ความคิดไม่ต้องการให้สังคมแตกแยก ด้วยความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นปรัชญาไหมครับ?

กระทู้คำถาม
ปรัชญาทางการเมือง

"รีแบรนด์ระบบสุขภาพ = บิดเบือนประวัติศาสตร์?"

ในยุคที่การเมืองกลายเป็นการต่อสู้เรื่องภาพลักษณ์มากกว่านโยบาย สังคมไทยอาจต้องย้อนกลับมาทบทวนความเข้าใจที่ “ครบด้าน” เกี่ยวกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “30 บาทรักษาทุกโรค”

หลายปีมานี้ นโยบายดังกล่าวถูกหยิบยกมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในเชิงอวดอ้างความสำเร็จและโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่แท้จริงแล้ว ระบบนี้มีที่มาซับซ้อน และมีหลายฝ่ายมีบทบาทร่วมกัน:

ต้นทางเชิงกฎหมาย: จุดเริ่มต้นของการสร้างระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า วางอยู่บนฐานรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งผ่านในสมัยรัฐบาล “ต้มยำกุ้ง” และต่อยอดโดยการออก พ.ร.บ.องค์การมหาชน ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิด “สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ได้ในเวลาต่อมา

แนวคิดและการออกแบบระบบ: นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ มีบทบาทสำคัญในการออกแบบโครงสร้างระบบหลักประกันสุขภาพ พร้อมผลักดันแนวคิดนี้อย่างต่อเนื่องแม้ในวันที่ยังไม่มี “เจ้าภาพทางการเมือง”

การขับเคลื่อนระดับประเทศ: รัฐบาลไทยรักไทยเป็นผู้ที่นำระบบนี้มาผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในเชิงปฏิบัติ และได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างแพร่หลาย
ประเด็นจึงไม่ใช่ว่า “ใครเป็นเจ้าของนโยบาย” แต่คือ การยอมรับบทบาทที่แตกต่างของแต่ละฝ่ายตามช่วงเวลา

การให้เครดิตกับผู้วางรากฐาน ไม่ใช่การลดคุณค่าของผู้ลงมือทำ
การยอมรับความสำเร็จเชิงบริหาร ไม่ได้แปลว่าต้องลบเลือนประวัติศาสตร์ก่อนหน้า
และการ “รีแบรนด์” โดยเจตนาให้ลืมที่มาทางประวัติศาสตร์ กลับกลายเป็นการบิดเบือนความจริงที่ทำร้ายทั้งการเมืองและประชาชน

เราจึงควรพูดความจริงทั้งหมด – ไม่ใช่เพื่อให้ใครได้เครดิต แต่เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าความก้าวหน้าทางนโยบายสาธารณะ เกิดจากการทำงานของหลายภาคส่วน ไม่ใช่การอุปโลกน์ผลงานโดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งเท่านั้น

ในระบอบประชาธิปไตยที่มีสุขภาพดี ประวัติศาสตร์ไม่ควรถูก “แต่งหน้า” เพียงเพื่อคะแนนเสียง

ประเด็นนี้สามารถจัดอยู่ในขอบเขตของ ปรัชญาทางการเมือง (political philosophy) ได้ โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ:

1. ความยุติธรรมทางการเมือง (Political Justice)

การให้เครดิตกับผู้มีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะ เป็นเรื่องของ ความยุติธรรมในการยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์
หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบิดเบือนบทบาทตนหรือปฏิเสธบทบาทผู้อื่น อาจถือเป็นการ บิดเบือนความยุติธรรมในเชิงสัญลักษณ์ และ ทำลายความเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตย

2. อัตลักษณ์ของรัฐและความชอบธรรม (Legitimacy and Statecraft)

รัฐบาลที่อ้างความชอบธรรมจาก "ผลงานสาธารณะ" โดยไม่ยอมรับความร่วมมือเชิงโครงสร้างจากผู้อื่น กำลัง ทำให้แนวคิดเรื่องรัฐกลายเป็นของพรรคการเมือง แทนที่จะเป็นของประชาชน

นี่เป็นการตั้งคำถามต่อ ความชอบธรรม (legitimacy) ของรัฐ ในฐานะองค์กรกลางที่ควรยืนอยู่เหนือความขัดแย้งพรรคการเมือง

3. ความทรงจำร่วมของสาธารณะ (Collective Memory and Public Narrative)

การรีแบรนด์นโยบายหรือประวัติศาสตร์ โดยมีเจตนาแอบแฝงทางการเมือง เป็นการชี้นำ "การจดจำร่วม" (collective memory) ของประชาชน
แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับปรัชญาการเมืองเชิงวัฒนธรรม ที่ตั้งคำถามว่า "ใครมีอำนาจในการเล่าเรื่อง?" และ "ความจริงในสังคมถูกกำหนดโดยใคร?"

1. หลักการสูงสุด: เสรีภาพภายใต้กฎหมาย (มาตรา 29)

มาตรา 29 วางหลักว่า
“รัฐจะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไม่ได้ เว้นแต่ต้องมีกฎหมายตราโดยเฉพาะ และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น”
นัยสำคัญทางปรัชญาการเมือง:
สะท้อนหลัก Rule of Law และ ความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐ (Legitimacy)
กำหนดกรอบ ความชอบธรรมของรัฐ ว่าต้องไม่ใช้อำนาจเกินเลย และไม่เลือกปฏิบัติ
แนวคิดนี้คล้ายกับหลักคิดของ John Locke และ Montesquieu ว่าการใช้อำนาจรัฐต้องจำกัดเพื่อปกป้องเสรีภาพของปัจเจก


2. หลักประกันสิทธิในการเข้าถึงสาธารณสุข (มาตรา 52 และ 82)

สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขไม่ใช่ “สวัสดิการพิเศษ” แต่เป็น สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ที่ทุกคนพึงได้รับอย่างเท่าเทียม
โดยเฉพาะผู้ยากไร้ ซึ่งรัฐมีพันธะผูกพันต้องจัดให้ ฟรี ตามที่กฎหมายกำหนด
มุมมองทางปรัชญา:
นี่คือหลักแห่ง ความเป็นธรรมทางสังคม (Social Justice) ในแบบ Rawlsian ซึ่งให้รัฐมีบทบาทเชิงรุกในการลดความเหลื่อมล้ำ
ยังสะท้อนแนวคิดของ "Welfare State" หรือรัฐสวัสดิการที่ประชาชนมีสิทธิพื้นฐานทางสุขภาพไม่ต่างจากสิทธิเสรีภาพทางการเมือง


3. ความรับผิดของรัฐต่อความเสียหาย (มาตรา 62)

“บุคคลสามารถฟ้องร้องรัฐได้ หากได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ”
ความหมายเชิงปรัชญา:
ตอกย้ำหลัก accountability หรือ ความรับผิดของอำนาจ
รัฐไม่ใช่ “อภิสิทธิ์ชน” แต่เป็น “ผู้รับใช้ประชาชน” ที่ต้องถูกตรวจสอบและรับผิดเมื่อทำผิด
แนวคิดนี้เข้ากันได้กับแนวทางของนักคิดอย่าง Hannah Arendt หรือ Habermas ที่เน้นความโปร่งใสและความรับผิดชอบของรัฐในระบอบประชาธิปไตย


บทสรุปเชิงปรัชญาการเมือง

หากจะวิเคราะห์จากรัฐธรรมนูญไทย บทบัญญัติเหล่านี้ร่วมกันวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็น รัฐประชาธิปไตยที่มีความเป็นธรรมทางสังคม โดย:
คุ้มครองสิทธิเสรีภาพจากการล่วงละเมิดโดยรัฐ (มาตรา 29)
รับรองสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สุขภาพ (มาตรา 52, 82)
เปิดช่องให้ตรวจสอบรัฐผ่านกลไกกฎหมาย (มาตรา 62)
ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นคำถามกลับไปสู่ผู้มีอำนาจและประชาชนว่า:

"เราเคารพรัฐธรรมนูญในฐานะสัญญาทางการเมืองจริงหรือไม่ หรือแค่ใช้เมื่อสะดวก?"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่