เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐานพิจารณากาย

เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐานพิจารณากาย
โดยลุงหวีด บัวเผื่อน ตอน 3

จากนั้นจึงก้าวเข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน
คือการพิจารณากายที่ยาววา หนาคืบนี้
เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่า
กายนี้เป็นเรา จริงหรือไม่

พิจารณาตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
แม้ว่าการบังคับจิตให้ออกมาพิจารณานั้น
จะเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกนัก
เพราะจิตที่ติดอยู่ในสมาธิ
จะเพลินอยู่ในสมาธิ
ยากจะออกมาพิจารณา

จึงต้องบังคับจิตให้ออกมาทํางานทางด้านปัญญาบ้าง
โดยต้องฝืน และบังคับ
ซึ่งก็ไม่เป็นผลนักในตอนแรก
แต่ก็จําเป็นต้องออกมา
พิจารณาดังที่กล่าวมาแล้ว

โดยพิจารณาผม
ดูว่าเป็นของเราจริงหรือไม่
เราลองเอากรรไกรตัดผมของเราทิ้งไปเล็กน้อย
แล้วลองพิจารณาดู
ก็ไม่แตกต่างจากขนของสัตว์ทั่วไป

แล้วเราจะยังว่าเป็นผมของเราได้อย่างไรกัน?
เส้นขนตามร่างกายนี้ก็เช่นเดียวกัน
จะเห็นว่าเป็นของเราได้อย่างไร?

เล็บที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วทั้งสิบ
เมื่อเอากรรไกรตัดออก
มาวางไว้กับพื้น
ก็พิจารณาเช่นเดียวกับผมขนนั่นเอง

พิจารณาวนเวียนไป วนเวียนมา
ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเราไปได้

ฟันเมื่ออยู่ในปาก
ก็มองดูสวยงามดี
แต่ถ้าถอนออกมาแล้ว
เราจะรู้สึกขยะแขยง

สิ่งนี้จะถือว่าเป็นเรา มันไม่ถนัดนัก

หนังของคนเรา
ไม่ว่าหญิงหรือชาย ที่ว่าสวยงาม
แม้จะเป็นดารา นางสาวไทย หรือ นางงามจักรวาลก็ตาม
ถ้าไม่มีหนังบางๆ มาปกปิดเอาไว้
เราลองพิจารณาดู
ว่าจะมีความสวยความงามอยู่หรือไม่

หากเราลอกหนังที่ปิดบังอยู่นี้ออกมา
เพื่อเปิดเผยความจริง
เหมือนเราลอกหนังเป็ด หนังไก่ หรือหนังกบ
ก็คงจะเห็นเนื้อแดงๆ เลือดไหลซึม
ไม่แตกต่างอะไรกับพวกซากศพ หรือผีเปรต

ร่างกายนี้ มันไม่ได้มีการหมายตัวมันเอง
แต่เราไปหมายว่า
เป็นแขน เป็นขา เป็นตา
เป็นร่างกายของเรา

ร่างกายนี้แท้จริง
เกิดจากการรวมตัวกันของธาตุทั้งสี่
ดิน น้ำ ลม และไฟ เท่านั้น

มีความเปลี่ยนแปลง แปรปรวน
เสื่อมสภาพอยู่ตลอดเวลา
และจะแตกสลายกลับไปสู่ธาตุทั้ง ๔
ไปในวันใดวันหนึ่ง

ธาตุดิน
คือส่วนของแข็งที่เป็นอวัยวะต่างๆ เช่น
ผม ขน เล็บ ฟัน กระดูก เป็นต้น

ธาตุน้ำ
คือส่วนของเหลว เช่น
น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำตา น้ำเหลือง
น้ำหนอง น้ำไขข้อ น้ำย่อย

ธาตุลม
คือลมหายใจเข้าออก
ลมที่วิ่งอยู่ภายในร่างกาย

ธาตุไฟ
ได้แก่ ความร้อนภายในกาย
ไฟเผาผลาญอาหาร

ทุกชิ้นส่วน ทุกอวัยวะ
ล้วนเต็มไปด้วยเชื้อโรค
เป็นแหล่งของเชื้อโรคอย่างดี

มีความเป็นปฏิกูล สกปรก
ต้องชำระล้าง ทำความสะอาดอยู่เสมอ

สิ่งเหล่านี้ ล้วนไม่หมายตัวเอง
ไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
แต่มีความยึดมั่นถือมั่นในจิต
ที่ไปยึดร่างกาย
ยึดอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
ว่าเป็นเรา เป็นของเรา

ให้พิจารณาเห็นความจริงว่า
กายคือกาย
จิตคือจิต
ไม่ใช่อันเดียวกัน

แต่เป็นความไม่รู้ของจิตเอง
ที่ไม่รู้ความจริง
แล้วก็ไปยึดถือร่างกายว่าเป็นเรา

เมื่อเห็นดังนี้
ก็ยากที่เราจะเหมาว่ากายนี้เป็นเรา

พิจารณาไปนานขึ้นๆ
จิตใจจะค่อยๆ เห็นตามความเป็นจริง

สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้า
พิจารณาจนนับครั้งไม่ถ้วน
จนบางครั้ง จิตเห็นคนที่เดินไปเดินมานี้
เป็นกระดูกที่ไม่มีเนื้อหนังหุ้มอยู่
(เห็นในจิต)
เห็นเพียงกระดูกเปล่าๆ ที่เดินไปเดินมา

ร่างกายที่เห็นว่าเป็นเรา
เวลามีชีวิตอยู่
มักมีเวทนา บีบคั้นตลอดเวลา
แต่เมื่อจิตออกจากร่างกาย
เวลาเอาไปเผาไฟ
กลับไม่มีเวทนาร้องโอดครวญเลย

ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า
จิตกับกาย เป็นคนละส่วนกัน
ไม่ปะปนกัน
กายเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวของจิตเท่านั้น

จิตก็เริ่มยอมรับตามความเป็นจริง
มากขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือ การพิจารณากายของข้าพเจ้า
โดยสรุปย่อๆ

เพราะการพิจารณากายนี้
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่มีประมาณ
จึงเป็นการยากที่จะเขียนให้สมบูรณ์
ในหน้ากระดาษเพียงเล็กน้อยนี้

เพราะถ้าจะเขียนกันจริงๆ แล้ว
ก็ไม่รู้จะต้องเขียนกันอีกกี่หน้ากระดาษ
จึงต้องขอยุติเพียงนี้



คำว่า “วางขันธ์ ๕” นี้ ต้องเข้าใจว่า
ขันธ์ ๕ ทั้งหมดมันยังอยู่นะ

ทั้งรูปก็ยังอยู่
ทั้งเวทนาก็ยังอยู่
สัญญาก็ยังอยู่
สังขารก็ยังอยู่
วิญญาณก็ยังอยู่

แต่ว่ายังอยู่นั้น
อยู่แบบเราปล่อยวาง
อยู่แบบ “ปล่อย”

ก็คือ รู้ เข้าใจว่า
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่ใช่เจ้าของ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่