ฉันเป็นบุตรสาวคนโตของแม่ มีน้องชายอายุห่างฉัน 5 ปี ปัจจุบันน้องชายอายุ 46 ปี (บิดามารดาเดียวกัน) และน้องสาวอายุห่างฉัน 17 ปี ปัจจุบันน้องสาวอายุ 34 ปี (มารดาเดียวกัน) แม่ฉัน แต่งงานใหม่เพราะพ่อฉันตาย
ฉันแต่งงานและแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านอยู่บนที่ดินครอบครัวสามี โดยพี่สาวสามีเป็นผู้ออกเงินสร้างให้และให้สัญญาว่าจะผ่อนชำระเป็นรายเดือนเริ่มต้นเดือนละ 3,000 บาท เริ่มผ่อนชำระปี 2542 น้องชายยังเรียนหนังสือ ฉันต้องช่วยจ่ายค่าเทอมให้น้องชายในช่วงที่แม่ไปอยู่กรุงเทพ
บ้านของแม่ซึ่งเป็นบ้านไม้และสภาพเก่า ต่ำกว่าถนนมาก ประกอบกับตัวบ้านและคานหลังคาผุมาก หลังคาสังกะสีเก่าและรั่วเมื่อฝนตกทุกครั้ง ฝนตกเมื่อใดน้ำจะไหลจากถนนเข้าภายในบ้านทุกครั้ง ในบ้านมีแม่ น้องชาย และน้องสาวอาศัยอยู่ตลอด สามีใหม่ของแม่จะกลับมาเดือนละ 2 ครั้งและอยู่อาศัยในวันเสาร์ อาทิตย์ จึงกลับ เป็นเช่นนี้ประจำเพราะทำงานราชการอยู่กรุงเทพ และเมื่อปี 2543 ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้ทั้งจังหวัดน้ำท่วม บ้านแม่จึงน้ำท่วมหนักถึงบรรใดบ้านชั้น 2 ท่วมปลั๊กไฟและของที่ชั้น 1 จนหมด แม่และน้องต้องมาอยู่ที่บ้านฉันเพราะน้ำไม่ท่วม
ในปี 2544 มีโครงการบ้าน กบข. สำหรับข้าราชการให้สิทธิ์กู้ ซื้อ สร้างบ้าน เป็นบ้านหลังแรกของข้าราชการและให้ผ่อนชำระเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งข้าราชการต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ ฉันจึงได้ไปลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิ์ขอกู้สร้างบ้านบนที่ดินแม่ เพราะอยากให้แม่มีบ้านใหม่อยู่ โดยแม่ สามีใหม่ น้องชาย (ร่วมมารดาบิดาเดียวกัน) และน้องสาว (ร่วมมารดาเดียวกัน) อยู่อาศัยนั้น
ธนาคารได้อนุมัติเงินกู้ให้ฉัน วงเงิน 410,000 บาท โดยผ่อนชำระเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 30 ปี ธนาคารต้องให้ผู้กู้สร้างบ้านและขึ้นโครงสร้างบ้านทำให้ได้ 25%ของบ้านทั้งหลัง ถึงจะจ่ายเงินให้งวดแรก แต่เนื่องจากในการสร้างบ้านนี้ แม่และสามีใหม่ ไม่ได้เอ่ยปากว่าจะมีเงินมาสำรองทำบ้านแต่อย่างใด และเป็นที่เข้าใจว่า แม่ไม่มีเงินสำรองเพราะจะบ่นกับฉันเสมอว่าสามีใหม่ให้เงินรายเดือนไม่พอกับค่าใช้จ่ายในบ้านฉันจึงตัดสินใจกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ของหน่วยงานมาเพิ่มจำนวน 250,000 บาท ซึ่งเป็นการกู้เงินสหกรณ์ครั้งแรกและเป็นหนี้ครั้งแรกของฉัน
สามีฉัน ได้ดำเนินการเตรียมขออนุญาติก่อสร้างบ้าน เพื่อนำไปประกอบเอกสารการกู้ยืมเงินที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พร้อมกับจ้างถมดินบนที่สร้างบ้านให้สูงกว่าถนนตัดปัญหาน้ำท่วมบ้านในอนาคต เนื่องจากที่ดินต่ำมากจึงใช้ดินมาก จัดจ้างรถหกล้อจำนวน 36 คัน ในราคารถละ 700 บาท (รถหกล้อบรรจุดินได้ 5 คิว ต้องใช้ดินถมบนที่ดิน หน้ากว้าง 9 เมตร ลึก 20 เมตร) ในวันที่ทำการลงเสาเอกเสาโท ได้ว่าจ้างให้ผู้รับเหมาทำรั้วปูน 2 ด้าน คือด้านหลังและด้านข้างฝั่งขวาของที่ดิน เนื่องจากฝั่งซ้ายติดกับบ้านพี่ชายสามี ได้ทำรั้วไว้แล้วจึงไม่ได้ทำ โดยค่าใช้จ่ายในการทำรั้วฉันเป็นผู้จ่ายทั้งสิ้น
ในวันที่นัดทำนิติกรรมจดจำนองที่ดิน แม่ต้องทำการยกกรรมสิทธิ์ร่วมให้กับผู้กู้คือฉัน และสามี เพื่อจำนองเป็นประกันในการกู้ยืมเงินก่อสร้างบ้านที่แม่อยู่อาศัย ฉันได้ทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับผู้รับเหมาโดยจ้างเฉพาะค่าแรงส่วนวัสดอุปกรณ์ก่อสร้างฉันเป็นผู้จัดหา ต่อมาแม่ได้จัดซื้อไม้เก่าของบ้านอื่นที่เขารื้อขายแม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่รื้อมา 3 หลัง มาร่วมก่อสร้างแม่บอกฉันว่าซื้อมาจำนวน 30,000 บาท โดยได้นำมาทำเป็นพื้นบ้านชั้นสอง คานชั้นล่างและเสาบ้านชั้นสอง และเหล็กดัดมาใส่หน้าต่าง ใช้เพียงเท่านี้ เพราะบ้านที่ทำการเขียนแบบก่อสร้างไว้เป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นบนเป็นไม้แต่หลังคาเป็นเหล็กและกระเบื้องอย่างดี ส่วนด้านล่างเป็นปูนทั้งหมด ฝาบ้านชั้น 2 ได้ใช้ไม้ฝาเฌอร่ามาทำฝาบ้านและตกแต่งภายในด้วยยิปซั่มให้ดูเรียบ มารดาจึงได้นำไม้ที่เหลือไปทำเตียงสำหรับนั่งนอนเล่น ส่วนที่เหลืออีกแม่นำไปขายบอกว่าได้เงินมา 10,000 บาท
ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2548 น้องชายของฉันต้องแต่งงานในขณะที่ยังไม่มีงานทำเพราะผู้หญิงกำลังท้อง แม่จึงให้น้องสะใภ้ไปหาเงินมาทำบ้านต่อด้านหลังทำเป็น 1 ชั้น โดยให้สามีฉันรับทำให้ในจำนวนเงิน 180,000 บาท ทั้งค่าแรงและค่าของอุปกรณ์ก่อสร้าง สามีฉันได้บอกน้องชายว่าควรทำหลังคาต่อขึ้นชั้น 2 มีเงินค่อยทำเพิ่มเผื่อลูกน้องชายโต น้องสะใภ้จึงหาเงินมาทำเพิ่มอีก 50,000 บาท
แม่ได้มาบอกฉัน ให้ช่วยทำบ้านเพิ่มเติมเพราะอยากขยายห้องครัวด้านหลังบ้านที่แม่อาศัยอยู่ ออกไปอีกประมาณเมตรกว่า และไม่อยากมีห้องส้วมกลางบ้านเพราะมันไม่ดี และต่อเติมชั้นบนขยายออกไปอีกเมตรกว่าเท่าด้านล่างพร้อมกับทุบห้องน้ำออกและทำใหม่เนื่องจากห้องน้ำชั้นบนประตูตรงกับประตูห้องนอนไม่ดี อยากทำใหม่ และทำห้องส้วมด้านล่างเพิ่มอีก 1 ห้อง โดยห้องเดิมใต้บรรไดให้แก้ไขเป็นห้องอาบน้ำ และอยากทำชั้นบนต่อขึ้นจากบ้านน้องชายด้านล่างขึ้นไปเพื่อทำห้องเช่าเก็บเงินเป็นรายได้เพิ่มเพราะมารดาได้บอกฉันว่าสามีแม่เขาไม่ส่งเงินให้แม่ใช้แล้ว ฉันจึงได้ตัดสินใจหาเงินมาทำให้โดยเจตนาอยากให้แม่มีรายได้ค่าเช่าไว้ใช้จ่าย และช่วยค่าผ่อนเงินกู้ ตลอดเวลาฉันไม่เคยได้รับเงินค่าเช่าบ้านแต่อย่างใด สำหรับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ฉันได้ทำการกู้เงินสหกรณ์ของหน่วยงานมาทำต่อเติมอีกจำนวน 250,000 บาท อีกผ่อนเป็นเวลา 15 ปี และสามีได้นำเงินที่ได้จากการลาออกจากงานประจำ และเงินที่ได้จากการรับเหมาก่อสร้างศาลากลางน้ำมาสร้างทั้งหมดร่วมกันกับฉัน โดยเจตนาว่าแม่จะได้เก็บค่าเช่ามีรายได้ รวมเงินกู้สหกรณ์ของฉันและเงินสามีจำนวน 750,000 และต่อมาน้องชายฉัน มาขอเงินค่าทำหลังคาบ้านที่เขาอาศัยอยู่คืนจากฉัน เพราะชั้น 2 น้องชายเขาว่าไม่ได้อาศัยอยู่ จึงต้องทะเลาะกันกับฉัน สามีของฉันจึงได้ไปขอยืมเงินจากเพื่อนมาให้น้องชายจำนวน 50,000 บาท ฉันและสามีไม่เคยได้อยู่อาศัยด้วยเลย ไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยเลย
ในปี 2549 น้องสาว (ร่วมมารดาเดียวกัน) ไปเรียนต่อมอปลายที่กรุงเทพฯ แม่จึงไปอยู่ด้วยเพื่อดูแลโดยต้องปิดบ้านไว้ ในช่วงนั้นแม่ได้เปียร์แชร์ไว้กับบ้านประธานชุมชน และให้ฉัน ไปใช้หนี้ให้ทุกเดือน โดยเป็นเงินฉันเอง เนื่องจากภรรยาประธานชุมชนจะมาเก็บแชร์ทุกเดือน เมื่อแม่ไม่อยู่ก็จะมาเก็บที่ฉันเป็นแบบนี้จนงวดแชร์หมด และก็มาเปียร์ใหม่อีก 1 ปี ฉันก็ต้องจ่ายค่าแชร์ให้อีกเช่นเดิม
ในปี 2551 ธนาคารสีฟ้าได้ทำ MOU ร่วมกับ หน่วยงาน ให้ข้าราชการสามารถนำหนี้ไปรวมชำระเพียงที่เดียวโดยได้รับดอกเบี้ยพิเศษ ฉันมีภาระค่าใช้จ่ายมาก มีบุตร 2 คน ต้องผ่อนชำระค่าบ้านที่ตนอาศัยอยู่ และบ้านที่สร้างให้มารดารวมทั้งสิ้น 11,500 บาท จึงได้ตัดสินใจขอยื่นนำหนี้ไปรวมไว้ที่ธนาคารสีฟ้าเพื่อลดค่างวดและดอกเบี้ยสำหรับการผ่อนชำระลงเป็นเดือนละ 7,500 บาท ในจำนวนเงินกู้ 840,000 บาท โดยแม่และสามีได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ฉัน ทำสัญญากู้เงินกับธนาคารเพียงผู้เดียว และแม่ได้ขอเงินจากฉันอีกโดยบอกว่าจะไปลงทุนขายของที่กรุงเทพ จำนวน 20,000 บาท และฉันได้ซื้อตั๋วเครื่องบินให้แม่กลับไปกรุงเทพฯซึ่งแม่ก็ไปเปียร์แชร์ที่บ้านประธานชุมชนอีก และให้ฉันเป็นผู้จ่ายให้อีกจนหมด ตลอดเวลาไม่มีผู้ใดมาช่วยในการผ่อนชำระค่าบ้านที่สร้างให้มารดาอาศัยอยู่ ทั้งเงินกู้จากสหกรณ์ในช่วงที่ผ่อนชำระที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวนเงิน 3,000 บาท อาจมีบ้างที่มารดาช่วยเงินจำนวน 3,000 บาท แต่น้อยมากมีช่วยเพียงบางเดือน ในช่วงที่ตกลงจะกู้สร้างบ้านได้พูดคุยด้วยวาจา ว่าแม่และสามีใหม่ จะช่วยผ่อนส่งค่างวดบ้าน เมื่อฉันถามมารดาจะบอกว่า สามีใหม่ให้เงินรายเดือนลดลงจากเดือนละ 10,000 เหลือเดือนละ 8,000 เพราะอยู่กรุงเทพค่าใช้จ่ายเยอะในช่วงปี 2546 และตั้งแต่ปี 2547 ไม่เคยช่วยผ่อนชำระแต่อย่างใด ฉันจึงไม่ถามอีกเลย ก็คิดว่าสักวันคงจะดีขึ้น น้องชายถ้ามีงานทำคงจะคิดช่วย น้องสาวถ้ามีงานทำคงจะคิดช่วย แต่ปัจจุบันทำให้เกิดกรณีพิพาทขึ้นเนื่องจากเกิดความคิดว่าบ้านที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง คือมารดาและน้องสาวน้องชาย
ในปี 2552 แม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้าน และบอกฉันว่าจะไม่กลับไปอยู่กรุงเทพฯแล้ว จึงหานักศึกษาราชภัฎ มาเช่าอยู่ห้องพักจำนวน 2 ห้อง ที่ฉันได้ทำไว้เพื่อให้มีรายได้จากเก็บค่าเช่า ตลอดเวลาฉันซื้อของเข้าบ้านมารดาคือเครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าว กระติกน้ำร้อน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในบ้านล้วนเป็นฉันจัดซื้อโดยใช้บัตรเครดิตในการชำระเงิน เพราะรายได้รายเดือนส่วนใหญ่ถูกหักหนี้ไปทั้งสิ้น ส่วนตู้เย็นซื้อร่วมกับน้องชาย ค่าใช้จ่ายในครอบครัวของฉันส่วนใหญ่เป็นสามีหามาให้ใช้จ่าย และในปี 2553 น้องชายได้ย้ายออกไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานน้องสะใภ้ และให้นักศึกษาราชภัฎมาเช่าบ้านชั้นล่างที่ น้องชายอยู่อาศัยโดยน้องชายและสะใภ้เก็บค่าเช่าเดือนละ 2,500 ถึง 3,000 บาท
ตลอดเวลาครอบครัวของฉันไม่เคยมีปัญหาและทะเลาะกัน เนื่องจากฉัน ไม่เคยเอ่ยปากพูดให้ใครช่วยเหลือ และไม่เคยบอกสามีเลย ต่อมาเมื่อปลายปี 2561 สามีเริ่มมีงานน้อยลง และ ไม่มีรายได้เรื่อยมา ฉันมีรายได้เพียงเงินเดือนอย่างเดียว และต้องมีภาระถูกหักเงินเดือนจากการที่ทำบ้านให้แม่อยู่อาศัย แม้จะหารายได้เสริมก็ยังไม่พอใช้ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ทาง ฉันจึงได้ทำการขอสินเชื่อเพื่อ refinance บ้าน แต่ต้องรวมหนี้ทั้งหมดทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นๆ เคยเอ่ยปากขอให้น้องชายเอาภาระบ้านไปก่อนถ้าสภาพการเงินดีขึ้นจะหาทางปิดหนี้คืน แต่น้องชายบอกว่าไม่ได้ เขาจะทำการกู้เงินซื้อบ้านของครอบครัวเขาอยู่ ไม่อยากสร้างหนี้ ฉันได้บอกต่อว่าถ้าไม่ไหวก็จะต้องขายบ้านนะ น้องชายตอบว่าจะขายก็ขายเลย ทำให้รู้สึกว่าไม่มีใครมารับภาระช่วยได้จึงตัดสินใจ refinance บ้าน กับธนาคารโดยเป็นสินเชื่อบ้านแลกเงินกู้ดอกเบี้ยจะสูง เพราะเป็นการกู้โดยเอาบ้านมาค้ำประกัน สำหรับสินเชื่อธนาคารให้เงินกู้จำนวน 1,440,000 บาท ผ่อนชำระเดือนละ 14,400 บาท 16 ปี และทำประกันชีวิต ตามอายุผู้กู้คำนวณตามวงเงินกู้จ่ายครั้งเดียวตามอายุสัญญากู้หักไปราวแสนกว่าบาทคุ้มครองภาระหนี้ตลอดอายุสัญญา และประกันอัคคีภัยสำหรับบ้านไม้ตึก 2 ชั้น และบ้านด้านหลัง 2 ชั้น รวมบ้าน 2 หลังติดกัน
ปี พ.ศ. 2564 ฉันได้พูดคุยกับแม่ว่าจะทำอย่างไรภาระบ้านมันเป็นหนี้ที่ไม่เกิดรายได้เลย แม่จะช่วยได้ไหม แม่จึงเริ่มช่วยเดือนละ 5,000 เป็นเงินที่น้องชายให้แม่ใช้จ่าย และแม่มีรายได้จากการขายของชำที่บ้านทำเป็นร้านค้า แม่ช่วยแต่ไม่ตรงเวลา ฉันจะต้องจ่ายทุกเดือน เมื่อมีการถามจะทะเลาะกันทุกครั้ง ทำให้รู้สึกเครียดมาก จนเดือนตุลาคม 2564 สามีใหม่แม่ได้โทรศัพท์มาหาฉันและถามว่ามีภาระหนี้บ้านเหลือเท่าไหร่ ผ่อนอีกกี่ปี ฉันจึงได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง สามีใหม่ของแม่จึงบอกฉันว่าตอนนี้เกษียณแล้ว จะส่งเงินให้แม่และลูกสาวเขา เดือนละ 25,000 ให้แม่เอาเงินช่วยผ่อนบ้านฉันก็รับทราบตามนั้น แม่ให้มาเดือนละ 10,000 บาท เริ่มช่วยผ่อนเดือนพฤศจิกายน 2564 จนถึงพฤษภาคม 2567 และปัจจุบันไม่มีการช่วยผ่อนบ้านเลย
มีใครเคยพบชะตาชีวิตแบบฉันบ้าง
ฉันแต่งงานและแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านอยู่บนที่ดินครอบครัวสามี โดยพี่สาวสามีเป็นผู้ออกเงินสร้างให้และให้สัญญาว่าจะผ่อนชำระเป็นรายเดือนเริ่มต้นเดือนละ 3,000 บาท เริ่มผ่อนชำระปี 2542 น้องชายยังเรียนหนังสือ ฉันต้องช่วยจ่ายค่าเทอมให้น้องชายในช่วงที่แม่ไปอยู่กรุงเทพ
บ้านของแม่ซึ่งเป็นบ้านไม้และสภาพเก่า ต่ำกว่าถนนมาก ประกอบกับตัวบ้านและคานหลังคาผุมาก หลังคาสังกะสีเก่าและรั่วเมื่อฝนตกทุกครั้ง ฝนตกเมื่อใดน้ำจะไหลจากถนนเข้าภายในบ้านทุกครั้ง ในบ้านมีแม่ น้องชาย และน้องสาวอาศัยอยู่ตลอด สามีใหม่ของแม่จะกลับมาเดือนละ 2 ครั้งและอยู่อาศัยในวันเสาร์ อาทิตย์ จึงกลับ เป็นเช่นนี้ประจำเพราะทำงานราชการอยู่กรุงเทพ และเมื่อปี 2543 ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้ทั้งจังหวัดน้ำท่วม บ้านแม่จึงน้ำท่วมหนักถึงบรรใดบ้านชั้น 2 ท่วมปลั๊กไฟและของที่ชั้น 1 จนหมด แม่และน้องต้องมาอยู่ที่บ้านฉันเพราะน้ำไม่ท่วม
ในปี 2544 มีโครงการบ้าน กบข. สำหรับข้าราชการให้สิทธิ์กู้ ซื้อ สร้างบ้าน เป็นบ้านหลังแรกของข้าราชการและให้ผ่อนชำระเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งข้าราชการต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ ฉันจึงได้ไปลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิ์ขอกู้สร้างบ้านบนที่ดินแม่ เพราะอยากให้แม่มีบ้านใหม่อยู่ โดยแม่ สามีใหม่ น้องชาย (ร่วมมารดาบิดาเดียวกัน) และน้องสาว (ร่วมมารดาเดียวกัน) อยู่อาศัยนั้น
ธนาคารได้อนุมัติเงินกู้ให้ฉัน วงเงิน 410,000 บาท โดยผ่อนชำระเดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 30 ปี ธนาคารต้องให้ผู้กู้สร้างบ้านและขึ้นโครงสร้างบ้านทำให้ได้ 25%ของบ้านทั้งหลัง ถึงจะจ่ายเงินให้งวดแรก แต่เนื่องจากในการสร้างบ้านนี้ แม่และสามีใหม่ ไม่ได้เอ่ยปากว่าจะมีเงินมาสำรองทำบ้านแต่อย่างใด และเป็นที่เข้าใจว่า แม่ไม่มีเงินสำรองเพราะจะบ่นกับฉันเสมอว่าสามีใหม่ให้เงินรายเดือนไม่พอกับค่าใช้จ่ายในบ้านฉันจึงตัดสินใจกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ของหน่วยงานมาเพิ่มจำนวน 250,000 บาท ซึ่งเป็นการกู้เงินสหกรณ์ครั้งแรกและเป็นหนี้ครั้งแรกของฉัน
สามีฉัน ได้ดำเนินการเตรียมขออนุญาติก่อสร้างบ้าน เพื่อนำไปประกอบเอกสารการกู้ยืมเงินที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พร้อมกับจ้างถมดินบนที่สร้างบ้านให้สูงกว่าถนนตัดปัญหาน้ำท่วมบ้านในอนาคต เนื่องจากที่ดินต่ำมากจึงใช้ดินมาก จัดจ้างรถหกล้อจำนวน 36 คัน ในราคารถละ 700 บาท (รถหกล้อบรรจุดินได้ 5 คิว ต้องใช้ดินถมบนที่ดิน หน้ากว้าง 9 เมตร ลึก 20 เมตร) ในวันที่ทำการลงเสาเอกเสาโท ได้ว่าจ้างให้ผู้รับเหมาทำรั้วปูน 2 ด้าน คือด้านหลังและด้านข้างฝั่งขวาของที่ดิน เนื่องจากฝั่งซ้ายติดกับบ้านพี่ชายสามี ได้ทำรั้วไว้แล้วจึงไม่ได้ทำ โดยค่าใช้จ่ายในการทำรั้วฉันเป็นผู้จ่ายทั้งสิ้น
ในวันที่นัดทำนิติกรรมจดจำนองที่ดิน แม่ต้องทำการยกกรรมสิทธิ์ร่วมให้กับผู้กู้คือฉัน และสามี เพื่อจำนองเป็นประกันในการกู้ยืมเงินก่อสร้างบ้านที่แม่อยู่อาศัย ฉันได้ทำสัญญาจ้างก่อสร้างกับผู้รับเหมาโดยจ้างเฉพาะค่าแรงส่วนวัสดอุปกรณ์ก่อสร้างฉันเป็นผู้จัดหา ต่อมาแม่ได้จัดซื้อไม้เก่าของบ้านอื่นที่เขารื้อขายแม่ได้บอกว่าเป็นบ้านที่รื้อมา 3 หลัง มาร่วมก่อสร้างแม่บอกฉันว่าซื้อมาจำนวน 30,000 บาท โดยได้นำมาทำเป็นพื้นบ้านชั้นสอง คานชั้นล่างและเสาบ้านชั้นสอง และเหล็กดัดมาใส่หน้าต่าง ใช้เพียงเท่านี้ เพราะบ้านที่ทำการเขียนแบบก่อสร้างไว้เป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นบนเป็นไม้แต่หลังคาเป็นเหล็กและกระเบื้องอย่างดี ส่วนด้านล่างเป็นปูนทั้งหมด ฝาบ้านชั้น 2 ได้ใช้ไม้ฝาเฌอร่ามาทำฝาบ้านและตกแต่งภายในด้วยยิปซั่มให้ดูเรียบ มารดาจึงได้นำไม้ที่เหลือไปทำเตียงสำหรับนั่งนอนเล่น ส่วนที่เหลืออีกแม่นำไปขายบอกว่าได้เงินมา 10,000 บาท
ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2548 น้องชายของฉันต้องแต่งงานในขณะที่ยังไม่มีงานทำเพราะผู้หญิงกำลังท้อง แม่จึงให้น้องสะใภ้ไปหาเงินมาทำบ้านต่อด้านหลังทำเป็น 1 ชั้น โดยให้สามีฉันรับทำให้ในจำนวนเงิน 180,000 บาท ทั้งค่าแรงและค่าของอุปกรณ์ก่อสร้าง สามีฉันได้บอกน้องชายว่าควรทำหลังคาต่อขึ้นชั้น 2 มีเงินค่อยทำเพิ่มเผื่อลูกน้องชายโต น้องสะใภ้จึงหาเงินมาทำเพิ่มอีก 50,000 บาท
แม่ได้มาบอกฉัน ให้ช่วยทำบ้านเพิ่มเติมเพราะอยากขยายห้องครัวด้านหลังบ้านที่แม่อาศัยอยู่ ออกไปอีกประมาณเมตรกว่า และไม่อยากมีห้องส้วมกลางบ้านเพราะมันไม่ดี และต่อเติมชั้นบนขยายออกไปอีกเมตรกว่าเท่าด้านล่างพร้อมกับทุบห้องน้ำออกและทำใหม่เนื่องจากห้องน้ำชั้นบนประตูตรงกับประตูห้องนอนไม่ดี อยากทำใหม่ และทำห้องส้วมด้านล่างเพิ่มอีก 1 ห้อง โดยห้องเดิมใต้บรรไดให้แก้ไขเป็นห้องอาบน้ำ และอยากทำชั้นบนต่อขึ้นจากบ้านน้องชายด้านล่างขึ้นไปเพื่อทำห้องเช่าเก็บเงินเป็นรายได้เพิ่มเพราะมารดาได้บอกฉันว่าสามีแม่เขาไม่ส่งเงินให้แม่ใช้แล้ว ฉันจึงได้ตัดสินใจหาเงินมาทำให้โดยเจตนาอยากให้แม่มีรายได้ค่าเช่าไว้ใช้จ่าย และช่วยค่าผ่อนเงินกู้ ตลอดเวลาฉันไม่เคยได้รับเงินค่าเช่าบ้านแต่อย่างใด สำหรับค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ฉันได้ทำการกู้เงินสหกรณ์ของหน่วยงานมาทำต่อเติมอีกจำนวน 250,000 บาท อีกผ่อนเป็นเวลา 15 ปี และสามีได้นำเงินที่ได้จากการลาออกจากงานประจำ และเงินที่ได้จากการรับเหมาก่อสร้างศาลากลางน้ำมาสร้างทั้งหมดร่วมกันกับฉัน โดยเจตนาว่าแม่จะได้เก็บค่าเช่ามีรายได้ รวมเงินกู้สหกรณ์ของฉันและเงินสามีจำนวน 750,000 และต่อมาน้องชายฉัน มาขอเงินค่าทำหลังคาบ้านที่เขาอาศัยอยู่คืนจากฉัน เพราะชั้น 2 น้องชายเขาว่าไม่ได้อาศัยอยู่ จึงต้องทะเลาะกันกับฉัน สามีของฉันจึงได้ไปขอยืมเงินจากเพื่อนมาให้น้องชายจำนวน 50,000 บาท ฉันและสามีไม่เคยได้อยู่อาศัยด้วยเลย ไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยเลย
ในปี 2549 น้องสาว (ร่วมมารดาเดียวกัน) ไปเรียนต่อมอปลายที่กรุงเทพฯ แม่จึงไปอยู่ด้วยเพื่อดูแลโดยต้องปิดบ้านไว้ ในช่วงนั้นแม่ได้เปียร์แชร์ไว้กับบ้านประธานชุมชน และให้ฉัน ไปใช้หนี้ให้ทุกเดือน โดยเป็นเงินฉันเอง เนื่องจากภรรยาประธานชุมชนจะมาเก็บแชร์ทุกเดือน เมื่อแม่ไม่อยู่ก็จะมาเก็บที่ฉันเป็นแบบนี้จนงวดแชร์หมด และก็มาเปียร์ใหม่อีก 1 ปี ฉันก็ต้องจ่ายค่าแชร์ให้อีกเช่นเดิม
ในปี 2551 ธนาคารสีฟ้าได้ทำ MOU ร่วมกับ หน่วยงาน ให้ข้าราชการสามารถนำหนี้ไปรวมชำระเพียงที่เดียวโดยได้รับดอกเบี้ยพิเศษ ฉันมีภาระค่าใช้จ่ายมาก มีบุตร 2 คน ต้องผ่อนชำระค่าบ้านที่ตนอาศัยอยู่ และบ้านที่สร้างให้มารดารวมทั้งสิ้น 11,500 บาท จึงได้ตัดสินใจขอยื่นนำหนี้ไปรวมไว้ที่ธนาคารสีฟ้าเพื่อลดค่างวดและดอกเบี้ยสำหรับการผ่อนชำระลงเป็นเดือนละ 7,500 บาท ในจำนวนเงินกู้ 840,000 บาท โดยแม่และสามีได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ฉัน ทำสัญญากู้เงินกับธนาคารเพียงผู้เดียว และแม่ได้ขอเงินจากฉันอีกโดยบอกว่าจะไปลงทุนขายของที่กรุงเทพ จำนวน 20,000 บาท และฉันได้ซื้อตั๋วเครื่องบินให้แม่กลับไปกรุงเทพฯซึ่งแม่ก็ไปเปียร์แชร์ที่บ้านประธานชุมชนอีก และให้ฉันเป็นผู้จ่ายให้อีกจนหมด ตลอดเวลาไม่มีผู้ใดมาช่วยในการผ่อนชำระค่าบ้านที่สร้างให้มารดาอาศัยอยู่ ทั้งเงินกู้จากสหกรณ์ในช่วงที่ผ่อนชำระที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำนวนเงิน 3,000 บาท อาจมีบ้างที่มารดาช่วยเงินจำนวน 3,000 บาท แต่น้อยมากมีช่วยเพียงบางเดือน ในช่วงที่ตกลงจะกู้สร้างบ้านได้พูดคุยด้วยวาจา ว่าแม่และสามีใหม่ จะช่วยผ่อนส่งค่างวดบ้าน เมื่อฉันถามมารดาจะบอกว่า สามีใหม่ให้เงินรายเดือนลดลงจากเดือนละ 10,000 เหลือเดือนละ 8,000 เพราะอยู่กรุงเทพค่าใช้จ่ายเยอะในช่วงปี 2546 และตั้งแต่ปี 2547 ไม่เคยช่วยผ่อนชำระแต่อย่างใด ฉันจึงไม่ถามอีกเลย ก็คิดว่าสักวันคงจะดีขึ้น น้องชายถ้ามีงานทำคงจะคิดช่วย น้องสาวถ้ามีงานทำคงจะคิดช่วย แต่ปัจจุบันทำให้เกิดกรณีพิพาทขึ้นเนื่องจากเกิดความคิดว่าบ้านที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง คือมารดาและน้องสาวน้องชาย
ในปี 2552 แม่ได้กลับมาอยู่ที่บ้าน และบอกฉันว่าจะไม่กลับไปอยู่กรุงเทพฯแล้ว จึงหานักศึกษาราชภัฎ มาเช่าอยู่ห้องพักจำนวน 2 ห้อง ที่ฉันได้ทำไว้เพื่อให้มีรายได้จากเก็บค่าเช่า ตลอดเวลาฉันซื้อของเข้าบ้านมารดาคือเครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าว กระติกน้ำร้อน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในบ้านล้วนเป็นฉันจัดซื้อโดยใช้บัตรเครดิตในการชำระเงิน เพราะรายได้รายเดือนส่วนใหญ่ถูกหักหนี้ไปทั้งสิ้น ส่วนตู้เย็นซื้อร่วมกับน้องชาย ค่าใช้จ่ายในครอบครัวของฉันส่วนใหญ่เป็นสามีหามาให้ใช้จ่าย และในปี 2553 น้องชายได้ย้ายออกไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานน้องสะใภ้ และให้นักศึกษาราชภัฎมาเช่าบ้านชั้นล่างที่ น้องชายอยู่อาศัยโดยน้องชายและสะใภ้เก็บค่าเช่าเดือนละ 2,500 ถึง 3,000 บาท
ตลอดเวลาครอบครัวของฉันไม่เคยมีปัญหาและทะเลาะกัน เนื่องจากฉัน ไม่เคยเอ่ยปากพูดให้ใครช่วยเหลือ และไม่เคยบอกสามีเลย ต่อมาเมื่อปลายปี 2561 สามีเริ่มมีงานน้อยลง และ ไม่มีรายได้เรื่อยมา ฉันมีรายได้เพียงเงินเดือนอย่างเดียว และต้องมีภาระถูกหักเงินเดือนจากการที่ทำบ้านให้แม่อยู่อาศัย แม้จะหารายได้เสริมก็ยังไม่พอใช้ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ทาง ฉันจึงได้ทำการขอสินเชื่อเพื่อ refinance บ้าน แต่ต้องรวมหนี้ทั้งหมดทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่ออื่นๆ เคยเอ่ยปากขอให้น้องชายเอาภาระบ้านไปก่อนถ้าสภาพการเงินดีขึ้นจะหาทางปิดหนี้คืน แต่น้องชายบอกว่าไม่ได้ เขาจะทำการกู้เงินซื้อบ้านของครอบครัวเขาอยู่ ไม่อยากสร้างหนี้ ฉันได้บอกต่อว่าถ้าไม่ไหวก็จะต้องขายบ้านนะ น้องชายตอบว่าจะขายก็ขายเลย ทำให้รู้สึกว่าไม่มีใครมารับภาระช่วยได้จึงตัดสินใจ refinance บ้าน กับธนาคารโดยเป็นสินเชื่อบ้านแลกเงินกู้ดอกเบี้ยจะสูง เพราะเป็นการกู้โดยเอาบ้านมาค้ำประกัน สำหรับสินเชื่อธนาคารให้เงินกู้จำนวน 1,440,000 บาท ผ่อนชำระเดือนละ 14,400 บาท 16 ปี และทำประกันชีวิต ตามอายุผู้กู้คำนวณตามวงเงินกู้จ่ายครั้งเดียวตามอายุสัญญากู้หักไปราวแสนกว่าบาทคุ้มครองภาระหนี้ตลอดอายุสัญญา และประกันอัคคีภัยสำหรับบ้านไม้ตึก 2 ชั้น และบ้านด้านหลัง 2 ชั้น รวมบ้าน 2 หลังติดกัน
ปี พ.ศ. 2564 ฉันได้พูดคุยกับแม่ว่าจะทำอย่างไรภาระบ้านมันเป็นหนี้ที่ไม่เกิดรายได้เลย แม่จะช่วยได้ไหม แม่จึงเริ่มช่วยเดือนละ 5,000 เป็นเงินที่น้องชายให้แม่ใช้จ่าย และแม่มีรายได้จากการขายของชำที่บ้านทำเป็นร้านค้า แม่ช่วยแต่ไม่ตรงเวลา ฉันจะต้องจ่ายทุกเดือน เมื่อมีการถามจะทะเลาะกันทุกครั้ง ทำให้รู้สึกเครียดมาก จนเดือนตุลาคม 2564 สามีใหม่แม่ได้โทรศัพท์มาหาฉันและถามว่ามีภาระหนี้บ้านเหลือเท่าไหร่ ผ่อนอีกกี่ปี ฉันจึงได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง สามีใหม่ของแม่จึงบอกฉันว่าตอนนี้เกษียณแล้ว จะส่งเงินให้แม่และลูกสาวเขา เดือนละ 25,000 ให้แม่เอาเงินช่วยผ่อนบ้านฉันก็รับทราบตามนั้น แม่ให้มาเดือนละ 10,000 บาท เริ่มช่วยผ่อนเดือนพฤศจิกายน 2564 จนถึงพฤษภาคม 2567 และปัจจุบันไม่มีการช่วยผ่อนบ้านเลย