ถ้ำ Nutty Putty โศกนาฏกรรมที่ไม่อาจลืม


ถ้ำนัตตีพัตตี (Nutty Putty Cave) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบยูทาห์ ในรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นถ้ำน้ำพุร้อนที่เคยเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักสำรวจถ้ำทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ ด้วยโครงสร้างทางเดินที่แคบและซับซ้อน รวมถึงเนื้อดินเหนียวสีน้ำตาลนุ่มที่ให้สัมผัสคล้ายดินน้ำมัน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "นัตตีพัตตี" ที่ตั้งโดยเดล กรีน ผู้ค้นพบถ้ำในปี 1960 อย่างไรก็ตาม ความสวยงามและความท้าทายของถ้ำแห่งนี้กลายเป็นฉากหลังของโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในปี 2009 ที่ทำให้ถ้ำถูกปิดตายอย่างถาวร


ลำดับเหตุการณ์

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2009
เวลา 20:00 จอห์น เอ็ดเวิร์ด โจนส์ วัย 26 ปี เข้าไปในถ้ำนัตตีพัตตีพร้อมกลุ่มเพื่อนและน้องชายจอช รวม 11 คน จอห์นเคยมาเยือนถ้ำนี้เมื่อ 12 ปีก่อนและต้องการกลับมาสัมผัสประสบการณ์อีกครั้ง โดยหวังจะไปถึงจุดที่เรียกว่า "ช่องคลอด" (Birth Canal) ซึ่งเป็นทางเดินแคบที่มีชื่อเสียงในถ้ำ แต่เขาคลานผิดเส้นทางและเข้าไปในช่องแคบที่ยังไม่มีการสำรวจ ซึ่งมีความกว้างเพียง 25x45 เซนติเมตร ลึกประมาณ 120 เมตรจากพื้นผิว จอห์นติดอยู่ในท่ากลับหัวที่มุมประมาณ 70-80 องศา ไม่สามารถขยับไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้

เวลา 20:30 เพื่อนในกลุ่มตระหนักว่าจอห์นหายไปและไม่สามารถติดต่อได้ จอช น้องชายของเขา พยายามตามหาและพบว่าเขาติดอยู่ในช่องแคบ จอชพยายามดึงจอห์นออกด้วยตัวเองแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากช่องแคบแคบเกินไปและจอห์นอยู่ในท่ากลับหัว


ภาพจำลองลักษณะถ้ำที่จอห์นเข้าไปติด


เวลา 21:00  กลุ่มเพื่อนของจอห์นแจ้งเหตุฉุกเฉินไปยังหน่วยกู้ภัยยูทาห์เคาน์ตี (Utah County Search and Rescue) ทีมกู้ภัยเริ่มระดมกำลัง โดยมีนักกู้ภัยกว่า 50 คน รวมถึงนักสำรวจถ้ำที่มีประสบการณ์ เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ จอช โจนส์ (น้องชายของจอห์น) เป็นคนแรกที่พยายามช่วยเหลือโดยการพยายามดึงจอห์นออก แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากขาดอุปกรณ์และช่องแคบที่จำกัด

เวลา 22:00 - 23:00  ทีมกู้ภัยกลุ่มแรกมาถึงถ้ำ โดยมี ซูซาน เบลล์ (Susan Bell) นักกู้ภัยที่มีร่างเล็กและมีประสบการณ์ในถ้ำนัตตีพัตตี เป็นผู้นำในการเข้าไปใกล้จอห์น ซูซานสามารถคลานเข้าไปในช่องแคบได้ถึงจุดที่เห็นเท้าของจอห์น ซึ่งเป็นส่วนเดียวที่โผล่ออกมา ซูซานพยายามสื่อสารกับจอห์น ซึ่งยังคงมีสติและสามารถพูดคุยได้ เธอให้กำลังใจและพยายามประเมินสถานการณ์ ทีมกู้ภัยส่งท่อขนาดเล็กเข้าไปเพื่อส่งน้ำและอาหารเหลวให้จอห์น เพื่อรักษาสภาพร่างกายของเขา ทีมเริ่มวางแผนติดตั้งระบบรอกเพื่อดึงจอห์นออก โดยยึดเชือกเข้ากับผนังถ้ำที่ทำจากดินเหนียว

ภาพจำลองลักษณะที่นักกู้ภัยมองเห็นแค่เท้าของจอห์น


วันที่ 25 พฤศจิกายน 2009
เวลา 00:00 - 06:00 ทีมงานกว่า 50 คน รวมถึงนักกู้ภัยที่มีประสบการณ์ในถ้ำ เช่น ไรอัน ไรอันส์ (Ryan Ryans) และนักสำรวจถ้ำจากชุมชนท้องถิ่น ทำงานร่วมกันเพื่อติดตั้งระบบรอกที่ซับซ้อนมากขึ้น ทีมติดตั้งรอกที่ยึดกับผนังถ้ำ โดยใช้เชือกผูกเข้ากับร่างของจอห์น (บริเวณเท้าและข้อเท้า) เพื่อพยายามดึงเขาออก อย่างไรก็ตาม ผนังดินเหนียวที่เปราะบางและลื่นทำให้จุดยึดเชือกหลุดบ่อยครั้ง ทีมพยายามใช้เครื่องมือเจาะเพื่อขยายช่องแคบหรือสร้างทางเข้าอื่น แต่การสั่นสะเทือนจากเครื่องมือทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผนังถ้ำจะพังทลาย จอห์นยังคงสื่อสารกับทีมกู้ภัยและเอมิลี ภรรยาของเขา ผ่านซูซานและทีมที่อยู่ใกล้ช่องแคบ เขาพูดถึงความรู้สึกเจ็บปวดและความยากลำบากในการหายใจ แต่การที่จอห์นอยู่ในท่ากลับหัวนานเกิน 12 ชั่วโมง ทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งที่ศีรษะ (suspension syndrome) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว

เวลา 06:00 - 18:00 แพทย์จากหน่วยกู้ภัยเข้ามาประเมินสถานการณ์ผ่านการสื่อสารกับทีมในถ้ำ พวกเขาพยายามให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาสภาพของจอห์น เช่น การควบคุมอุณหภูมิร่างกายและการให้ออกซิเจนผ่านท่อ ทีมพยายามปรับปรุงระบบรอก โดยเพิ่มจุดยึดและใช้เชือกที่แข็งแรงขึ้น มีการดึงร่างของจอห์นขึ้นมาได้เล็กน้อย (ประมาณ 1-2 ฟุต) แต่ยังไม่เพียงพอที่จะนำเขาออกมา ทีมพิจารณาการใช้สารหล่อลื่นเพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างร่างของจอห์นและผนังถ้ำ แต่แนวคิดนี้ถูกยกเลิกเพราะอาจทำให้เขาลื่นลงไปลึกกว่าเดิม

แผนผังถ้ำและตำแหน่งกู้ภัย


จุดวิกฤตและการสูญเสีย
เวลา 18:00 - 23:00 ในช่วงค่ำ ระบบรอกที่ใช้ดึงจอห์นเกิดขัดข้อง จุดยึดที่ติดกับผนังดินเหนียวหลุดออก ส่งผลให้ร่างของจอห์นตกลงไปลึกกว่าเดิมประมาณ 2-3 ฟุต ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง จอห์นเริ่มอ่อนแรงอย่างมาก การหายใจลำบาก และไม่ตอบสนองต่อการสื่อสารบ่อยครั้ง แพทย์ประเมินว่าเขาใกล้ถึงภาวะหัวใจวาย เนื่องจากการขาดออกซิเจนและความกดดันจากท่ากลับหัวนานกว่า 24 ชั่วโมง
เวลา 23:55 แพทย์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุประกาศว่าจอห์นเสียชีวิตจากภาวะหัวใจวาย หลังจากติดอยู่ในถ้ำนานกว่า 27 ชั่วโมง


ผลกระทบและการปิดถ้ำ
โศกนาฏกรรมของจอห์น โจนส์กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง ถูกเรียกว่า “การตายที่เลวร้ายที่สุดที่จินตนาการได้” เนื่องจากความทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เขาต้องเผชิญ หลังจากความพยายามช่วยเหลือล้มเหลวและไม่สามารถนำร่างของเขาออกมาได้ ทางการรัฐยูทาห์ ครอบครัวของจอห์น และเจ้าของที่ดินตัดสินใจปิดถ้ำอย่างถาวรในปี 2009 โดยใช้ระเบิดปิดช่องทางที่ร่างของจอห์นติดอยู่ และเทคอนกรีตปิดปากถ้ำเพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอย ร่างของจอห์นยังคงอยู่ในถ้ำ กลายเป็นสุสานถาวรของเขา
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความสูญเสียให้กับครอบครัวของจอห์น ซึ่งรวมถึงเอมิลี ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ และลูกสาววัย 1 ปี แต่ยังทิ้งบาดแผลในใจให้กับทีมกู้ภัยและชุมชนนักสำรวจถ้ำ เรื่องราวของจอห์นถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ The Last Descent (2016) เพื่อถ่ายทอดความกล้าหาญและโศกนาฏกรรมของเขา

ป้ายหลุมศพของจอห์น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่