เรื่องย่อ
"El Camino: A Breaking Bad Movie" เป็นภาพยนตร์ภาคต่อของซีรีส์โทรทัศน์ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามอย่าง "Breaking Bad" ออกฉายในปี 2019 เขียนบท กำกับ และอำนวยการสร้างโดย Vince Gilligan ผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทสรุปของเรื่องราวของ เจสซี พิงค์แมน (Aaron Paul) ตัวละครขวัญใจแฟนๆ ต่อจากเหตุการณ์ในตอนจบของซีรีส์ทันที
หลังจากหลบหนีจากการถูกคุมขังและทรมานโดยแก๊งนีโอนาซีของ Jack Welker ในตอนจบที่น่าจดจำของ Breaking Bad เจสซี พิงค์แมน ผู้บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ก็ขับรถ Chevrolet El Camino สีเทาหนีออกมาสู่โลกภายนอกอย่างอิสระ แต่เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจกำลังตามล่าตัวอย่างหนัก
ภาพยนตร์ติดตามการเดินทางของเจสซีในการพยายามหลบหนีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ ทั้งการตามล่าของเจ้าหน้าที่ การติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าอย่าง Skinny Pete (Charles Baker) และ Badger (Matt Jones) รวมถึงการเผชิญหน้ากับอดีตอันโหดร้ายและบาดแผลทางจิตใจที่เขายังคงแบกรับ ผ่านการเล่าเรื่องที่สลับกับฉากย้อนอดีตที่เผยให้เห็นช่วงเวลาที่เจสซีถูกคุมขังและเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับซีรีส์หลัก เจสซีต้องหาทางรวบรวมเงินจำนวนมากเพื่อว่าจ้าง "นักจัดหาตัวตนใหม่" (รับบทโดย Robert Forster ในบทบาทสุดท้ายของเขา) เพื่อที่จะหายตัวไปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักเขา
ความรู้สึกหลังรับชม
สำหรับแฟนๆ ของ "Breaking Bad" ภาพยนตร์เรื่อง "El Camino" เป็นเหมือนของขวัญที่รอคอย บทสรุปของ เจสซี พิงค์แมน ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสมจริงและน่าเชื่อถือ Aaron Paul กลับมารับบทบาทนี้อีกครั้งได้อย่างไร้ที่ติ เขาถ่ายทอดความบอบช้ำทางจิตใจ ความหวาดกลัว และความมุ่งมั่นที่จะเป็นอิสระของเจสซีได้อย่างทรงพลัง การแสดงของเขายังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้เรื่องราวของเจสซีมีความน่าติดตามและเอาใจช่วย
ภาพยนตร์มีจังหวะการเล่าเรื่องที่เนิบนาบกว่าในซีรีส์บ้าง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของ Breaking Bad ทั้งภาพที่สวยงาม เพลงประกอบที่เข้ากับอารมณ์ และความตึงเครียดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฉากย้อนอดีตที่ใส่เข้ามาช่วยเติมเต็มเรื่องราวและทำให้เข้าใจถึงสภาพจิตใจของเจสซีได้ดียิ่งขึ้น การได้เห็นตัวละครเก่าๆ ที่คุ้นเคยกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งก็สร้างความรู้สึกคิดถึงและประทับใจให้กับแฟนๆ
"El Camino" ไม่ได้พยายามนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า Breaking Bad แต่เป็นการปิดเรื่องราวของเจสซีที่ค้างคาในใจผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นบทสรุปที่สมเหตุสมผลและคู่ควรกับตัวละครที่ต้องผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากมาย แม้ว่าสำหรับผู้ชมบางส่วนที่ไม่ได้เป็นแฟนซีรีส์ การดูภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่อินเท่าที่ควร แต่สำหรับผู้ที่ติดตามเรื่องราวของ Walter White และ Jesse Pinkman มาโดยตลอด "El Camino" คือสิ่งที่จำเป็นต้องดูเพื่อเติมเต็มช่องว่างและได้เห็นจุดจบของตัวละครที่พวกเขารัก
คะแนน IMDb และ Rotten Tomatoes ปัจจุบัน
IMDb: 7.3/10
Rotten Tomatoes: คะแนนจากนักวิจารณ์ 92% , คะแนนจากผู้ชม 88%
สรุป
"El Camino: A Breaking Bad Movie" คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องราวของ เจสซี พิงค์แมน เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแฟนๆ โดยเฉพาะ ด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Aaron Paul การกลับมาของตัวละครที่คุ้นเคย และการเล่าเรื่องที่ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศของ "Breaking Bad" ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบความรู้สึกปิดท้ายเรื่องราวที่น่าพอใจและเติมเต็มให้กับผู้ที่ติดตามมาตลอด แม้คะแนนจากผู้ชมบน IMDb อาจจะไม่ได้สูงเท่ากับซีรีส์ แต่คะแนนจากนักวิจารณ์ที่สูงบน Rotten Tomatoes ก็ยืนยันถึงคุณภาพในการเล่าเรื่องและการปิดฉากชีวิตของเจสซีได้อย่างน่าประทับใจ.
El Camino: A Breaking Bad Movie - เส้นทางสู่ อิสระ บทสรุปของ เจสซี พิงค์แมน
เรื่องย่อ
"El Camino: A Breaking Bad Movie" เป็นภาพยนตร์ภาคต่อของซีรีส์โทรทัศน์ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามอย่าง "Breaking Bad" ออกฉายในปี 2019 เขียนบท กำกับ และอำนวยการสร้างโดย Vince Gilligan ผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทสรุปของเรื่องราวของ เจสซี พิงค์แมน (Aaron Paul) ตัวละครขวัญใจแฟนๆ ต่อจากเหตุการณ์ในตอนจบของซีรีส์ทันที
หลังจากหลบหนีจากการถูกคุมขังและทรมานโดยแก๊งนีโอนาซีของ Jack Welker ในตอนจบที่น่าจดจำของ Breaking Bad เจสซี พิงค์แมน ผู้บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ก็ขับรถ Chevrolet El Camino สีเทาหนีออกมาสู่โลกภายนอกอย่างอิสระ แต่เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจกำลังตามล่าตัวอย่างหนัก
ภาพยนตร์ติดตามการเดินทางของเจสซีในการพยายามหลบหนีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆ ทั้งการตามล่าของเจ้าหน้าที่ การติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าอย่าง Skinny Pete (Charles Baker) และ Badger (Matt Jones) รวมถึงการเผชิญหน้ากับอดีตอันโหดร้ายและบาดแผลทางจิตใจที่เขายังคงแบกรับ ผ่านการเล่าเรื่องที่สลับกับฉากย้อนอดีตที่เผยให้เห็นช่วงเวลาที่เจสซีถูกคุมขังและเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับซีรีส์หลัก เจสซีต้องหาทางรวบรวมเงินจำนวนมากเพื่อว่าจ้าง "นักจัดหาตัวตนใหม่" (รับบทโดย Robert Forster ในบทบาทสุดท้ายของเขา) เพื่อที่จะหายตัวไปและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักเขา
ความรู้สึกหลังรับชม
สำหรับแฟนๆ ของ "Breaking Bad" ภาพยนตร์เรื่อง "El Camino" เป็นเหมือนของขวัญที่รอคอย บทสรุปของ เจสซี พิงค์แมน ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสมจริงและน่าเชื่อถือ Aaron Paul กลับมารับบทบาทนี้อีกครั้งได้อย่างไร้ที่ติ เขาถ่ายทอดความบอบช้ำทางจิตใจ ความหวาดกลัว และความมุ่งมั่นที่จะเป็นอิสระของเจสซีได้อย่างทรงพลัง การแสดงของเขายังคงเป็นจุดเด่นที่ทำให้เรื่องราวของเจสซีมีความน่าติดตามและเอาใจช่วย
ภาพยนตร์มีจังหวะการเล่าเรื่องที่เนิบนาบกว่าในซีรีส์บ้าง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของ Breaking Bad ทั้งภาพที่สวยงาม เพลงประกอบที่เข้ากับอารมณ์ และความตึงเครียดที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฉากย้อนอดีตที่ใส่เข้ามาช่วยเติมเต็มเรื่องราวและทำให้เข้าใจถึงสภาพจิตใจของเจสซีได้ดียิ่งขึ้น การได้เห็นตัวละครเก่าๆ ที่คุ้นเคยกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งก็สร้างความรู้สึกคิดถึงและประทับใจให้กับแฟนๆ
"El Camino" ไม่ได้พยายามนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า Breaking Bad แต่เป็นการปิดเรื่องราวของเจสซีที่ค้างคาในใจผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นบทสรุปที่สมเหตุสมผลและคู่ควรกับตัวละครที่ต้องผ่านพ้นความเจ็บปวดมามากมาย แม้ว่าสำหรับผู้ชมบางส่วนที่ไม่ได้เป็นแฟนซีรีส์ การดูภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่อินเท่าที่ควร แต่สำหรับผู้ที่ติดตามเรื่องราวของ Walter White และ Jesse Pinkman มาโดยตลอด "El Camino" คือสิ่งที่จำเป็นต้องดูเพื่อเติมเต็มช่องว่างและได้เห็นจุดจบของตัวละครที่พวกเขารัก
คะแนน IMDb และ Rotten Tomatoes ปัจจุบัน
IMDb: 7.3/10
Rotten Tomatoes: คะแนนจากนักวิจารณ์ 92% , คะแนนจากผู้ชม 88%
สรุป
"El Camino: A Breaking Bad Movie" คือบทสรุปที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องราวของ เจสซี พิงค์แมน เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแฟนๆ โดยเฉพาะ ด้วยการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Aaron Paul การกลับมาของตัวละครที่คุ้นเคย และการเล่าเรื่องที่ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศของ "Breaking Bad" ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบความรู้สึกปิดท้ายเรื่องราวที่น่าพอใจและเติมเต็มให้กับผู้ที่ติดตามมาตลอด แม้คะแนนจากผู้ชมบน IMDb อาจจะไม่ได้สูงเท่ากับซีรีส์ แต่คะแนนจากนักวิจารณ์ที่สูงบน Rotten Tomatoes ก็ยืนยันถึงคุณภาพในการเล่าเรื่องและการปิดฉากชีวิตของเจสซีได้อย่างน่าประทับใจ.