เล่าเรื่อง ชีวิต เด็กตจว.คนนึงที่สอบติดเข้ามาเรียนแพทย์ในเมือง กับชีวิตที่ไม่คาดฝันว่าจะเจอ

สวัสดีครับ กระทู้นี้จะมาเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวผมเองที่ใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ ตั้งแต่ตอนม.4 เริ่มจากการที่ใครๆก็บอกว่าถ้าเรียนเก่ง ต้องไปเป็นหมอ ไม่ก็วิศวะ (ในยุคผมนะ555) หลังจากนั้นก็เริ่มเข้ามาเรียนพิเศษในกรุงเทพช่วงส-อา และช่วงปิดเทอม พยายามมากๆ ถึงขั้นไม่ทีเวลาทานข้างกลางวันต้องไปทานในห้องน้ำ ได้ยินทั้งเสียงตด กลิ่นอุจจาระ ก็ต้องรีบทาน เพราะต้องไปเรียนพิเศษต่อให้ทัน(ต้องทำแบบนี้เพราะคนเยอะมากไม่มีที่ให้นั่งทานจริงๆ)
จนกระทั่งขึ้นม.6ก็ได้สอบเข้าแพทย์ ตอนเห็นคะแนนก็คิดว่าจะไม่ติดแล้ว เตรียมตัวซิ่ว แต่สุดท้ายก็โดนเรียกสัมภาษณ์ (ต้องขอบคุณคะแนนวิชาเคมีที่ตั้งใจเรียนมา555) จนสัมภาษณ์ก็ติดเข้ามา เข้ามาปี1ปรับตัวแทบไม่ได้เลย เล่าก่อนว่าตัวผมเริ่มแรกไม่ใช่เด็กตั้งใจเรียนพึ่งมาตั้งใจเรียนตอนม.1เพราะติด0 เลยอายมาก โดนล้อ ก็เลยเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตั้งใจเรียนแต่สังคมก็ยังเหมือนเดิม คบเพื่อนเหมือนเดิม คือเตะบอลทุกเย็น เพื่อนๆไม่มีใครชอบเรียน ผมเลยต่างจากเพื่อนตรงที่เป็นเด็กเล่นที่เรียนเก่งในระดับนึง ในสมัยผมเรียนมัธยมจะมีเทรนการแกล้งเด็กเรียนคือ ใครที่ตั้งใจเรียนมากๆจะถูกมองว่าอ่อนแอก็จะถูกแกล้ง ถูกฉีกหนังสือบ้าง ขโมบปากกาไม่ให้เขียนบ้าง เวลาผมจะอ่านหนังสือผมเลยต้องแอบเพื่อนไปห้องสมุด ไม่งั้นจะโดนกวนไม่ก็แกล้ง ผมเลยมีเพื่อน 2กลุ่ม กลุ่มเรียนที่ห้องสมุด กับกลุ่มเล่นที่ชอบเตะบอล จะไม่ได้ชอบเรียน  
   กลับมาที่ปี1 ทำให้เมื่อผมเข้ามาในมหาลัย ในความรู้สึกผมเพื่อนทุกคนจะมีความเป็นเด็กเรียนกว่าผม ไม่ได้ชอบกิจกรรมเยอะๆ หรือเตะบอลเหมือนผม
(ผมเจะบอลจริงจังนะไปแข่งตัวโรงเรียนเลย) จะมีก็กลุ่มน้อยที่ชอบเตะบอล ทำให้ในปี1ผมจึงไปเลือกคบเพื่อนที่ชอบเตะบอลเหมือนกันซึ่งเพื่อนส่วนใหญ่ เป็นคนในเมืองหมดเลย คบกันไปแรกๆก็ย้งไม่ได้อะไรมาก จนคบกันไปเรื่อยๆ ผมก็เรื่อมรู้สึกว่าเพื่อนในกลุ่ม เหยียดเรามากๆ แรกๆผมไม่ได้คิดอะไรเพราะคิดว่าแซวเล่นขำๆ แต่พอถูกเหยียดไปเรื่อยๆ ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ ถูกเหยียดว่าบ้านนอกบ้าง ดำบ้าง ถึงขั้นถูกแต่งเรื่องว่าพูดภาษากัมพูชากับที่บ้าน ซึ่งจริงๆผม พูดไม่เป็นและก็ใช้ภาษากลางคุยกับที่บ้าน แล้วพอเพื่อนกลุ่มนี้เหยียด กลุ่มอื่นๆก็เรื่มเหยียดตาม จากเพื่อนที่นั่งด้วยกันก็ลุกหนีออกไปนั่งที่อื่นขณะที่ถูกเหยียด ทำให้ผมรู้สึกด้อยค่ามาก จะคุยกับใครเรื่องนี้ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครอยากยุ่งกับเด็กตจว.แบบเรา จึงเป็นทุกใจมากผมจึงทนมาจนถึงปี2-ปี3
ผมรู้สึกว่ามันกระทบจิตใจมาก ทำให้ไม่มีแรงใจอ่านนส.รู้สึกไม่มีคุณค่า รู้สึกฝกด้อยค่าในสังคมจนจบปี3ต้องแยกย้ายไปขค้นชั้นคลีนิคของจังหวัดตัวเองจึงกดออกจากกลุ่มเพื่อนนี้มา และพยายามหายไปแบบเงียบ แต่สิ่งที่ผมรับมาตลอด3ปีก็ได้แสดงผล ผมเริ่มไม่มีกระจิตกระใจเรียน เบื่อโลก ท้อแท้ สุดท้ายก็ถูกวินิจฉัยว่า้ป็นโรคซึมเศร้า จึงได้ยามาทาน แต่ในช่วงที่จบปี3ขึ้นปี4ผมได้เริ่มคบกับแฟน เธอเป็นกำลังใจให้ผมมาโดยตลอด เธอเป็นเหตุผลให้ผมิยากมีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นเลย ผมอยากจะขอบคุณเธอมากจริงๆ  จนตอนนี้ผมได้เรียนจบชั้นปี6แล้วเหลือแค่สอบใบประกอบวิชาชีพขั้นตอนที่3 ก็จะได้จบเป็นหมอแล้ว

สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะบอกกับตัวเองว่าเก่งมากๆแล้วมี่ยังมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ได้ รักคนที่รักเรา ใส่ใจคนที่อยู่ข้างเราทำดีกับเขาเยอะๆ และต่อให้เจออะไรมาหนักหนาซักแค่ไหน ซักวันนึงมันจะผ่านไปและจะมีวันของเรา

ขอบคุณทุกคนนะครับที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ อ่านมาจนจบ ขอบคุณครับผมยิ้ม

                                                                        จาก นศพ. ที่จะพยายามให้ถึงที่สุดที่จะได้เป็นหมอ เพื่อเป็นหมอที่ดี มาดูแลคนที่เรารักและคนไข้ต่อไป ยิ้ม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
กินข้าวในห้องน้ำเวอร์ไปนะ ฟังเสียงอุจาระ เสียงตดไป คือมันไม่ได้ปะ

ถ้าไม่มีที่นั่งก็ถือยืนกินข้างนอกนั่นแหละ

มันดูเยอะจนไม่รู้อะไรจริงไม่จริง
ความคิดเห็นที่ 78
เรายุ่งแค่ไหนก็ไม่เคยกินข้าวในห้องน้ำ เพื่อนๆเราก็ด้วย คือถ้ายุ่งจนยุ่งกับคนไข้มากๆคือไม่กินเลย หรือเดินไปกินไปเอา เอาจากในห้องพักแพทย์พวกผลไม้ เช่น Apple หรือ พวก sandwiches ต่างๆ ที่โรงพยาบาลมีให้

ห้องน้ำมันสกปรกและแคบแถมกลิ่นและคนเดินเข้าเดินออก กินไม่ลงจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่