เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนได้บ้าง เราทำงานบริษัทแห่งนี้ได้4ปี เราจะเหล่าเป็นช่วงๆจะได้ไม่งง
ช่วงปีที่1 ทำงานวันแรกได้เก็บของไปอยู่ต่างจังหวัดเลย ได้อยู่ภาคอีสานมากับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เราได้มาอยู่กับหัวหน้าใหญ่ของบริษัท(แต่ไม่ใช่CEOนะ) มาแรกๆอะไรก็ดีไปหมดรักกันเหมือนพี่น้องเลยแถบจะเรียกว่าน้องรักได้เลย เป็นมือขวาได้เลยเรารักและเคารพมากๆหัวหน้าคนนี้
ช่วงปีที่2 เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงบริษัทได้งานมาใหม่เงินเดือนเราขึ้นหัวหน้าก็ออกรถชีวิตดีมากๆ แต่กับต้องแลกกับกฏบริษัทใหม่ที่ต้องสำลองค่าน้ำมันไปทำงานเองหรือค่าที่พักเอง ผ่านไปเกือบครึ่งปี พนักงานที่คนเริ่มบ่น เราเองก็ได้รับผลกระทบ เราก็เลยลองไปคุยกับพี่ที่เป็นหัวหน้าเราดูเผื่อแกคุยกับCEOให้ได้ สุดท้ายเราทะเลาะกับหัวหน้า แกหาว่าเราไปเดือดร้อนแทนคนอื่นตัวแกก็ไม่ได้อยากมีปัญหา คุยครั้งนั้นจบไม่สวยหลังจากนั้นเพื่อนที่มาทำงานกับเราได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์เลย หัวหน้าเลือก เราเลยได้คู่หูใหม่(คู่หูใหม่เป็นคนขี้เกียจชอบเอาเปรียบ) เราเคยร่วมงานมาเลยรู้แรกความคิดตรงกันคือทำงานตามเงินเดือน ใครมาขอความช่วยเหลือ หรือมีงานให้ช่วย คู่หูผมจะพยายามปฏิเสธงานให้ ผมเลยมองว่าโอเครถึงผมจะต้องทำงานมากกว่าคู่หู ไม่นานคู่หูผมได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ อีก ความบันเทิงมันอยู่ตรงนี้แหละ หลังจากหัวหน้าดันคู่หูผมเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ จากงานที่เคยปฏิเสธช่วยผมกลายเป็นรับทุกงานใครให้ช่วยอะไรไปหมดทำหมด แต่คนที่ทำจริงๆคือผมถ้าพูดหยาบคือนั่งรถไปเป็นเพื่อนอ่ะ งานปล่อยผมทำ ผมก็ทนอนาคตมันอาจจะมีงานใหม่มาเผื่อหัวหน้าจะเห็นศักยภาพผมบ้าง
ช่วงปีที3 คู่หูผมกับหัวหน้าสนิทกันมากไปไหนมาไหนตัวติดกันเลย ไปกินหมูกะทะกันก็ฝากผมให้วิ่งงานให้เพียงเพราะผมไม่ได้ไปกินหมูกะทะด้วย ตกเย็นมาก็จะถามคู่หูผมจะกินอะไรตกลงกันเสร็จคู่หูก็โอนเงินให้ค่ากับข้าว500บาทต่อวัน จนหลังๆผมไม่ไหวขอไปทำงานคนเดียวดีกว่า โดนเอาเปรียบทุกอย่างจะไปบอกว่าโดนเอาเปรียบเค้าก็พวกกันไปแล้ว ไม่รู้จะไปพูดกับใครได้เลย
ยด้วยช่วงปีที่4 จุดแตกหัก ช่วงกลางปีเพื่อนผมที่เคยทำงานบริษัทนี้กลับมาหาผมมาเยี่ยมพวกหัวหน้าก็เลยกินเหล้ากัน เพื่อนก็เลยแซวๆเรื่องตำแหน่งเพราะหัวหน้าคนนี้ได้เป็นรองกรรมการของบริษัท เพื่อนก็เลยถามเรื่องซุปเปอร์ไวเซอร์ หัวหน้าเลยหลุดปากพูดว่า คนที่จะเป็นซุปได้กูต้องการคนที่มีคอนแท็กกับผู้ใหญ่ได้คุยกับคนโตได้ แล้วเมียของรองกรรมบริษัทเลยพูดว่า ผมนี้ทำงานดีเคลียร์งานออกให้ได้ ทำงานได้นะ ตัวท่านรองกรรมเลยสวนเมียกับไปว่า แล้วไงกูไม่ได้ต้องการคนทำงานกูไม่ต้องการคนเคลียร์งาน บริษัท นี้ไม่เหมาะเติบโต ใครจะโตไม่โตอยู่ที่กู ผมได้ยินผมจุกมากเพราะมันมากจากปาก คนที่เรียกเราน้องรักคนที่เราเคารพ หลังจากนั้นผมพยามพัฒนาตัวเองเรื่องการคุยการสื่อสารจุดบกพร่องที่เค้าบอกเราพยายามแก้ไขพัฒนาตัวเอง ขยันทำงานมากขึ้นคู่หูที่เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์รับงานอะไรมา ผมทำได้หมดเคลียร์ให้หมด ด้วยความอยากให้เค้าเห็นว่าเราเปลี่ยนตัวเอง จะโดนเอาเปรียบแค่ไหนไม่สน ชนะใจตัวเองพอ สุดท้ายกลายเป็นเค้ามองเราแค่ขี้ข้า ร่วมถึงคู่หูผมมองผมเป็นแค่แรงงาน ไม่สู้แล้วยอมแล้วมานั้งคิดทบทวนเออว่ะสิ่งที่ไอ้ท้านรองกรรมการ มันพูดคงจะจิงว่ะ ตัดสินใจลาออกจากงานในวัย27ปี ลาออกแบบยังไม่มีงานใหม่ด้วย เลยแจ้งลาออกช่วงเดือนต้นกับทางHRหลังจากนั้น 5-6 วันCEOเรียกประชุมใหญ่พร้อมประกาศรับสมัครพันกงานใหม่ทันที่ เพื่อนที่ทำงานด้วยกันแต่อยู่คนละจังหวัดโทรมาบอกว่าอยู่ดีๆ CEO ให้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์2คนเป็นผู้ช่วยรองกรรมการ 1คน สรุปผมลาออกเพื่อนได้รับตำแหน่งกัน3คน แบบงง ผมก็ยินดีที่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลง ช่วงก่อนจะสงกรานต์ปีล่าสุด68 CEO เรียกผมไปคุยว่าให้อยู่ต่อได้ใหม่อยู่ช่วยงานอีก3เดือนถ้ายังไม่โอเครจะปล่อยไปเลย ผมก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอมาให้ฟังเล่าไปน้ำตาไหลไปเพราะมันเจ็บจนไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจเลยมันละเอียดหมดเลย กลายเป็นปมในใจที่มันล้างไม่ออกและไม่มีวันหาย สิ่งที่เจ็บไปกว่านั้นคือ CEOพูดกับผมว่า ปล่อยวางได้ไหมมันก็แค่คำพูด เลิกอคติเลิกคิดลบๆส่ะ แล้วมาช่วยงานพี่ พี่ขอแค่3เดือน ถ้าไม่เห็นแก่พี่เห็นแก่แฟนพี่เถอะ(แฟนของCEOเป็นผู้มีพระบุญกับผมมากช่วยเหลือเรื่องเงินทองตลอดไม่เคยคิดดอกสักบาท) ผมใจอ่อนเลย จากที่ใจเด็ดเดี่ยวจะลาออก มีสองจิตสองใจ เลยพูดกับCEO ไปว่า ผมไม่รับปากว่าจะอยู่ต่อ แต่ขอคิดดูก่อน หลังจากนั้นวันที่9 CEOจัดงานทำบุญถวายติดหลอดไฟให้วัดอีกตังหวัดในภาคอีสาน ผมขอเสนอตัวไปช่วยด้วยอยากพักผ่อนด้วย พี่ในบริษัทรู้หมดเลยว่าผมอยากไป แต่ๆมันไม่ง่ายอย่างนั้น วันที่9 ผมเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทาง คู่หูทักมาบอกว่าจะไปด้วยไหมทำบุญอะ พี่อะจะไปท่านแล้วเตลิดไปเลย เราก็โอเครเพราะเราก็บอกกับคู่หูแล้วว่าอยากไป พอเรากำลังจะไป ท่านรองกรรมการเลยพูดว่า คุยกันเลยใช่ไหม(คุยกับคู่หู)เองมีเปลี่ยนคอมที่โรงเรียนไหนบ้าง เราก็บอกคุยแล้ว วันนั้นเราก็รีบทำงานเคลียร์เพิ่อที่จะได้ไปทำบุญช่วงสงกรานต์ด้วย เราก็นอนรอจะไปด้วยเพราะทักไปบอกกับคู่หูว่าจะไปด้วย แต่เรื่องโป๊ะแตกคือเมียท่านรองกรรมการมาบอกกับเราว่า พี่ฝากบ้านด้วยนะ ผมก็เลยมานับไทม์ไลน์ดู ถึงบางอ้อเลย

ดีลกันไว้แล้วว่าให้ผมดูงานไม่ได้ให้ผมไป แต่คู่หูผมมันไม่บอกผมตรงๆ ผมเลยรู้เลยว่าผมโดนอีกรอบละ พอท่านรองกรรมการกับคู่หูผมไปถึงงานบุญ เพื่อนผมเลยถามว่าทำไมไม่เอาผมมาด้วย ท่านรองกรรมการก็เลยพูดกับCEOแล้วก็กับเพื่อนผมว่า เสียดายจังผมไม่ได้ไปด้วย บอกผมว่าไม่อยากไป เพื่อนผมเลยโทรมาบอกว่าแม้ง

กับเจ้าของบริษัทว่าไม่มาติดธุระ จากที่ผมสองจิตสองใจว่าจะอยู่ช่วยไหมหรือลาออกดี ผมตัดสินใจได้ง่ายเลย ออกครับ
จากเรื่องที่ผมเล่ามาถ้าผมย้อนเวลากับไปได้ ผมจะไม่ไปออกตัวให้ใคร ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วผมก็จะไม่ไปทะเลาะกับหัวหน้างาน ถ้าวันนั้นผมเลือกที่จะไม่เกเร เลือกที่จะก้มให้หัวหน้าชีวิตผมอาจจะมีความสำเร็จในหน้าที่การงานก็ได้ ถ้าผมเลือกที่จะอดทนอีกหน่อย หรือยอมปล่อยวางหรือเลิกอคติกับคำพูดนั้น ผมอาจจะได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ก็ได้ แต่ที่ผมเลือกออกเพราะชีวิตผมยังอีกยาวไกล
ส่วนใครที่คิดว่างานที่ทำงานมันตอบโจทย์กับทางบ้านและครอบครัวขอให้อดทนไม่ใจร้อนแบบผม เหนื่อยมากๆก็อยู่พัก มีแรงค่อยสู้ไหม บางครั้งความใจร้อนมันก็ทำให้ทุกอย่างพังจริงๆนะ เหมือนกันชีวิตผมในตอนนี้
เลยอยากเตือนเพื่อนๆให้มีสติ คิดให้ดีๆ ปัญหามันมีทางออกที่ดีเสมอ แค่ใจเย็นๆกับมัน
ปล.บทเรียนครั้งนี้ผมว่ามันคือที่สุดมากๆเลย ถึงจะเป็นการทำงานที่แรกหลังเรียนจบ มันช่วยให้ผมได้โตขึ้นเยอะเลย
ฝากเพื่อนๆ ใครที่มีทางเลือกก็ไม่ต้องทนเพราะเงินเดือนที่แค่ไหน สังคมแย่ๆ เพื่อนร่วมงานแย่ๆ อยู่ไปชีวิตก็แย่ลงด้วย
ส่วนใครที่ไม่มีทางเลือก อดทนเอาครับอดทนอย่างเดียว อย่าไปสู้กับระบบ เดียวสักวันมันก็ต้องเป็นวันของคุณ
สุดท้ายเรื่องที่ผมพิมพ์ทั้งหมดเป็นความจริงทุกประการ และขออโหสิกรรมซึ้งกันและกัน ขออย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย ไม่ว่าชาติไหนๆ
อย่าทะเลาะกับหัวหน้างาน
ช่วงปีที่1 ทำงานวันแรกได้เก็บของไปอยู่ต่างจังหวัดเลย ได้อยู่ภาคอีสานมากับเพื่อนที่เรียนด้วยกัน เราได้มาอยู่กับหัวหน้าใหญ่ของบริษัท(แต่ไม่ใช่CEOนะ) มาแรกๆอะไรก็ดีไปหมดรักกันเหมือนพี่น้องเลยแถบจะเรียกว่าน้องรักได้เลย เป็นมือขวาได้เลยเรารักและเคารพมากๆหัวหน้าคนนี้
ช่วงปีที่2 เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงบริษัทได้งานมาใหม่เงินเดือนเราขึ้นหัวหน้าก็ออกรถชีวิตดีมากๆ แต่กับต้องแลกกับกฏบริษัทใหม่ที่ต้องสำลองค่าน้ำมันไปทำงานเองหรือค่าที่พักเอง ผ่านไปเกือบครึ่งปี พนักงานที่คนเริ่มบ่น เราเองก็ได้รับผลกระทบ เราก็เลยลองไปคุยกับพี่ที่เป็นหัวหน้าเราดูเผื่อแกคุยกับCEOให้ได้ สุดท้ายเราทะเลาะกับหัวหน้า แกหาว่าเราไปเดือดร้อนแทนคนอื่นตัวแกก็ไม่ได้อยากมีปัญหา คุยครั้งนั้นจบไม่สวยหลังจากนั้นเพื่อนที่มาทำงานกับเราได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์เลย หัวหน้าเลือก เราเลยได้คู่หูใหม่(คู่หูใหม่เป็นคนขี้เกียจชอบเอาเปรียบ) เราเคยร่วมงานมาเลยรู้แรกความคิดตรงกันคือทำงานตามเงินเดือน ใครมาขอความช่วยเหลือ หรือมีงานให้ช่วย คู่หูผมจะพยายามปฏิเสธงานให้ ผมเลยมองว่าโอเครถึงผมจะต้องทำงานมากกว่าคู่หู ไม่นานคู่หูผมได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ อีก ความบันเทิงมันอยู่ตรงนี้แหละ หลังจากหัวหน้าดันคู่หูผมเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ จากงานที่เคยปฏิเสธช่วยผมกลายเป็นรับทุกงานใครให้ช่วยอะไรไปหมดทำหมด แต่คนที่ทำจริงๆคือผมถ้าพูดหยาบคือนั่งรถไปเป็นเพื่อนอ่ะ งานปล่อยผมทำ ผมก็ทนอนาคตมันอาจจะมีงานใหม่มาเผื่อหัวหน้าจะเห็นศักยภาพผมบ้าง
ช่วงปีที3 คู่หูผมกับหัวหน้าสนิทกันมากไปไหนมาไหนตัวติดกันเลย ไปกินหมูกะทะกันก็ฝากผมให้วิ่งงานให้เพียงเพราะผมไม่ได้ไปกินหมูกะทะด้วย ตกเย็นมาก็จะถามคู่หูผมจะกินอะไรตกลงกันเสร็จคู่หูก็โอนเงินให้ค่ากับข้าว500บาทต่อวัน จนหลังๆผมไม่ไหวขอไปทำงานคนเดียวดีกว่า โดนเอาเปรียบทุกอย่างจะไปบอกว่าโดนเอาเปรียบเค้าก็พวกกันไปแล้ว ไม่รู้จะไปพูดกับใครได้เลย
ยด้วยช่วงปีที่4 จุดแตกหัก ช่วงกลางปีเพื่อนผมที่เคยทำงานบริษัทนี้กลับมาหาผมมาเยี่ยมพวกหัวหน้าก็เลยกินเหล้ากัน เพื่อนก็เลยแซวๆเรื่องตำแหน่งเพราะหัวหน้าคนนี้ได้เป็นรองกรรมการของบริษัท เพื่อนก็เลยถามเรื่องซุปเปอร์ไวเซอร์ หัวหน้าเลยหลุดปากพูดว่า คนที่จะเป็นซุปได้กูต้องการคนที่มีคอนแท็กกับผู้ใหญ่ได้คุยกับคนโตได้ แล้วเมียของรองกรรมบริษัทเลยพูดว่า ผมนี้ทำงานดีเคลียร์งานออกให้ได้ ทำงานได้นะ ตัวท่านรองกรรมเลยสวนเมียกับไปว่า แล้วไงกูไม่ได้ต้องการคนทำงานกูไม่ต้องการคนเคลียร์งาน บริษัท นี้ไม่เหมาะเติบโต ใครจะโตไม่โตอยู่ที่กู ผมได้ยินผมจุกมากเพราะมันมากจากปาก คนที่เรียกเราน้องรักคนที่เราเคารพ หลังจากนั้นผมพยามพัฒนาตัวเองเรื่องการคุยการสื่อสารจุดบกพร่องที่เค้าบอกเราพยายามแก้ไขพัฒนาตัวเอง ขยันทำงานมากขึ้นคู่หูที่เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์รับงานอะไรมา ผมทำได้หมดเคลียร์ให้หมด ด้วยความอยากให้เค้าเห็นว่าเราเปลี่ยนตัวเอง จะโดนเอาเปรียบแค่ไหนไม่สน ชนะใจตัวเองพอ สุดท้ายกลายเป็นเค้ามองเราแค่ขี้ข้า ร่วมถึงคู่หูผมมองผมเป็นแค่แรงงาน ไม่สู้แล้วยอมแล้วมานั้งคิดทบทวนเออว่ะสิ่งที่ไอ้ท้านรองกรรมการ มันพูดคงจะจิงว่ะ ตัดสินใจลาออกจากงานในวัย27ปี ลาออกแบบยังไม่มีงานใหม่ด้วย เลยแจ้งลาออกช่วงเดือนต้นกับทางHRหลังจากนั้น 5-6 วันCEOเรียกประชุมใหญ่พร้อมประกาศรับสมัครพันกงานใหม่ทันที่ เพื่อนที่ทำงานด้วยกันแต่อยู่คนละจังหวัดโทรมาบอกว่าอยู่ดีๆ CEO ให้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์2คนเป็นผู้ช่วยรองกรรมการ 1คน สรุปผมลาออกเพื่อนได้รับตำแหน่งกัน3คน แบบงง ผมก็ยินดีที่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลง ช่วงก่อนจะสงกรานต์ปีล่าสุด68 CEO เรียกผมไปคุยว่าให้อยู่ต่อได้ใหม่อยู่ช่วยงานอีก3เดือนถ้ายังไม่โอเครจะปล่อยไปเลย ผมก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจอมาให้ฟังเล่าไปน้ำตาไหลไปเพราะมันเจ็บจนไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจเลยมันละเอียดหมดเลย กลายเป็นปมในใจที่มันล้างไม่ออกและไม่มีวันหาย สิ่งที่เจ็บไปกว่านั้นคือ CEOพูดกับผมว่า ปล่อยวางได้ไหมมันก็แค่คำพูด เลิกอคติเลิกคิดลบๆส่ะ แล้วมาช่วยงานพี่ พี่ขอแค่3เดือน ถ้าไม่เห็นแก่พี่เห็นแก่แฟนพี่เถอะ(แฟนของCEOเป็นผู้มีพระบุญกับผมมากช่วยเหลือเรื่องเงินทองตลอดไม่เคยคิดดอกสักบาท) ผมใจอ่อนเลย จากที่ใจเด็ดเดี่ยวจะลาออก มีสองจิตสองใจ เลยพูดกับCEO ไปว่า ผมไม่รับปากว่าจะอยู่ต่อ แต่ขอคิดดูก่อน หลังจากนั้นวันที่9 CEOจัดงานทำบุญถวายติดหลอดไฟให้วัดอีกตังหวัดในภาคอีสาน ผมขอเสนอตัวไปช่วยด้วยอยากพักผ่อนด้วย พี่ในบริษัทรู้หมดเลยว่าผมอยากไป แต่ๆมันไม่ง่ายอย่างนั้น วันที่9 ผมเก็บกระเป๋าพร้อมเดินทาง คู่หูทักมาบอกว่าจะไปด้วยไหมทำบุญอะ พี่อะจะไปท่านแล้วเตลิดไปเลย เราก็โอเครเพราะเราก็บอกกับคู่หูแล้วว่าอยากไป พอเรากำลังจะไป ท่านรองกรรมการเลยพูดว่า คุยกันเลยใช่ไหม(คุยกับคู่หู)เองมีเปลี่ยนคอมที่โรงเรียนไหนบ้าง เราก็บอกคุยแล้ว วันนั้นเราก็รีบทำงานเคลียร์เพิ่อที่จะได้ไปทำบุญช่วงสงกรานต์ด้วย เราก็นอนรอจะไปด้วยเพราะทักไปบอกกับคู่หูว่าจะไปด้วย แต่เรื่องโป๊ะแตกคือเมียท่านรองกรรมการมาบอกกับเราว่า พี่ฝากบ้านด้วยนะ ผมก็เลยมานับไทม์ไลน์ดู ถึงบางอ้อเลย
จากเรื่องที่ผมเล่ามาถ้าผมย้อนเวลากับไปได้ ผมจะไม่ไปออกตัวให้ใคร ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วผมก็จะไม่ไปทะเลาะกับหัวหน้างาน ถ้าวันนั้นผมเลือกที่จะไม่เกเร เลือกที่จะก้มให้หัวหน้าชีวิตผมอาจจะมีความสำเร็จในหน้าที่การงานก็ได้ ถ้าผมเลือกที่จะอดทนอีกหน่อย หรือยอมปล่อยวางหรือเลิกอคติกับคำพูดนั้น ผมอาจจะได้เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ก็ได้ แต่ที่ผมเลือกออกเพราะชีวิตผมยังอีกยาวไกล
ส่วนใครที่คิดว่างานที่ทำงานมันตอบโจทย์กับทางบ้านและครอบครัวขอให้อดทนไม่ใจร้อนแบบผม เหนื่อยมากๆก็อยู่พัก มีแรงค่อยสู้ไหม บางครั้งความใจร้อนมันก็ทำให้ทุกอย่างพังจริงๆนะ เหมือนกันชีวิตผมในตอนนี้
เลยอยากเตือนเพื่อนๆให้มีสติ คิดให้ดีๆ ปัญหามันมีทางออกที่ดีเสมอ แค่ใจเย็นๆกับมัน
ปล.บทเรียนครั้งนี้ผมว่ามันคือที่สุดมากๆเลย ถึงจะเป็นการทำงานที่แรกหลังเรียนจบ มันช่วยให้ผมได้โตขึ้นเยอะเลย
ฝากเพื่อนๆ ใครที่มีทางเลือกก็ไม่ต้องทนเพราะเงินเดือนที่แค่ไหน สังคมแย่ๆ เพื่อนร่วมงานแย่ๆ อยู่ไปชีวิตก็แย่ลงด้วย
ส่วนใครที่ไม่มีทางเลือก อดทนเอาครับอดทนอย่างเดียว อย่าไปสู้กับระบบ เดียวสักวันมันก็ต้องเป็นวันของคุณ
สุดท้ายเรื่องที่ผมพิมพ์ทั้งหมดเป็นความจริงทุกประการ และขออโหสิกรรมซึ้งกันและกัน ขออย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย ไม่ว่าชาติไหนๆ