JJNY : ธิดาแนะทักษิณอย่ากลัวคุก│หนีข้าวถูกหันปลูกดาวเรือง ขาดทุนยับเยิน│สภาพัฒน์หั่นเป้าจีดีพีไทย│แฉ "รัสเซีย" เตรียมยิง

ธิดา แนะทักษิณอย่ากลัวคุก ไม่ลำบากเท่าเสื้อแดงหรอก ชี้ไม่ฟันคดีฮั้วส.ว. อาจเกิดวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5189284
.
.
‘ป้า ธิดา’ แนะ ‘ทักษิณ’ อย่ากลัวคุก หากรับโทษก็ไม่ลำบากเท่าเสื้อแดง ชี้หากคดีฮั้วเลือก ส.ว. ไม่ดำเนินการถึงที่สุดอาจเกิดวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ เปิดทางการทำรัฐประหารอีกครั้ง เตือน ‘กองทัพ’ อย่าทำ ประเทศจะไม่เหลือ ประเมินยุบสภาในเวลาใกล้คงยาก เชื่อความขัดแย้งของสองพรรคการเมืองจบได้ด้วยการเจรจาต่อรอง แนะถอยคนละก้าว
.
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ในประเด็นเกี่ยวกับบริบททางการเมือง โดยเฉพาะนิติสงครามของพรรคการเมืองขั้วเดียวกันว่า ขณะนี้ต้องถือว่าเป็นวิกฤติการเมืองของพรรคการเมือง แม้จะตั้งรัฐบาลร่วมกันแต่มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ และเรื่องที่สืบเนื่องมจากอดีตที่มีปัญหา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็มีประโยชน์ร่วมกันคือการเป็นรัฐบาล เชื่อว่าความสัมพันธ์ทางการเมืองอยู่ในลักษณะแบบตบจูบ ไปจนถึงช่วงเวลาใกล้ครบเทอมและมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะฉะนั้นโอกากาสที่จะยุบสภาอย่างรวดคงยาก และพรรครวมรัฐบาลต้องหาทางให้รัฐบาลอยู่ให้นานที่สุด ขณะเดียวกันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นการต่อรอง
.
ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เรียกว่าหนักอยู่ หรือหาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีปัญหากับขั้วฝั่งอนุรักษ์นิยม ความเป็นเอกภาพไม่มี และคนเกลียดนายทักษิณเยอะมาก เพราะฉะนั้นหมายความว่าแม้จะมีดีลแล้วก็ไม่จบ และคิดว่านายทักษิณมีปัญหา ตรงที่ว่าเมื่อดีลไม่จบ ต้องกลับมารับโทษ พูดจริงๆ นายทักษิณไม่ควรที่จะกลัวคุกมากจนเกินไป เพราะคนที่เคยร่วมต่อสู่มาในอดีตเข้าคุกกันมาแล้วทั้งนั้น หากนายทักษิณเข้าคุกก็ไม่ต้องยากลำบากเหมือนพวกเยาวชน อดีตแกนนำเสื้อแดง หรือคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ อยากฝากไปถึงนายทักษิณว่าสมมุติว่าจะต้องติดคุกอีก ทางที่ดีคือเข้าไปอยู่โรงพยาบาลสราชทัณฑ์ดีที่สุด อย่าไปกลัวเลย นี่คือจุดอ่อน” นางธิดากล่าว
.
นางธิดากล่าวต่อว่า ในทรรศนะของตนไม่ได้คิดว่านายทักษิณจะหนี เพราะเคยได้ยินมา คำพูดว่าจะไม่ยอมตายแบบ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกฯที่ต้องเสียชีวิตนอกประเทศ ดังนั้นเรื่องการต่อรองก็ต่อรอง และเรื่องของนายทักษิณก็คงพยายามจะแยกกับเรื่องของรัฐบาล แต่ไม่ง่ายเหมือนกับเรื่องเลือกฮั้ว ส.ว. เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องพรรคสีน้ำเงิน เรื่องฮั้ว ส.ว. กับประเด็นเสื้อแดง เรื่องนายทักษิณ มีความรุนแรงทั้งคู่ แต่ในกรณีของนายทักษิณในฐานะที่รู้จักกันมา มีคำแนะนำว่าให้เข้าคุกเหมือนกับคนอื่นดีที่สุด จะเป็นทางที่นายทักษิณไม่ต้องไปเสียชีวิตอยู่เมืองนอก และจะทำให้อยู่รอดได้
.
นางธิดากล่าวว่า ส่วนกรณีฮั้ว ส.ว.เป็นเรื่องที่คนในสังคมรับไม่ได้ จึงขอร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าเพื่อเอาคนผิดรับโทษให้ได้และอยากให้จบอย่างที่คนไทยทั้งประเทศอยากเห็น จึงขอส่งคำเตือนไปยังคณะกรรใมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าที่แล้วมามีความผิดพลาดเยอะ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องที่รุนแรงมาก เป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะฉะนั้นไม่ควรจะเสี่ยง ขอให้ดำเนินการคดีฮั้ว ส.ว.อย่างถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นประเทศจะไม่มีความหวัง ส่วนประเด็นพรรคเพื่อไทยแก้ไม่ได้ เพราะต้องการพิทักษ์นายทักษิณจนมากเกินไป ส่วนกรณีพรรคสีน้ำเงินเรื่อง ฮั้ว ส.ว.หากการดำเนินคดีไม่เป็นไปอย่างถึงที่สุด เชื่อว่าประเทศชาติจะถึงวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ เราไม่อยากให้มีการเปิดทางต้อนรับรัฐประหาร ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่งที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้
.
นางธิดายังกล่าวถึงเกมทางการเมืองที่ขั้วพรรคการเมืองต้องการตัดอำนาจทางการเมืองของคู่แข่ง โดยเฉพาะอำนาจของวุฒิสภาในการให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ ว่า เป็นการแบ่งผลประโยชน์ และต่อรองทางการเมือง แต่ในนามประชาชนไม่ว่าใครจะดำเนินการฮั้ว ส.ว.ไม่ว่าจะเป็นสีแดงและสีน้ำเงิน เรายอมรับไม่ได้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับพรรคการเมือง แต่เกี่ยวกับหลักการ เพราะการเลือก ส.ว.ครั้งนี้สะท้อนว่าหากทำเช่นนี้ได้หมายถึงคุณซื้อประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว ได้เงิน 500 ล้านบาท เพราะเป็นที่มาขององค์กรอิสระ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และหากเกิดรัฐประหารอีกครั้ง ประเทศไทยอาจจะอยู่ในภาวะยิ่งกว่า Fail stage หรือรัฐล้มเหลว ไม่มีทางที่จะกู้ประเทศขึ้นมาได้ จึงขออย่าให้มีเลย และขอเตือนไปยังกองทัพว่าอย่าทำรัฐประหาร ซึ่งหากมีการทำรัฐประหารอีกครั้งก็จะถือเป็นการทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และประเทศชาติจะไม่เหลืออะไร
.
จึงคิดว่ามาถึงจุดสำคัญเรื่องของผลประโยชน์ของทั้งสองพรรค ดิฉันไม่สนใจ เพราะประชาชนกำลังจับตาดูอยู่ แต่ที่สนใจคืออย่าสร้างวิกฤตการเมืองเพื่อที่จะทำให้เกิดความชอบธรรมของการทำรัฐประหารรอบใหม่ และเตือนพรรคการเมืองที่กำลังห้ำหั่นด้วยผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว ว่าต้องถอยคนละก้าว ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ไม่ใช่เอาผลประโยชย์เป็นหลัก และอย่าเดินทางที่ผิดมากกว่านี้” นางธิดากล่าว
.

.
ชาวนาอุทัยฯสุดช้ำ หนีข้าวถูกหันปลูกดาวเรือง เจอราคาต่ำ ดอกละ 10 สตางค์ ขาดทุนยับเยิน
https://www.matichon.co.th/region/news_5189221
.
ชาวนาอุทัยฯ สุดช้ำหนีข้าวถูก หันปลูกดาวเรือง เจอราคาดอกละ 10 สตางค์ ขาดทุนยับเยิน หวังหาหนทางใช้หนี้กลับได้หนี้มาแทน วอนรัฐช่วยดันราคาสินค้าเกษตร ชี้ปลูกขายไม่ได้ราคา แต่ของที่ต้องซื้อกลับแพงขึ้นทุกอย่าง
.
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ จังหวัด​อุทัยธานี​ ผู้​สื่อข่าว​ได้รับทราบความเดือดร้อน​ของเกษตรกรรายหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 1 บ้านหนองขุนทอง ตำบล​หนองนางนวล อำเภอ​หนองฉาง​ ได้เปิดเผยเรื่องราวสุดเศร้าใจของคนทำอาชีพเกษตรกร หลังหนีราคาข้าวที่ตกต่ำทำแล้วไม่คุ้มทุน หันมาปลูกดอกดาวเรืองส่งขาย หวังมีเงินใช้ลืมตาอ้าปาก​ แต่สุดท้ายไม่เป็นอย่างหวัง หลังราคาดาวเรืองรับซื้อต่ำสุดเพียงดอกละ 10 สตางค์​เท่านั้น รวมแล้ว 100 ดอก จะได้เงินแค่ 10 บาทเท่านั้น ทำให้ขาดทุนหนักซ้ำเติม​ ตัดสินใจยอมแพ้ไม่ขอสู้ทำต่อ ปล่อยดาวเรืองที่เหลือทิ้งยกสวน
.
โดย นางสำเริง อินทนู อายุ 50 ปี เล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนประกอบอาชีพทำนา แต่ด้วยราคาข้าวที่ถูกลงมากทำให้ไม่คุ้มทุน เลยตัดสินใจลองเปลี่ยนมาปลูกดอกดาวเรืองส่งขาย เพราะเห็นว่ามีเกษตรกรในหมู่บ้านหลายรายที่ปลูกแล้วได้เงินดี แต่สุดท้ายราคาดอกดาวเรืองกลับถูกยิ่งกว่าข้าว ตนได้ในเนื้อที่ 1 ไร่ ในการปลูกต้นดาวเรือง 10,000 ต้น ตั้งใจเพาะปลูก​ ใส่ปุ๋ย รดน้ำ ดูแลอย่างดี ซึ่งอายุเริ่มปลูกจนถึงออกดอก จะอยู่ที่ประมาณ 55-60 วัน พอถึงวันที่ดาวเรืองสามารถเก็บดอกส่งขายได้ รอบแรกเก็บส่งขายไปได้ที่ 6,000 ดอก แต่เงินค่าดาวเรืองที่ได้รับมานั้น ได้แค่เพียง 530 บาทเท่านั้น แต่ตนจ้างคนมาเก็บชั่วโมง​ละ 40 บาท จ่ายค่าแรงครั้งนั้นไป 660 บาท ยังไม่รวมค่าแรงตนเองด้วยซ้ำ
.
หลังจากนั้นราคาดอกดาวเรืองก็ต่ำลงมาเรื่อยๆ อย่าง ดอกดาวเรือง​ไซส์ใหญ่ จากเดิมที่เคยรับซื้อกันที่ดอกละ 1 บาท ตอนนี้เหลือแค่ดอกละ 25 สตางค์​ หรือ 100 ละ 25 บาทเท่านั้น และที่หนักสุดก็คือ ดอกดาวเรือง​ไซส์กลาง จากเดิมอยู่ที่ดอกละ 80 สตางค์​ ตอนนี้ลดลงมาเหลืออยู่แค่เพียงดอกละ 10 สตางค์​ รวมแล้ว 100 ดอก จะได้เงินแค่ 10 บาทเท่านั้น ตั้งแต่ปลูกมารวมๆแล้วได้ค่าดอกดาวเรืองคืนมาแค่ 5,000 บาท แต่ลงทุนไปเยอะมากๆ แค่ค่าต้นดาวเรืองก็ 10,000 บาทแล้ว รวมๆแล้วครั้งนี้น่าจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท
.
ตอนนี้เลยตัดสินใจไม่ขอสู้ต่อ ปล่อยทิ้งร้างไม่ดูแลเพิ่มแล้ว ทยอยเก็บดอกที่ยังพอเก็บขายได้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดแปลง หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อดี เพราะไม่มีเงินทุนแล้ว ตั้งใจหวังว่าจะปลูกดาวเรืองขายใช้หนี้กลับได้หนี้เพิ่มมาอีกก้อนแทน ตอนนี้เกษตรกรลำบากกันมาก ทำนาข้าวก็ถูก ปลูกอะไรขายก็ไม่ได้ราคาถูกกันทุกอย่าง แต่ข้าวของที่ซื้อกลับแพงขึ้นทุกอย่าง ซ้ำเงินข้าวช่วยชาวนา 10,000 บาท ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้ สงสัยรอบนี้น่าจะไม่ได้กันแล้ว อยากให้ทางรัฐบาลช่วยหนุนเรื่องราคาข้าวและราคาสินค้าให้สูงขึ้นกว่านี้ เพื่อให้เกษตรกร​ลืมตาอ้าปาก​กันได้บ้าง
.


.
พิษภาษีทรัมป์ สภาพัฒน์หั่นเป้าจีดีพีไทยปี 68 เหลือ 1.8% หลังไตรมาสแรกโต 3.1% รั้งท้ายอาเซียน
.
พิษภาษีทรัมป์ สภาพัฒน์หั่นเป้าจีดีพีไทยปี 68 เหลือโต 1.8% หลังไตรมาสแรกโต 3.1% รั้งท้ายอาเซียน
.
วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาสที่สี่ของปี 2567 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568ขยายตัวจากโตรมาสที่สีของปี 2567 ร้อยละ 0.7 โดยเศรษฐกิจในไตรมาสนี้มาจากด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและการลงทุนภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์สูง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลชะลอตัว ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง
.
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 - 2.3 (ค่ากลางการประมาณการอยู่ที่ร้อยละ 1.8) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของของการบริโภคภาคเอกชน ท่ามกลางอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง อย่างไรก็ดี การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งปียังมีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มชะอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก และผลกระทบจากการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ รวมทั้งความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคจะขยายตัวร้อยละ 2.4 และการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 0.7 ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ สรอ.ขยายตัวร้อยละ 1.8 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.0 - 1.0 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดลร้อยละ 2.5ของ GDP
.
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ที่เติบโต 3.1%  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำสุดใน 5 ประเทศชั้นนำของอาเซียน ดังนี้ เวียดนามเติบโต +6.9% อินโดนีเซียขยายตัว +4.8% มาเลเซียเพิ่มขึ้น +4.4% และสิงคโปร์ขยายตัว +3.8%
#ภาษีทรัมป์ #สภาพัฒน์ #ข่าววันนี้ #หนี้ครัวเรือน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #อาเซียน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่