กระจกใบเดิม กับเงาที่ไม่เคยมองเห็น

กระจกใบเดิม กับเงาที่ไม่เคยมองเห็น
บางคนใช้ชีวิตอยู่กับ "กระจก" ใบเดิมทุกวัน
แต่ไม่เคยคิดจะมอง "เงา" ของตัวเองให้ชัด
พวกเขาแต่งตัว แต่งหน้า แต่งเสียง
แต่ไม่เคย "แต่งความคิด"
คนเราทุกคนเคยผิด เคยพลาด เคยไม่รู้
ความไม่รู้ไม่ใช่บาป
แต่การยืนกรานอยู่กับความไม่รู้
และเอาความมั่นหน้าไปบดบังความจริง
นั่นแหละ คือโศกนาฏกรรมทางสติปัญญา
มีคนบางกลุ่ม ชอบพูดดังๆ เพื่อกลบเสียงของเหตุผล
ชอบตะโกนว่า “ฉันถูก” โดยไม่เคยถามว่า “แล้วข้อเท็จจริงคืออะไร”
และที่น่าขันคือ…
เมื่อมีคนพยายามชี้ให้ดูความจริง
พวกเขากลับบอกว่า “อย่ามาสั่งสอน ฉันรู้ดี”
การโง่แล้วไม่ยอมรับ ยังมีทางเรียนรู้
แต่การโง่แล้วคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดในห้อง
นั่นคือการปิดประตูความรู้ด้วยกุญแจของความเย่อหยิ่ง
ความจริงไม่จำเป็นต้องตะโกน
มันจะยังคงเป็นความจริง แม้คนโง่จะเมินหน้าหนี
และความคิดดีๆ ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงปรบมือ
เพราะบางครั้ง… คนโง่ก็ไม่รู้ว่าอะไรควรปรบมือให้
ดังนั้น ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้
และรู้สึกไม่พอใจ ร้อนๆ หนาวๆ ในใจ
อย่าพึ่งโกรธกระจก
ลองถามตัวเองว่า… เงาที่คุณเห็นนั่น เป็นใคร?

ถ้าอ่านแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นล้ำลึกจนคนอื่นงงว่า… “พยายามจะสื่ออะไร?”
เพราะการไม่เข้าใจเนื้อหา แล้วยังจะทิ้งคอมเมนต์ที่ไม่มีแก่นสาร
มันไม่ได้ทำให้ดูฉลาด มันแค่ทำให้คนอ่านต้องตั้งคำถามว่า
“นี่เขาเข้าใจจริงไหม หรือแค่พูดให้ดูรู้เรื่อง…”
การแสดงความเห็นโดยไม่อ่านเนื้อหา เปรียบได้กับคนตัดสินหนังจากโปสเตอร์
ฟังดูขำ แต่ที่จริงน่าเศร้า เพราะมันสะท้อนว่าความกล้า
ดันล้ำหน้าความเข้าใจไปไกลเกินควร
หากใจกล้าขนาดเมินเนื้อหา แล้วเมนต์ด้วยความไม่รู้
ก็ขอให้รู้ไว้ว่า... โลกนี้มีคนอ่านที่เขายังมีสมอง และเขาแยกออก
ระหว่าง "ความคิดเห็น" กับ "เสียงของความเลื่อนลอย"

ไม่ได้อ่าน ไม่เข้าใจ แต่กล้าเมนต์ ใจแกมันได้จริงๆ
โลกนี้มีคนงง แล้วพยายามถาม กับคนไม่รู้ แล้วพยายามโชว์…
อย่าให้ใครสับสนว่าแกอยู่กลุ่มไหนเลยนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่