เป็นคนไม่มีความมั่นใจ

*สรุปให้แต่ถ้าว่างอ่านได้เหมือนชีวประวัติ*
*เราเป็นเด็กที่ติดครอบครัวมากไม่คุยกับคนไม่สนิทหรือไม่กล้า เป็นเด็กสุภาพขี้แงอ้วน จนโดนบูลลี่ตอนเด็กร้องไห้ทุกวันทั้งโดนรังแกหรือเหงาๆไม่มีเพื่อน(ไม่ใช่ไม่มีนะมี3คน คนนึงอายุเท่าเราแต่เราเข้าก่อนเกณฑ์เลยอยู่คนละชั้น อีกคนเป็นญาติอยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละห้องอีกคนห้องเดียวกันแต่เขาเป็นอะไรไม่รู้บางครั้งชอบไม่เล่นกับเราเป็นเพื่อนกันได้เพราะเป็นลูกเพื่อนแม่) จนเราโตขึ้นมัธยมก็ไม่โดนบูลลี่ละแต่ยังsensitiveอยู่ เพื่อนๆก็คุยกับเราเป็นเพื่อนกันแล้วแค่ผู้หญิงกับกะเทย (แต่เรามีปมที่บอกไม่ได้กับผู้ชายมันเยอะมากจนเราไม่ชอบผู้ชายไม่เข้าใกล้) พอขึ้นปวช.เราตั้งใจจะปรับตัวเองสุดเพราะต้องหาเพื่อนแต่ก็ไม่กล้าคุยกับเขาแต่มีเพื่อนมาคุยเ้วยเราก็เปิดใจจนมีเพื่อน แต่ผู้ชายเราไม่ยุ่งเลยจนปวช.2ปลายๆค่อยกล้าคุยด้วยแบบไม่เกร็งแต่ก็สนิทกันยากเพราะปวช.1ก็โควิด ไปฝึกงานก็เวงซวยได้อยู่ฝ่ายที่มีแต่ชายฉกรรจ์เต็มไปหมดเป็น10ดีมีเพื่อนดีอีกที่โดนย้ายไปที่ที่มีผู้หญิงเยอะแต่เราก็ไม่กล้าคุยกับพี่พนักงานนะแต่เด็กฝึกงานด้วยกันพอได้อยู่แล้วพวกเด็กฝึกงานเขาให้ไปประชาสัมพันธุ์เป็นครั้งแรกเลยแหละที่ได้คุยกับคนเยอะแต่เราก็เลือกแค่คนแก่ผู้หญิงอ่ะแต่เหนื่อยมากเลยเพราะต้องเตรียมความกล้าสุดๆในแต่ละครั้งทำอยู่2เดือนจนฝึกจบเรากล้าที่จะพูดมากขึ้นนิดนึงนะพอขึ้นปวส.เราก็โดนลากไปแข่งที่ต้องพรีเซ้นเราก็ดีใจแหละได้มีผลงานแต่ก็ดีที่มีรุ่นพี่ที่เคยแข่งอยู่ด้วยเราได้พรีเซ้นเยอะสุดด้วยเพราะต้องทั้งพูดเกริ่นและพูดของตัวเองหนักสุดๆเลยแหละแต่ครูก็ให้ซ้อมพรีบ่อยๆจนเรามีความมั่นใจขึ้น จนแข่งก็ตื้นเต้นที่สุดติดขัดลืมนิดนึงแต่อยากจะให้จบไวๆมากจนแต่มันทำให้เรากล้ามากขึ้นแต่ก็ตื่นเต้นอยู่ไม่มั่นใจอยู่ดีแต่กล้าที่จะพูด จนฝึกงานปวส เริ่มที่เราไปฝึกงานกับเพื่อนสนิทที่สถานที่นึงแต่เราก็ไม่มั่นในว่าถูกไหมเพราะเขาย้ายพนักงานมาอยู่ออฟฟิศนี้มีผุ้ชายขี่รถเข้ามาเรากล้าที่จะเดินไปถาม(เพื่อนมันไม่ยอมถามเราเลยรับจบ) จนมารู้ทีหลังว่าทั้งออฟมีแต่ผู้ชาย4จะบ้ามีผู้หญิงคนเดียวถึงเราจะกล้าแล้วก็เถอะแต่เราก็ยังไม่ไหวกับผู้ชายถึงเขาจะหน้าตาดีก็เถอะ ห้องทำงานซ่อมแซมอยู่เลยต้องมาอยู่อัดกันห้องเล็กๆมีพี่คนนึงลาทำให้เราได้มีที่ (แล้วพี่ๆเขาดูเก่งกันมากด้วยอ่ะคุยกันในสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินเรานี่รู้สึกต่ำต้อยไปอีกคุยกันตลอดเวลาเหมือนไม่ใช่ที่ของเราเรากับเพื่อนเงียบกันมากแต่ก็ไม่มีใครสอนอะไรให้เราทำงานให้ดูว่าทำอะไรเป็นเรากับเพื่อนก็นั่งทำงานเงียบๆคุยกันเบาๆ)แต่ดีเพราะไม่มีที่ให้เราอยู่เลยได้กลับไปที่เดิมซึ่งอยู่ใกล้บ้านแล้วก็มีรุ่นพี่ที่แข่งทักษะด้วยกันทำงานอยู่ในนั้นมีแต่ผุ้หญิงดีสุดๆไปเลยเรากล้าพูดกับทุกคนด้วย รู้สึกสบายใจกว่าเพราะมีคนที่เรารู้จักด้วยแล้วห้องก็เงียบดีไม่คุยกันตลอดเวลา ต่างคนต่างทำ แต่อีก2เดือนเราต้องไปที่นั่นอีกเราฝึกงาน1ปีต้องอยู่อีกนานเลยเดี๋ยวก็คงสนิทแหละแต่ก็กลัวจะโดนดึงไปแข่งอีกเพราะเรารึกสึกไม่คุ้มเท่าไหร่*

เริ่มจากตอนเด็กเราเป็นเด็กเงียบๆไม่ค่อยพูดกับคนไม่สนิทจริงๆเด็กขี้แงร้องไห้ทุกวันโดนเพื่อนๆบูลลี่เพราะขี้แงอ้วนมีเพื่อนแค่3คนแต่คนนึงเป็นรุ่นน้องอยู่คนละห้องแต่อายุเท่ากัน(เพราะเราเข้าก่อนเกณฑ์)อีกคนเป็นญาติชั้นเดียวกันแต่อยู่คนละห้อง อีกคนอยู่ห้องเดียวกัน(เป็นเพื่อนเพราะเป็นลูกเพื่อนแม่)แต่บางครั้งเราก็โดนทิ้งให้อยู่คนเดียวแต่พอขึ้นมัธยมก็ดีขึ้นไม่มีการบูลลี่กันละเริ่มมีเพื่อนมากขึ้นอีก2-3คน

พอโตมาเราก็ได้มาเรียนปวช.เราก็เลยอยากเริ่มต้นใหม่แต่เราก็ไม่กล้าทักใครแต่ก็ดีที่มีคนมาทักเราคุยกับเราเลยมีเพื่อนแต่เพื่อนคนนี้ก็แตกต่างกับเราเกินไปแหละเลยทำให้ผิดใจกับเพราะเราเป็นคนเงียบขี้อายๆแต่เขาเป็นสาวสวยมั่นกล้าสู้  ด้วยความเพื่อนเป็นคนสวยเราก็เวลาเดินด้วยก็รู้สึกแปลกๆเพราะเพื่อนสวยคนมองแล้วเราก็ไม่กล้าที่จะมองรอบๆไม่ค่อยสังเกตุอะไรไม่อยากเป็นจุดสนใจ ผ่านไปเรื่อยๆจนเพื่อนเราไปมีเพื่อนอีกคนเป็นเกย์แล้วเขานิสัยเข้ากันแล้วเรารู้สึกเราเหมือนเป็นเศษส่วนแต่ก่อนที่เป็นเพื่อนกันสองคนมันมีความสุข ตอนนั้นเราก็งอนเพื่อนไม่คุยกับเขาแต่เขาก็ไม่ง้อไม่อะไรจนเราไม่คุยไม่มองหน้ากันไม่อยู่ใกล้กัน (แต่เราก็คุยกับเพื่อนคนอื่นได้นะไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนแต่เราไม่คุยกับผู้ชายเลยเพราะมีปมที่ไม่สามารถบอกได้ในตอนเด็ก) เราเลยไปคุยกับเพื่อนอีกคนซึ่งคนนี้เป็นคนที่เก็บตัวมากมากกว่าเราจนเพื่อนๆในห้องนินทาเพราะไม่คุยกับใครเลยแต่เราก็คุยกับเขาช่วยเหลือเขาตั้งแต่ยังเป็นเพื่อนกับสาวมั่นนะ(มารู้ทีหลังว่ามีแค่เรากับเพื่อนผู้ชายอีกคนที่คุยกับเขา) เราเลยเลือกที่จะเป็นเพื่อนกับคนนี้แทนพออยู่ด้วยกันเราก็พาเพื่อนคนนี้คุยกับคนอื่นๆบ้างจนเขาเป็นเพื่อนกับทุกคนได้แต่เราก็ยังไม่ค่อยจะพูดกับพวกผู้ชายจนปวช.2ท้ายๆเทอมเราค่อยจะกล้าพูดกับเพื่อนๆผู้ชาย เพราะเราก็เริ่มสนิทกับผู้หญิงทุกคนแล้วด้วยเวลาแหละเลยทำให้เราเริ่มจะเปิดใจ(เป็นเพราะช่วงโควิดทำให้เราสนิทกันยากขนาดผู้หญิงด้วยกันยังยาก

จนฝึกงานเราได้ไปฝึกที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งจะมีแต่ผู้ชายอ่ะเรากลัวมากๆเราเกรงทุกครั้งที่อยู่ในนั้นเวลาเดินช้าที่สุดเรา แล้วเพื่อนเราก็ชอบมาสายแล้วเรามาไวตลอดเราโดดเดี่ยวมากเราจะพยายามตามเพื่อนตลอดและไม่ยอมให้มันลาถ้าไม่ป่วย จนสวรรค์มาโปรดเขาส่งเราสองคนไปช่วยงานเสมียนตราซึ่งมีแต่ผู้หญิงมีเด็กฝึกงานที่วิลัยเดียวกันด้วยเราก็คุยกับ้ขาได้นิดหน่อยแต่พวกที่พนักงานก็ไม่ค่อยคุยแต่ก็กล้าถามกล้าตอบ จนเขามีภารกิจเขาเด็กๆฝึกงานรวมตัวกันคอยดูโพสต์ร้องเรียนทำให้เด็กฝึกงานวิลัยเรามารวมตัวกันในห้องเดียวก็โล่งใจมากด้วยความอยู่ด้วยกันก็สนิทกันมากขึ้นคุยกันได้พี่เลขาเฟรนลี่ใจดีเห็นอกเห็นใจพวกเราเราก็กล้าพูดด้วยคุยด้วยเป็นพนักงานคนเดียวเลยที่เรากล้าพูดด้วย แล้วเด็กฝึกงานทุกคนในห้องมีภารกิจไปประชาสัมพันธ์ต่างๆต้องคุยกับคนเยอะๆเรานี่ต้องรวบรวมความกล้าที่สุดของที่สุดเลยนะในการเชิญชวนแต่ละคนเหนื่อยมากที่สุดแต้ราก็กล้าคุยกับแค่คนแก่ผญ.นะ วัยรุ่นไม่กล้าเพราะเรารู้เขาไม่ชอบก็เลยไม่ทำเพราะพี่ๆเขาก็ทำได้เราทำไปจนจบฝึกงาน3เดือนจนเรากล้ามากขึ้นทำให้เรากล้าพูดคุยที่สุดแต่ยังไม่มั่นใจอยู่เหมือนกล้าแต่ก็ไม่มีความกล้ามากขึ้นติดนึงแต่เราก็คุยกับเพื่อนทุกคนได้แล้วนะ

พอขึ้นปวส.เราตั้งมั่นที่จะเก่งขึ้นกว่าเดินจริงจังมากขึ้นแต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราผิดใจกับเพื่อนสนิทเป็นบ้าอะไรไม่รู้ตีตัวออกห่างทุกคน พยายามคิดว่าดีซะอีกเราจะได้ตั้งใจเรียนไม่เหลวไหลเพราะตอนนั้นเพื่อนๆเป็นอะไรก็ไม่รู้ติดเล่นไม่สนเรียน แต่เราก็อยู่คนเดียวไม่ไหวคิดลบไปหมดคิดว่าทุกคนเกลียดเราที่เป็นแบบนี้ไม่ไหวแถมเสนองานอจ.ไม่ผ่านอีกจนร้องไห้กำมือแน่นหน้าชามือชาแต่อจ.เพื่อนก็มาปลอบแหละแต่เพื่อนสนิทเราก็ไม่มาเพราะเขารู้ว่าถ้ามาปลอบคงจะหนักกว่าเดิม ผ่านไปเรื่อยๆก็กลับมาสนิทกับเพื่อนเหมือนเดิมแต่นิสัยเขาก็เหมือนเดิมยังติดเล่นอยู่แต่เราก็ไม่ไปกับพวกเขาเราก็ตั้งใจเรียนของเราเหมือนเดิมจนเราเก็บเกรด4เรียบ(ส่งงานหมด)แต่มีตัวเดียวที่3.5เราผิดหวังมากแต่ก็พยายามคิดบวกๆๆๆๆๆๆๆๆเป็นช่วงที่เราพยายามให้คิดบวกทุกสุดแล้วแหละ จนครูดึงตัวเราไปแข่งเพราะพวกเก่งกว่าเราก็เขาก็ไปต่อมหาลัย ความกดดันนี่เยอะกว่าตอนเรียนอีกเราเป็นคนที่พรีเซ้นไม่เก่งเลยแม้แต่นิดเดียวแต่โดนลากไปแข่ง(เราก็เคยพรีเซ้นต่อหน้าอจ.นะแบบยืนหน้าห้องแล้วอจ.นั่งเรียงกันฟังตอนนั้นเครียดมากจนขึ้นปวส.เพื่อนก็แยกย้ายไปครึ่งนึง เหลือ6คนพวกเราเลยสนิทกันมาก แต่จะมีช่วงนึงที่เราผิดใจกับเพื่อนสนิท พอปวส.เพื่อนเรามันเป็นอะไรไม่รู้มันดีดมากๆจนทำในเรื่องที่ดูไม่ดีไม่เหมาะสมไม่ให้เกียรติยังไงก็ไม่ฟังหลายเรื่องจนสะสมแล้วพูดบางอย่าที่โดนเส้นเราจนเราร้องไห้ตั้งแต่ตอนนั้นเราตีตัวอยู่คนเดียวแล้วเราตั้งใจเรียนทำงานมากด้วยความไม่มีเพื่อนมันเลยกดดันคิดทุกอย่างลบไปหมดคิดว่าทุกคนเกลียดเราแต่เราก็ไม่สนใจทำไมฉันต้องแคร์ฉันมาโฟกัสการเรียนดีกว่า
(เราเคยปรึกษาแม่แต่แม่บอกไม่ต้องสนใจหรอกเราก็เฉยๆทำในส่วนของเราให้ดีเดี๋ยวก็จบแล้วด้วย) ก่อนจะขึ้นปวส.เราตั้งเป้าไว้ว่าขึ้นปวส.ฉันต้องเก่งให้ได้เพราะถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ไม่ดี เลยกดดันตัวเองคิดงานไม่ออกไม่คุยกับใครอีกมันกดดันมากพอเราไปเสนองานอจ.ก็โดนบอกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เราเครียดมากพูดไปเสียงสั่นไปด้วยพยายามไม่ร้องไห้เพราะคนเยอะอายแต่ครูทักว่าทำไมเหมือนจะร้องไห้เราน้ำตาไหลทันทีอจ.เลยยื่นทิชชูให้แล้วพาไปข้างนอกคุยกันว่าเครียดเรื่องที่ผิดใจกันกับเพื่อนเหรอคุยปลอบเราเพื่อนในห้องก็มาดูเราแต่เพื่อนคนนั้นไม่มาเพราะคงรู้แหละถ้ามาเราก็คงร้องไห้ไม่หยุด จำได้เลยมันเป็นการร้องไห้ที่เคยเคยเป็นมาก่อนเราร้องไห้ไปด้วยกำมือไปด้วยเหงื่อไหล(เพราะเราขี้ร้อนด้วย)หน้าชามือชาครั้งแรกเลยอ่ะผ่านไปเขาก็พยายามคุยกับเรานะแต่งงทำไมเราไม่คุยกับเขาตอนนั้นงอนแหละเลยมองเห็นแค่ข้อเสียแต่ก็เยอะกว่าข้อดี แต่ก็มีแค่คนนี้ที่เข้ากับเราที่สุดเราก็มาสนิทกันเหมือนเดิม ผ่านมาเทอมสองเราโดนดึงตัวมาแข่งเพราะคนเก่งเขาไปต่มหาลัยหมด เราก็ว่าดีแหละเอาประสบการณ์ แต่ลืมว่าตัวเองพรีเซ้นไม่เก่ง(เราก็เคยพรีเซ้นนะหน้าห้องมีอจ.นั่งเรียงกันฟังแต่เราก็เครียดมากประหม่าจนหัวโล่งไม่มีอะไรเลยเลยต้องดูจอแล้วพูดติดๆขับไปพอพรีเสร็จร้องไห้เลย) แต่ก็ดีมีรุ่นพี่ที่เคยแข่งอยู่ในทีมด้วยก็เลยจะให้พี่เค้าคิดเป็นหลักระหว่างนั้นเราโดนให้มาซ้อมอย่างเดียวไม่ได้ไปเรียนกับเพื่อน แรกๆดีนะแต่หลังๆมาเราเริ่มเครียดละทั้งใกล้ถึงกำหนดแข่งบวกกับงานมันทับถมด้วยไม่ได้เรียนแต่ก็ต้องทำงานส่งแต่เราก็ผิดเองที่ไม่ทำจนถมตัวเองด้วยความใกล้จะแจ่งก็ต้องพรีเซ้นซึ่งหน้าที่เราต้องพรีเซ้นยาวมากเพราะต้องเกริ่นนำและพูดพรีเซ้นของตัวเองแต่มันควรเป็นหน้าที่ของอีกคนแต่มันหนักว่าเราอีกเลยเป็นเราแทน เราเขียนบทลงสมุดได้1หน้ากระดาษเลยแหละเรายังไม่ชินเท่าไหร่บทก็ยังไม่ดีเรียงคำพูดเพิ่งเสร็จอจ.ก็จะให้พรีเซ้นเราแบบพรีเซ้นต่อหน้าอจ.แต่เกริ่นพอจำได้ ซึ่งแน่นอนติดขัดลืมบางส่วนเพราะหัวโล่งหลังจากนั้นเราเน้นท่องจำจนจำได้ทั้งหมดอจ.ให้พรีบ่อยจนมีความมั่นจนแข่งได้พรีคิวแรกตื่นมากแต่ก็ผ่านมาได้ถึงจะลืมนิดนึงไม่สนแล้วจังหวะนั้นอยากออกถึงจะพรีจนมั่นใจแล้วก็เถอะ *แต่การแข่งครั้งนี้ทำให้เรามั่นใจและคิดเป็นระบบทำให้เข้าใจงาน เราก็โดนอจ.ลากไปพูดอีกดีมีบทให้อ่าน จนเราคิดว่าเราเก่งมากนะ *

จนฝึกงานปวส.เราดูดีขึ้นกว่าตอนปวช.มากจากคนไม่กล้าคุยกับใครต้องรวบรวมความกล้าสุดๆในแต่ละครั้งที่จะพูด ตอนนี้กล้าที่จะเดินไปพูดกับคนแปลกหน้า เริ่มที่เราไปฝึกงานกับเพื่อนสนิทที่สถานที่นึงแต่เราก็ไม่มั่นในว่าถูกไหมเพราะเขาย้ายพนักงานมาอยู่ออฟฟิศนี้มีผุ้ชายขี่รถเข้ามาเรากล้าที่จะเดินไปถาม(เพื่อนมันไม่ยอมถามเราเลยรับจบ) จนมารู้ทีหลังว่าทั้งออฟมีแต่ผู้ชาย4จะบ้ามีผู้หญิงคนเดียวถึงเราจะกล้าแล้วก็เถอะแต่เราก็ยังไม่ไหวกับผู้ชายเหมือนเราเป็นโรคอ่ะไม่กล้าอยู่ใกล้ผู้ชาย ห้องทำงานเขาซ่อมอยู่เลยต้องมาอยู่อัดกันห้องเล็กๆมีพี่คนนึงลาทำให้เราได้มีที่ (แล้วพี่ๆเขาดูเก่งกันมากด้วยอ่ะคุยกันในสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินเรานี่รู้สึกต่ำต้อยไปอีกคุยกันตลอดเวลาเหมือนไม่ใช่ที่ของเราเรากับเพื่อนเงียบกันมากแต่ก็ไม่มีใครสอนอะไรให้เราทำงานให้ดูว่าทำอะไรเป็นเรากับเพื่อนก็นั่งทำงานเงียบๆคุยกันเบาๆ)แต่ดีเพราะไม่มีที่ให้เราอยู่เลยได้กลับไปที่เดิมซึ่งอยู่ใกล้บ้านแล้วก็มีรุ่นพี่ที่แข่งทักษะด้วยกันทำงานอยู่ในนั้นมีแต่ผุ้หญิงดีสุดๆไปเลยเรากล้าพูดกับทุกคนด้วย รู้สึกสบายใจกว่าเพราะมีคนที่เรารู้จักด้วยแล้วห้องก็เงียบดีไม่คุยกันตลอดเวลา ต่างคนต่างทำ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่