แนวคิดที่ว่า”ถ้าไม่ได้หาเงินเอง ก็อย่าเรียกร้องหรือไม่มีสิทธิ์ออกเสียง“ไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงครับ ทั้งๆที่เกิดกับหลายคน

ผมจะมุ่งเน้นไปที่มุมมองสถาบันครอบครัวเป็นหลักนะครับ เกี่ยวกับครอบครัวที่มีความคิดแบบนี้

**เกริ่น**(มีบรรทัดบอกจบเกริ่น)

ผมเป็นคนหนึ่ง ที่โตมาในครอบครัวที่มีความคิดแนวนี้ ครอบครัวอยู่ในฐานะปานกลางครับ พอมีกินมีใช้ได้ (คนหนึ่งในครอบครัวมีเงินมากพอที่จะมีบ้านน้อยและแอบส่งเงินให้ใช้เป็นแสนๆได้ ซื้อเสื้อผ้าทีละหมื่น)

บางครั้ง ที่เราจะต้องออกความเห็นเพื่อตัวเราเอง และบางครั้งมันจำเป็นต่อตัวเรามากๆ แต่ครอบครัวไม่ได้แยกแยะอารมณ์ตัวเองกับความต้องการของลูก ถึงแม้สิทธิ์ที่เราร้องขอ มันจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวข้องกับการที่เขาต้องออกเงินให้ ก็จะใช้แนวคิดนี้ย้ำเตือนว่า“ถ้าไม่ได้หาเงิน หาเองไม่ได้ ก็ต้องฟังเขา ทำตามเขา”

**ผมจะยกเหตุการณ์ตัวอย่าง 2 เหตุการณ์

เช่น ผมอยากเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ และพิสูจน์มานาน แต่แค่เพราะ“เขาไม่ชอบ” เขาเลยยื่นคำขาดที่ว่า “ถ้าเรียน จะไม่ส่งเรียน หาเงินกินอยู่จ่ายค่าเทอมเอง“(ผมก็หาเงินเองจริง ขี่แกร๊ป/เป็นช่างภาพ โดยแกร๊บ เขาก็ห่วงเรื่องอุบัติเหตุ แล้วเขาก็ยอมส่งเรียนให้ในเวลาต่อมา)

หรือ ผมเก็บเงินซื้อโน๊ตบุ๊คเอง ผมเป็นช่างภาพทำงานนอกสถานที่บ่อย พกPC ไม่ไหว บางงานไปตจว. ทำงานจนที่บ้านถามว่าทำไมทำงานเยอะ ไม่กลับมาอยู่บ้านใช้เงินประหยัดๆบ้าง (ผมเป็นลูกคนเดียวครับ พ่อแม่อยากให้กลับบ้านตลอดเพราะจะได้ไม่จ่ายค่าขนมค่าหอ ซึ่งลำพังก็ตัดช่องน้อยแต่พอดีตัว) ผมก็บอกไปว่า เอาไปซื้อโน๊ตบุ๊ค ถึงแม้จะเป็นเงินผม เขาก็ไม่พอใจ บอกว่าเราสุรุ่ยสุร่าย ของเก่าก็ใช้ได้จะซื่อทำไม “ถ้าคิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งเองแล้ว ค่ากินค่าหอก็จะไม่ส่ง แล้วจะทำอะไรก็ทำไป” จะขู่แบบนี้ **

เขาจะมีนิสัย เทียบเรากับลูกที่บ้านจนหรือลำบากกว่าเราตลอด กลัวเราสบายแล้วจะเอาตัวไม่รอด

หรืออีกเรื่อง ผมต้องไปฝึกงานที่กรุงเทพ และส่วนตัวตอนเรียนอยู่เชียงใหม่มีรถยนต์ใช้อยู่แล้ว และจำเป็นใช้ เพราะตอนผมไปทำงาน ผมต้องขนไฟ ขาตั้งไฟ และขาตั้งกล้อง ผมเลยขออนุญาตที่บ้านเอารถยนต์ไปใช้ที่กรุงเทพ เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า แต่ที่บ้านมองว่าเราจะเกินหน้าเกินตาคนอื่น(Brio เก่าๆ)
เลยห้ามผมแล้วพูดว่า“ไปนู่นก็ไม่ต้องทำงาน มั่นใจแค่ไหนว่าจะได้ทำงาน”(รถยนต์ที่ได้ใช้เชียงใหม่ ตอนแรกก็ไม่ได้มาใช้หรอกครับ แต่เคยไปออกกองไกลๆ ขี่มอไซค์ไปเอง จนเกิดอุบัติเหตุจากความประมาทคนอื่น เขาถึงยอมให้เราเอารถยนต์ไปใช้)

ส่วนตัวผมไม่สุรุ่ยสุร่าย เสื้อผ้าที่ใส่ เฉลี่ยชิ้นนึงไม่เกิน 300 บาท ไม่เคยขอของใหญ่หรืออะไรที่ไม่จำเป็น รถที่ใช้ก็รถที่เอามาจากต่อพ่อแม่ ไม่มีของที่เป็น Passive income เลย กล้องก็ซื้อเอง มือสองด้วย เหล้า/เบียร์ นับครั้งตอนดื่มต่อปีได้เลยว่าดื่มน้อยมาก บุหรี่ไม่สูบ ไม่เกเร เกรด 3.xx ตลอดทุกเทอม

แต่ตอนเด็ก(17-18)เคยคิดจะแหกที่บ้านบ้าง ไปเที่ยวกับเพื่อนในเมือง(บ้านอยู่ต่างอำเภอแต่เรียนในตัวเมือง เลยมีแต่เพื่อนในเมือง) อาทิตย์ละครั้งเงินเก็บตัวเอง เขายังไม่โอเคเลยอะครับ ยังกำชับวางข้อห้ามให้โควต้า ว่าไปได้อาทิตย์ละครั้งแค่นั้น

แต่ผมเคยโกหก เพราะทำอะไรโดนบ่นโดนด่าตลอด จนกลไกในหัวตรัสรู้ได้ว่า ถ้าโกหกแล้วจะไม่โดนด่า พอจับได้ก็ไม่ไว้ใจเรา ทั้งที่บางเรื่องเราก็ไม่ควรโดนด่า เขาก็ไม่เคยถามตัวเองกลับว่าทำไมลูกโกหก แต่ทุกวันนี้พูดตรงๆ ก็ไม่เชื่อใจเราเพราะเราจะไม่โกหก

ที่บ้านอยากให้เราเก็บเงินเยอะๆ เพราะจะได้ไม่รบกวนเขา และมีเงินเหลือที่จะเลี้ยงเขาได้เร็วๆ เขากลัวการที่จะควบคุมเราไม่ได้ แม้แต่เรื่องเล็กๆในบ้าน กลับบ้านไป เอากับข้าวมาให้กินมีแต่ของที่ตัวเองกินได้ แต่เรากินแล้วแพ้ เราไม่กินเขายังด่าเราว่าฟุ่มเฟือย เปลืองเงินเลย

(**จบเกริ่น**)

ซึ่งผมคิดว่าในความสัมพันธ์ครอบครัว คนรัก หรืออื่นๆ(แต่ไม่ทุกความสัมพันธ์) แนวคิดนี้มันอันตรายจังครับ บางเรื่องเราก็ต้องวางเรื่องเงินลงบ้าง ถึงแม้เราจะได้ออกเงินในสิ่งที่เราไม่ได้ชอบก็เถอะ เอาเรื่องเงินมาบังคับทุกเรื่องก็ไม่ดี

คนหลายๆคน จะมีปัญหากับตัวเองในอนาคต ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ ตัดสินใจด้วยความกลัวมากกว่าเหตุผล ตัดสินใจเองไม่ได้ ไม่มีความมั่นใจต้องถามความเห็นคนอื่นตลอด บางคนไม่รู้ว่าจริงๆตัวเองชอบอะไร เติบโตมากับความคิดที่ว่าหาเงินเพื่อเป็นอิสระจากที่บ้าน

แต่ประเด็นนี้ไม่ค่อยเห็นในกระทู้หรือมีคนหยิบมาพูดเลยครับ หรือว่าสังคมไทยคนที่กำลังเป็นพ่อแม่ตอนนี้อาจจะเป็นแบบที่ผมว่าอยู่หลายคน ผมได้คุยกับคนหลายๆคน ก็เคยเจอแบบนี้เหมือนกัน บางบ้านที่ฐานะอาจจะไม่ดี ผมก็เข้าใจ แต่บางบ้านที่ไม่มี เขาก็ไม่ใช้แนวความคิดนี้กับลูก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่