าเงินเดือนออกช้า บลาๆๆ
และเมื่อเราได้เจออะไรแบบนี้ ทั้งเรื่องหนี้สินและเรื่องงานที่ทำอยู่ ก็กดดัน มันทำให้เราอยากกลับบ้านมาก ๆ เลยครับ เราท้อทุกวัน มีทั้งแอปกู้เงินเถื่อนที่โทรมาขู่ เงินในระบบที่โทรมาบอกว่าถึงเวลาที่ต้องจ่ายแล้ว มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว แต่นั่นแหละครับ เราหยุดทำไม่ได้ เรากลับบ้านไม่ได้ เพราะเรามีหนี้ที่ต้องจ่าย ไม่มีเงินสำรอง ไม่มีเงินไว้หมุน ตอนนี้เราท้อมากจริง ๆ ครับ เรามาทำงานได้ครบ 1 ปี (ไม่รวมฝึกงาน) เราได้กลับบ้านไปตอนรับปริญญาครั้งนึง กับตอนเกณฑ์ทหารครั้งนึง ในการกลับแต่ละครั้งเราไม่อยากกลับมากรุงเทพเลยครับ
เราเพิ่งจะมาคิดได้ก็ช่วงนี้แหละครับ ว่าเราใช้ชีวิตได้ผิดพลาดมากจริง ๆ ทั้งใช้เงินเกินตัว และไม่สนใจที่บ้านเลย ยายเราแก่ขึ้นทุกวัน ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะอยู่กับเราได้ถึงเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เราปิดเงินนอกระบบกับพวกแอปเถื่อนผิดกฎหมายไปหมดแล้วนะครับ เหลือแค่ในระบบที่เราต้องส่งทุกเดือนครับ แต่มันก็ยังคงติด ๆ ขัด ๆ อยู่ครับ เราตั้งเป้ากับตัวเองว่าจะเคลียร์ให้หมดภายในปีนี้ และกลับไปอยู่แถวบ้านครับ
ที่เรามาเขียนลงเราแค่อยากมาระบายครับทุกคน อยากคุยกับใครสักคนที่เขาไม่ต้องรู้จักหน้าตาเราก็ได้ แค่ฟังเรื่องราวของชีวิตเราก็พอ เรากำลังพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้นอยู่ครับ อยากกลับไปหาที่บ้านมากเลยครับ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ เราไม่เคยพิมพ์อะไรแบบนี้อาจจะมีงง ๆ หรือวนไปมาบ้างขออภัยด้วยนะครับ ทุกคนสามารถคอมเมนต์พูดคุยหรือแนะนำเราได้นะครับ อยากคุยมาก ๆ เลยครับ
ขอบคุณครับ