JJNY : อานนท์คว้ารางวัลจากไอร์แลนด์│ปชน.จี้นายกฯเปลี่ยนมติกพช.│รักชนกเศร้า สำนักงบฯทำExcel ล้าหลัง│ทั่วไทย มีฝนตกหนัก

อานนท์ คว้ารางวัล Front Line Defenders จากไอร์แลนด์ ยก ยึดมั่นคุ้มครองสิทธิแม้เสี่ยงชีวิต
https://www.matichon.co.th/politics/news_5195292


อานนท์ นำภา คว้ารางวัล Front Line Defenders 2025 องค์กรจากไอร์แลนด์ ยกเป็นทนายความคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้เจอความเสี่ยงอันตรายในชีวิตส่วนตัว
.
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยกรณี นายอานนท์ นำภา ผู้ต้องขังคดี 112 ที่ปัจจุบันรับโทษอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ประจำปี 2025 จากองค์กร Front Line Defenders ในฐานะทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีบทบาทส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันตรายในชีวิตส่วนตัว
.
ศูนย์ทนายความฯระบุว่า ที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ประจำปี 2025 จากองค์กร Front Line Defenders ในฐานะทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่มีบทบาทส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันตรายในชีวิตส่วนตัว
.
อานนท์ นำภา นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัล Front Line Defenders สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ตกอยู่ในความเสี่ยงนี้ ก่อนหน้านี้มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทวีปเอเชียหลายคนเคยได้รับรางวัลนี้ ทั้งจากจีน กัมพูชา ศรีลังกา อัฟกานิสถาน ฟิลิปปินส์ เป็นต้น แต่ไม่เคยมีคนไทยได้รางวัลนี้มาก่อน
และในปีนี้ รางวัล Front Line Defenders ได้ถูกมอบให้กับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก 5 ทวีป ได้แก่ Luc Expedite Zinsou Agblakou จากประเทศเบนิน, Sharifakhon Madrakhimova จากประเทศอุซเบกิสถาน, องค์กร “Mondha” (The Movement for Human Rights, Peace, and Global Justice) จากประเทศโดมินิกันและเฮติ, Mhamed Hali จากเวสเทิร์นซาฮาร่า และอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จากประเทศไทย
.
ในพิธีรับรางวัล ปฐมพร แก้วหนู เป็นตัวแทนครอบครัวของอานนท์ ขึ้นรับรางวัล เนื่องจากอานนท์ไม่สามารถเดินทางมารับรางวัลด้วยตัวเองได้ จากการถูกคุมขังในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยปัจจุบันเขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาเป็นระยะเวลากว่า 605 วันแล้ว
.
ปฐมพร ได้กล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย และอ่านจดหมายจากทนายอานนท์ นำภา ที่กล่าวขอบคุณสำหรับรางวัลนี้
.
“เป็นเกียรติและซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ มากไปกว่านั้น ผมรู้สึกได้รับพลังอย่างมหาศาลสำหรับการต่อสู้บนเส้นทางข้างหน้า เส้นทางที่มืดมิดกึกก้องไปด้วยเสียงคำรามของปีศาจในนามของสังคมเก่า
.
ผมและเพื่อนๆ ของผมเกิดและเติบโตในสังคมเก่า ประหนึ่งนกที่เกิดและเติบโตในกรง บรรพบุรุษของเราถูกกดขี่และถูกหลอกลวงด้วยความคิดที่ล้าหลังและไร้เหตุผล อำนาจของสังคมเก่าสร้างโฆษณาชวนเชื่อกล่อมเกลา และหลายครั้งก็บังคับให้เราเชื่อว่ามนุษย์มิได้เกิดมาเท่าเทียมกัน หากแต่มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง และอีกกลุ่มเป็นผู้ถูกปกครอง
.
บรรพบุรุษของเราพยายามลุกขึ้นท้าทายและเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อนั้น พยายามถากถางทาง สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มบ้างลุกบ้าง แต่ความพยายามนั้นไม่เคยหยุด ไม่เคยขาดสาย การต่อสู้กับสังคมเก่าได้ถูกส่งไม้ต่อมาจนถึง ‘รุ่นเรา’
.
วันนี้ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงสังคมเก่าได้เกิดขึ้นในทุกมุมโลก ในยุคที่การกดขี่ย่ามใจ พยายามขยายพื้นที่กินขอบเขตของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กินพื้นที่ในการแสดงออกและการต่อต้านในวิธีอื่นๆ ด้วยความหวังจะหวนคืนสู่สังคมเก่าและกำจัดสังคมใหม่มิให้ก่อเกิด
.
ในประเทศผมก็เช่นกัน เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด การปราบปรามถูกนำมาใช้ การเข่นฆ่าเอาชีวิต การยัดเยียดข้อหา การจับขัง การตัดสิทธิทางการเมือง และการกดให้หมอบกราบศิโรราบต่อสังคมเก่ากลายเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติ ทว่าพวกเรามิได้สยบยอม
.
เมื่อปี 2563 พวกเราลุกขึ้นสู้ในนาม ‘ราษฎร 2563’ เพื่อสานต่อการต่อสู้ของบรรพบุรุษของเรา การชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกบนโลกออนไลน์ เกิดขึ้นโดยกว้างขวางและแหลมคม ด้วยความเชื่อว่าเสรีภาพและความเสมอภาคจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการต่อสู้ และด้วยการลุกขึ้นสู้ในครั้งนั้น ผลคือผู้คนในสังคมของผมได้ตื่นรู้ ได้เห็นภาพลวงตาที่สังคมเก่าสร้างเพื่อบังตาและใช้กดขี่พวกเรา ระหว่างการต่อสู้ บาดแผลทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น การล้มลงในทุกครั้งทำให้เราแข็งแรงและยืนได้อย่างมั่นคง
.
รางวัลนี้จะไม่ใช่เหรียญตราที่ประดับบนปีกของนก หากแต่จะเป็นสายลมใต้ปีก เป็นพลังที่หนุนเสริมให้พวกเราโบยบินไปคว้าชัยในที่สุด เข้ามา! เข้ามา! อุปสรรคทั้งหลาย เสียงขู่คำรามทั้งหลาย จงดาหน้าเข้ามา พวกเราจะสู้ ให้มันจบในรุ่นเรา!
ขอบคุณ เชื่อมั่น และศรัทธา
อานนท์ นำภา
.
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
8 พฤษภาคม 2565”
.
สำหรับรางวัล Front Line Defenders Award for Human Rights Defenders at Risk ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2548 (ค.ศ.2005) เพื่อแสดงความนับถือต่อผลงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (HRDs) ที่มีบทบาทในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงในชีวิตส่วนตัว โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 (ค.ศ.2020) ได้ปรับรูปแบบการให้รางวัล จากปีละ 1 รางวัล เป็นให้รางวัลสำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในแต่ละทวีป ทำให้มีผู้ได้รับรางวัลแต่ละปีจำนวนราว 5 รางวัล
.
รางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสนใจในระดับชาติและนานาชาติต่องานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเผชิญกับความเสี่ยงภัยจากการคุกคามในรูปแบบต่างๆ อันเนื่องมาจากการทำงานหรือเคลื่อนไหวของตน และยังเปิดโอกาสให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ได้สื่อสารประเด็นสิทธิมนุษยชนที่กำลังดำเนินการอยู่
ผู้ได้รับรางวัลจะถูกคัดเลือกจากกระบวนการเสนอชื่อในทางสาธารณะที่เปิดเผยและโปร่งใส ซึ่งจัดขึ้นตลอดทุกปลายปี และมีการประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลในพิธีมอบรางวัลที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งมักจัดในเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป
.
ผู้ได้รับรางวัลจะได้รับเงินรางวัลจำนวนหนึ่ง และได้รับการสนับสนุนจากทีมงาน Front Line Defenders ด้านความปลอดภัยทางกายภาพและออนไลน์ ตลอดจนการสนับสนุนด้านการสื่อสารเชิงนโยบาย การเผยแพร่ และด้านสุขภาวะอีกด้วย
.
ตัวอย่างนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในทวีปเอเชีย ที่ได้รับรางวัลในปีก่อนหน้านี้ ได้แก่
.
ปี 2024 Sammi Deen Baloch จากองค์กร The Voice for Baloch Missing Persons ประเทศปากีสถาน ทำงานสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเหยื่อผู้ถูกบังคับสูญหายในแคว้นบาโลชิสถาน
.
ปี 2023 Jeany ‘Rose’ Hayahay นักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงชนพื้นเมืองมินดาเนา ในประเทศฟิลิปปินส์ ทำงานส่งเสริมสิทธิด้านการศึกษาของเด็กชนพื้นเมือง
.
ปี 2022 Liah Ghazanfar Jawad ทำงานปกป้องสิทธิมนุษยชนและการเข้าถึงสิทธิของผู้หญิงในประเทศอัฟกานิสถาน
.
ปี 2021 Mother Nature Cambodia ขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิทธิสิ่งแวดล้อมในประเทศกัมพูชา ทำงานปกป้องสิ่งแวดล้อม สนับสนุนสิทธิของชาวประมงพื้นเมืองและสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์
.
ปี 2020 Juwairiya Mohideen นักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของศรีลังกา ทำงานส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของสตรีและเด็กผู้หญิงมุสลิม
.

.
ปชน.จี้นายกฯเปลี่ยนมติ กพช. ปมซื้อไฟฟ้า เพื่อยกเลิก ไม่ใช่ชะลอ อย่าให้คนแบกค่าไฟแพง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5195101
.
‘ปชน.’ จี้ ‘นายกฯ’ เปลี่ยนมติ ‘กพช.’ เพื่อยกเลิก ไม่ใช่ชะลอ หรือรอเอกชนลดราคา ปม ‘ค่าไฟแพง’ หลังเฟสแรกยังเหลืออีก 978.2 เมกะวัตต์ ที่ยังไม่ลงนามสัญญา ซัด ‘พีระพันธุ์’ ทุกข้ออ้างที่ยกมาไม่จริง เหตุข้อมูลไม่ตรงกับที่ ‘หน่วยงาน’ แจง ชี้เกี่ยวโยงความโปร่งใส่ในกระบวนการคัดเลือกผู้ชนะ-ถือว่าละเลยหน้าที่
.
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และ นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ร่วมแถลงกรณีการตอบกระทู้ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
.
นายศุภโชติกล่าวว่า การดำเนินงานของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดในสองรอบ ได้แก่ เฟสแรกจำนวน 5,200 เมกะวัตต์ และเฟสที่สองจำนวน 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งมีปัญหาหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ราคาที่รับซื้อไฟฟ้าสูงเกินไป จนทำให้ประชาชนต้องจ่ายทำไฟแพงกว่าที่ควรจะเป็น รวมถึงกระบวนการคัดเลือกผู้ชนะที่มีช่องโหว่และเสียงต่อการทุจริต
.
นายศุภโชติกล่าวต่อว่า การรับซื้อไฟฟ้าราคาสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าไฟฟ้าสำหรับประชาชนแพงขึ้น เพราะราคาที่ตกลงกันในสัญญาไม่ได้คำนึงถึงการลดลงของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในแต่ละปี เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลมลดลงอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การตั้งราคาสูงเกินไป โดยไม่ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุน จึงทำให้เกิดภาระค่าไฟที่สูงเกินความจำเป็น
.
นายศุภโชติกล่าวว่า ตอนนี้การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเฟสที่สอง 3,600 เมกะวัตต์ ได้ถูกชะลอการลงนามในสัญญาหลังจากที่มีการเรียกร้องจากภาคประชาชน แต่การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเฟสแรก 5,200 เมกะวัตต์ ยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ไม่มีการชะลอ หรือแก้ไขใดๆ ทั้งที่มีปัญหาเดียวกัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ได้ตอบกระทู้สดของตนในสภาผู้แทนราษฎร โดยอ้างว่าไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะมีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และมีความกังวลว่าจะเกิดปัญหาหากการลงนามถูกยกเลิกกลางคัน
.
นายศุภโชติกล่าวอีกว่า แต่เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้แจงในคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ว่านายพีระพันธุ์ไม่ได้ทำหนังสือสอบถามจากกฤษฎีกาเกี่ยวกับการชะลอการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารอบ 5,200 เมกะวัตต์ แต่เพียงแค่สอบถามเกี่ยวกับการชะลอการรับซื้อไฟฟ้ารอบ 3,600 เมกะวัตต์เท่านั้น ดังนั้น จากการชี้แจงของหน่วยงานนี้คือมีไฟฟ้าอีก 978.2 เมกะวัตต์ ที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญา
.
รัฐบาลสามารถยกเลิก หรืออย่างน้อยสั่งชะลอการลงนามได้ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด หากข้อชี้แจงจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาถูกต้อง หมายความว่า นายพีระพันธุ์ได้ให้ข้อมูลกับข้อเท็จจริงในการตอบกระทู้ผมผิด และไม่พยายามปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการละเลยหน้าที่ และปล่อยให้กระบวนการที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตดำเนินต่อไป” นายศุภโชติกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่