ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนกฎกระทรวงฯ ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับ
การไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพนักเรียน
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ฟร.24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ.2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า กฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ.2518)ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515ซึ่งกำหนดว่า การแต่งกาย และความประพฤติดังต่อไปนี้ถือว่าไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียนนักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวดไว้เครานักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอหากทางโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ผมยาวเกินกว่านั้น ก็ไม่รวมให้เรียบร้อยนักเรียนใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวย นั้นมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับทรงผมและการใช้เครื่องสำอางของนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา กรณีถือได้ว่าเป็นกฎที่มีผลเป็นการจำกัด เสรีภาพในร่างกายของบุคคลผู้มีสถานะเป็นนักเรียนโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นฐานอำนาจในการออกฎกระทรวงดังกล่าวระบุเหตุผลว่าเพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาเป็นเยาวชนที่กำลังสร้างสมคุณสมบัติทั้งในด้านความรู้ความคิดและคุณธรรมพร้อมที่จะรับมรดกตกทอดจากผู้ใหญ่เป็นพลเมืองดีมีประโยชน์แก่ประเทศชาติในอนาคตนักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมดูแลใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครองและครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูอยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้ง อยูในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง
เมื่อต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ปรากฏหลักการและเหตุผลในการประกาศให้พระราชบัญญัตินี้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2515 กำหนดสาระสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสริมความประพฤติเด็ก ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันโดยมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่าการปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ มาตรา 26วรรคหนึ่ง(1)บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็กและกฎกระทรวงกำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงของเด็กหรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็กพ.ศ.2549 กำหนดว่าการกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กให้พิจารณาถึง (1) ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน(2)ความเหมาะสม ความต้องการและความจำเป็นของเด็ก...ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2515และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ.2518)ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ที่กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางระบุวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครูโดยกำหนดให้อยู่ในคำสั่งสอนและโอวาทของผู้ใหญ่และระเบียบประเพณีโดยมิได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยจากช่วงวัยเด็กเล็กอายุ 6-7ปี จึงถึงช่วงวัยรุ่นอายุ 13-16 ปีซึ่งมีสถานะนักเรียนที่อยู่ในบังคับของกฎกระทรวงดังกล่าวกรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯและกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงดึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศอันเป็นการขัดกับหลักการและบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 จึงต้องถือว่าเป็นกฎที่ถูกยกเลิกไปโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กพ.ศ.2546 เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดกับหลักการและบทบัญญัติมาตรา22 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว อีกทั้งตามมาตรา 64แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้กำหนดว่านักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาพ.ศ.2548 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2562 ซึ่งแม้จะมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนไว้อย่างเฉพาะเจาะจงแต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนไว้เป็นองค์ประกอบย่อยของข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งกายโดยพิจารณาให้สอดคล้องตามหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กและคำนึงถึงการพัฒนาอัตลักษณ์และบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามช่วงอายุของนักเรียนได้ประกอบกับเมื่อพิจารณาเนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาทซึ่งกำหนดลักษณะทรงผมของนักเรียนโดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยและความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลจึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุซึ่งกระทำมิได้ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวงฉบับที่ 2(พ.ศ.2518) ลงวันที่ 6มกราคม 2518 ออกตามความในประกาศของคณปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา
สำนักงานศาลปกครอง
5 มีนาคม 2568
ข้อคิด
1.โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ ไว้ผมยาวได้ ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนการสอน
2.นักเรียนควรมีเสรีภาพในการเลือกทรงผมที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะเบ้าหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน
3.ให้โรงเรียนกำหนดกฎเอง ก็จำกัดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน เมื่อระบบราชการยังไม่ทันสมัย ระบบความคิดก็ตามไม่ทัน
4.ความหลากหลายทางความคิด เริ่มจากความคิดพรุ่งนี้ตัดผมทรงไหนไปโรงเรียนดี
5. เมื่อเด็กโดนครอบงำความคิดทำให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงออก
6.ประเทศเราก็เลิกทาสมานานแล้ว เลิกบังคับได้แล้ว
7.ผู้ชายจะไว้ผมยาว(มัดให้เรียบร้อย ผู้หญิงตัดผมสั้น รองทรงสูง หรือรองทรงต่ำ ก็คือความหลากหลายในสังคม ในชีวิตจริง
เสรีภาพของทรงผมนักเรียน หลังมีคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุด
เมื่อต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ปรากฏหลักการและเหตุผลในการประกาศให้พระราชบัญญัตินี้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2515 กำหนดสาระสำคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพ และส่งเสริมความประพฤติเด็ก ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันโดยมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติว่าการปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ มาตรา 26วรรคหนึ่ง(1)บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็กและกฎกระทรวงกำหนดแนวทางการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงของเด็กหรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็กพ.ศ.2549 กำหนดว่าการกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กให้พิจารณาถึง (1) ลักษณะเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน(2)ความเหมาะสม ความต้องการและความจำเป็นของเด็ก...ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2515และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2(พ.ศ.2518)ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ที่กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนเกี่ยวกับการไว้ทรงผมและการใช้เครื่องสำอางระบุวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นพลเมืองดีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติการเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา การเป็นศิษย์ที่ดีของครูโดยกำหนดให้อยู่ในคำสั่งสอนและโอวาทของผู้ใหญ่และระเบียบประเพณีโดยมิได้คำนึงถึงสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและพัฒนาการของอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยจากช่วงวัยเด็กเล็กอายุ 6-7ปี จึงถึงช่วงวัยรุ่นอายุ 13-16 ปีซึ่งมีสถานะนักเรียนที่อยู่ในบังคับของกฎกระทรวงดังกล่าวกรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติฯและกฎกระทรวงที่พิพาท เป็นกฎที่คำนึงดึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและยังอาจมีการบังคับใช้กฎที่พิพาทนั้นอย่างเคร่งครัดจนมีผลร้ายต่อจิตใจของเด็กที่มีความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศอันเป็นการขัดกับหลักการและบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 จึงต้องถือว่าเป็นกฎที่ถูกยกเลิกไปโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กพ.ศ.2546 เนื่องจากมีเจตนารมณ์ที่ขัดกับหลักการและบทบัญญัติมาตรา22 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว อีกทั้งตามมาตรา 64แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้กำหนดว่านักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษาพ.ศ.2548 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2562 ซึ่งแม้จะมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนไว้อย่างเฉพาะเจาะจงแต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมนักเรียนไว้เป็นองค์ประกอบย่อยของข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งกายโดยพิจารณาให้สอดคล้องตามหลักการเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กและคำนึงถึงการพัฒนาอัตลักษณ์และบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามช่วงอายุของนักเรียนได้ประกอบกับเมื่อพิจารณาเนื้อหาของกฎกระทรวงฉบับที่พิพาทซึ่งกำหนดลักษณะทรงผมของนักเรียนโดยมิได้คำนึงถึงพัฒนาการของบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัยและความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลจึงมีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุซึ่งกระทำมิได้ตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติว่าการตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวงฉบับที่ 2(พ.ศ.2518) ลงวันที่ 6มกราคม 2518 ออกตามความในประกาศของคณปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา
สำนักงานศาลปกครอง
5 มีนาคม 2568
ข้อคิด
1.โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ ไว้ผมยาวได้ ไม่มีผลกระทบต่อการเรียนการสอน
2.นักเรียนควรมีเสรีภาพในการเลือกทรงผมที่เหมาะสมกับตัวเอง เพราะเบ้าหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน
3.ให้โรงเรียนกำหนดกฎเอง ก็จำกัดสิทธิเสรีภาพของนักเรียน เมื่อระบบราชการยังไม่ทันสมัย ระบบความคิดก็ตามไม่ทัน
4.ความหลากหลายทางความคิด เริ่มจากความคิดพรุ่งนี้ตัดผมทรงไหนไปโรงเรียนดี
5. เมื่อเด็กโดนครอบงำความคิดทำให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงออก
6.ประเทศเราก็เลิกทาสมานานแล้ว เลิกบังคับได้แล้ว
7.ผู้ชายจะไว้ผมยาว(มัดให้เรียบร้อย ผู้หญิงตัดผมสั้น รองทรงสูง หรือรองทรงต่ำ ก็คือความหลากหลายในสังคม ในชีวิตจริง