กระทู้พลีชีพครับ
สวัสดีครับ สืบเนื่องจากที่ผมพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับค่าส่วนต่างรถยนต์จากการคืนรถยนต์ให้กับไฟแนนซ์อยู่นานมาก จนมาเจอบางกระทู้ใน pantip อ่านเจอคอมเมนท์ ในเชิงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่าง เป็นหนี้ต้องใช้ เบี้ยวหนี้หรอ อย่าไปเชื่อทนายโซเชียล บลาๆๆ เล่นเอาผมใจเสียไปเลยครับ แต่ผมคิดว่า ลองดูซักตั้ง ลองปรึกษาทนายดู มันไม่เสียหายอะไร ดีกว่าเราไม่ได้สู้อะไรเลย เอาหล่ะเรื่องทั้งหมดที่ทำให้ผมต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอด สบายใจขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เริ่มจาก
ผมใช้ชีวิตกับอดีตแฟนมา 9 ปีเต็มครับ จากวันแรกที่มีเพียงกระเป๋าคนละใบเข้ากรุงเทพหลังเรียนจบ มาหางานทำ เริ่มจากห้องเช่าเล็กๆ มาเป็นคอนโด และซื้อบ้านในที่สุดทุกอย่างเป็นชื่อผมเพียงผู้เดียวในการเช่าซื้อ ระหว่าง9ปีที่อยู่ด้วยกันผมไม่เคยรับรู้เรื่องเครดิตของอดีตแฟนจนมาถึงวันที่เขาอยากเปลี่ยนรถยนต์ ซึ่งเขาบอกให้ผมเป็นผู้ค้ำ ส่วนเขาจะกู้หลัก (รถยนต์มือ2 ราคา 940,000 บาท รวมดอกเบี้ยแล้ว 1.18 ล้านบาท) ซึ่งผมก็โอเคคับ เพราะผมไม่ได้ผ่อนเอง ผมไม่ว่างต้องทำงานเลยฝากเอกสารกับทางอดีตแฟนไป ให้เขาดำเนินการ ผ่านไปอาทิตย์นิดๆ ทางเต็นท์ให้ไปรับรถได้เลย ซึ่งความจริงปรากฏวันนี้ครับ ว่าผมคือ เจ้าของรถ ส่วนอดีตแฟนนั้นไม่มีส่วนอะไรในรถคันนี้เนื่องจากเช็คบูโรแล้วไม่ผ่าน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นคิดว่าไม่มีอะไรมั้ง อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้แล้ว และเงินเดือนเขาสูงกว่าผม น่าจะผ่อนได้สบาย ทุกอย่างผ่านไปปกติจนวันนึงผมเริ่มจับได้ว่าเขามีอีกคน จนมีครั้งที่ 2 3 4 ตามมา ความอดทนของผมหมดลงเลยขอแยกทาง ซึ่งเขาก็ยินยอมนะครับ โดยตกลงกันว่า รถยนต์เขาจะเอาไปใช้และผ่อนปกติ ส่วนบัตรเครดิตผมที่เขาใช้ 3 ใบ ผมนำกลับมา และเขาก็จะจ่ายในส่วนที่เขาใช้ไป (ประมาณ 3.5แสน) ทุกอย่างผ่านไป 6 เดือน อยู่มาวันนึงเขานำรถคันนี้มาจอดทิ้งไว้หน้าบ้านครับ เลยโทรคุย เขาบอกว่าเขาไม่ส่งแล้ว เค้าจะใช้รถแฟนใหม่เขาซึ่งผ่อนหมดแล้ว เอ๊า!!! ผมนี่มืดเลยครับตอนนั้น พยายามขอร้อง พูดคุย ทั้งตัวเขาเองและครอบครัว (คุณพ่อคุณแม่เขา) ได้รับคำตอบว่าไม่รับผิดชอบ ชื่อใครก็เอาไปรับผิดชอบเอง ผมเหมือนโดนลากมายืนกลาง5แยกลาดพร้าวแล้วให้รถวิ่งทับเลยครับ มืดไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ต้องผ่อนบ้าน รถตัวเอง รถที่ออกให้เขา และบัตรเครดิตตัวเองที่เขาเอาไปใช้ รวมแล้วตกเดือนละ 5 หมื่น ผมเลยหาทางออกด้วยการติดต่อไปที่ไฟแนนซ์ ว่าขอทราบยอดค้างชำระกี่งวดแล้วเพราะในระหว่างที่เขาเอารถไปใช้ ไฟแนนซ์โทรทวงค่างวดกับผม ซึ่งหลังๆผมตั้งค่าโอนสายไปที่เบอร์อดีตแฟน ผมเลยไม่รู้ยอดค้าง สรุป ค้าง2งวด 555++ ผมเลยเริ่มประกาศขาย และ ประกาศหาคนรับเปลี่ยนสัญญา ปรากฏว่าไม่มีเลยครับ เพราะยอดคงเหลือมันสูง ยอดผ่อนต่อเดือน 17,000 เลยไม่มีใครรับได้ ผมเริ่มหาข้อมูลการคืนรถให้ไฟแนนซ์(ตอนนั้นปี63) เจอทนายท่านนึงลงคลิปไว้ เลยเลือกจะปรึกษาทนายและให้ทนายช่วยดำเนินการเขียนใบขอคืนรถยนต์ พร้อมนัดวันส่งมอบรถคืน ซึ่งก็ได้ผลนะครับทางไฟแนนซ์เดิม มารับรถตามจุดนัดหมาย ตรวจสภาพ และให้ผมเซ็นต์เอกสารรับผิดชอบค่าส่วนต่าง จะไม่เซ็นก็ได้ (ผมไม่ได้เซ็น) ผ่านไป 2 เดือน มีทางไฟแนนซ์แจ้งการขายทอดตลาดราคารถผ่านทางโทรศัพท์ได้ 458xxx บ. ให้ผมรับผิดชอบอีก 401xxx บาท ผมนี่หน้าชาเลยครับ ไม่รู้จัทำยังไง เลยบอกปัดไปว่าขอปรึกษาที่บ้านก่อน หลังจากนั้นผมไม่รับโทรศัพท์อีกเลย จนมีหนังสือทวงหนี้ส่งมาที่บ้านที่ กทม.เยอะอยู่ จากนั้นหายไป 2 ปี เห็นจะได้ครับ ผมได้รับ จม.จาก บ.รับซื้อหนี้เสียดัง ย่านราม ว่ารับซื้อหนี้ผมมาแล้ว และทวง ซึ่งคำพูดที่ พนง.ใช้ สุดแสนจะแย่เลยครับ ตามที่มีคนตั้งกระทู้เกี่ยวกับการทวงหนี้ บ.นี้จำนวนมาก ผมเลยตอบไปตรงๆเลยว่า ผมขอให้จบที่ศาลครับ แล้วเค้าก็โทรทวงผมทุกอาทิตย์ เป็นอย่างนี้อีกปีนึงเลยครับ ในระหว่างนี้ผมก็เริ่มหาข้อมูลว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ จนเจอทนาย(คนปัจจุบัน)ปรึกษากันผมเล่าทุกอย่างและถือเอกสารที่ผมมีทั้งหมดเข้าไปหาเลย ทนายแนะนำผมให้รอจนกว่าเขาจะฟ้อง ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น ต้นปี68 หมายมาเลยครับติดหน้าบ้านที่ ตจว.(ผมไม่ได่ย้ายทะเบียนบ้านมา กทม.) ศาลนัด 31 มี.ค. ผมเลยให้ทนายดำเนินการให้ทั้งหมด
ซึ่งลุ้นมากครับ ผมยอมรับได้หากต้องชำระ แต่ขอสู้ให้ถึงที่สุดก่อน ปรากฏว่าศาลตัดสินในวันนั้นเลยครับ ว่า “ยกฟ้อง” ซึ่งทนายต่อสู้ ให้คำให้การใน 3 ข้อ
(ถ้าอยากทราบหลังไมค์ได้ครับ) ผมโล่งมาก แม้จะเสียเครดิตไปแล้ว แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันสำคัญอะไรแล้ว
มาถึงตอนนี้ ผมอยากให้เรื่องของผมเป็นการยืนยันต่อสมาชิกที่ตอบในหลายๆกระทู้ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ โน่นนี่ บลาๆ ว่ามันเป็นไปได้ครับ ผมไม่ได้มีเจตนาว่าให้สมาชิกที่อ่านแล้วอยากคืนรถแล้วเอาไปคืนนะครับ ทุกอย่างมีเหตุและผล สำหรับสมาชิกท่านใดที่กำลังเจอสถานการณ์แบบเดียวกับผมอยู่
ได้เห็นว่า ทุกปัญหา มันมีทางออกเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสู้กับมันหรือไม่ สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องยอมรับมัน
หลังจากนี้ผมไม่รู้ว่าทางโจทก์จะยังฟ้องผมต่ออีกหรือไม่อย่างไรแต่ยังไงก็สู้ต่อครับศาลว่าไงผมว่างั้น
สุดท้ายครับ ผมอยากให้เรื่องของผม เป็นตัวอย่างให้สมาชิกฉุกคิดซักนิดก่อนทำธุรกรรมอะไรไปครับ
ปล.ตอนนี้ยังหาเงินใช้หนี้บัตรที่เค้าทำไว้อยู่ สู้เท่านั้น

ยกฟ้องค่าส่วนต่างราคารถยนต์ (ให้กำลังใจสมาชิกที่กำลังเจอเรื่องนี้อยู่นะครับ)
สวัสดีครับ สืบเนื่องจากที่ผมพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับค่าส่วนต่างรถยนต์จากการคืนรถยนต์ให้กับไฟแนนซ์อยู่นานมาก จนมาเจอบางกระทู้ใน pantip อ่านเจอคอมเมนท์ ในเชิงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ต้องรับผิดชอบค่าส่วนต่าง เป็นหนี้ต้องใช้ เบี้ยวหนี้หรอ อย่าไปเชื่อทนายโซเชียล บลาๆๆ เล่นเอาผมใจเสียไปเลยครับ แต่ผมคิดว่า ลองดูซักตั้ง ลองปรึกษาทนายดู มันไม่เสียหายอะไร ดีกว่าเราไม่ได้สู้อะไรเลย เอาหล่ะเรื่องทั้งหมดที่ทำให้ผมต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอด สบายใจขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เริ่มจาก
ผมใช้ชีวิตกับอดีตแฟนมา 9 ปีเต็มครับ จากวันแรกที่มีเพียงกระเป๋าคนละใบเข้ากรุงเทพหลังเรียนจบ มาหางานทำ เริ่มจากห้องเช่าเล็กๆ มาเป็นคอนโด และซื้อบ้านในที่สุดทุกอย่างเป็นชื่อผมเพียงผู้เดียวในการเช่าซื้อ ระหว่าง9ปีที่อยู่ด้วยกันผมไม่เคยรับรู้เรื่องเครดิตของอดีตแฟนจนมาถึงวันที่เขาอยากเปลี่ยนรถยนต์ ซึ่งเขาบอกให้ผมเป็นผู้ค้ำ ส่วนเขาจะกู้หลัก (รถยนต์มือ2 ราคา 940,000 บาท รวมดอกเบี้ยแล้ว 1.18 ล้านบาท) ซึ่งผมก็โอเคคับ เพราะผมไม่ได้ผ่อนเอง ผมไม่ว่างต้องทำงานเลยฝากเอกสารกับทางอดีตแฟนไป ให้เขาดำเนินการ ผ่านไปอาทิตย์นิดๆ ทางเต็นท์ให้ไปรับรถได้เลย ซึ่งความจริงปรากฏวันนี้ครับ ว่าผมคือ เจ้าของรถ ส่วนอดีตแฟนนั้นไม่มีส่วนอะไรในรถคันนี้เนื่องจากเช็คบูโรแล้วไม่ผ่าน แต่ด้วยความที่ตอนนั้นคิดว่าไม่มีอะไรมั้ง อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้แล้ว และเงินเดือนเขาสูงกว่าผม น่าจะผ่อนได้สบาย ทุกอย่างผ่านไปปกติจนวันนึงผมเริ่มจับได้ว่าเขามีอีกคน จนมีครั้งที่ 2 3 4 ตามมา ความอดทนของผมหมดลงเลยขอแยกทาง ซึ่งเขาก็ยินยอมนะครับ โดยตกลงกันว่า รถยนต์เขาจะเอาไปใช้และผ่อนปกติ ส่วนบัตรเครดิตผมที่เขาใช้ 3 ใบ ผมนำกลับมา และเขาก็จะจ่ายในส่วนที่เขาใช้ไป (ประมาณ 3.5แสน) ทุกอย่างผ่านไป 6 เดือน อยู่มาวันนึงเขานำรถคันนี้มาจอดทิ้งไว้หน้าบ้านครับ เลยโทรคุย เขาบอกว่าเขาไม่ส่งแล้ว เค้าจะใช้รถแฟนใหม่เขาซึ่งผ่อนหมดแล้ว เอ๊า!!! ผมนี่มืดเลยครับตอนนั้น พยายามขอร้อง พูดคุย ทั้งตัวเขาเองและครอบครัว (คุณพ่อคุณแม่เขา) ได้รับคำตอบว่าไม่รับผิดชอบ ชื่อใครก็เอาไปรับผิดชอบเอง ผมเหมือนโดนลากมายืนกลาง5แยกลาดพร้าวแล้วให้รถวิ่งทับเลยครับ มืดไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ต้องผ่อนบ้าน รถตัวเอง รถที่ออกให้เขา และบัตรเครดิตตัวเองที่เขาเอาไปใช้ รวมแล้วตกเดือนละ 5 หมื่น ผมเลยหาทางออกด้วยการติดต่อไปที่ไฟแนนซ์ ว่าขอทราบยอดค้างชำระกี่งวดแล้วเพราะในระหว่างที่เขาเอารถไปใช้ ไฟแนนซ์โทรทวงค่างวดกับผม ซึ่งหลังๆผมตั้งค่าโอนสายไปที่เบอร์อดีตแฟน ผมเลยไม่รู้ยอดค้าง สรุป ค้าง2งวด 555++ ผมเลยเริ่มประกาศขาย และ ประกาศหาคนรับเปลี่ยนสัญญา ปรากฏว่าไม่มีเลยครับ เพราะยอดคงเหลือมันสูง ยอดผ่อนต่อเดือน 17,000 เลยไม่มีใครรับได้ ผมเริ่มหาข้อมูลการคืนรถให้ไฟแนนซ์(ตอนนั้นปี63) เจอทนายท่านนึงลงคลิปไว้ เลยเลือกจะปรึกษาทนายและให้ทนายช่วยดำเนินการเขียนใบขอคืนรถยนต์ พร้อมนัดวันส่งมอบรถคืน ซึ่งก็ได้ผลนะครับทางไฟแนนซ์เดิม มารับรถตามจุดนัดหมาย ตรวจสภาพ และให้ผมเซ็นต์เอกสารรับผิดชอบค่าส่วนต่าง จะไม่เซ็นก็ได้ (ผมไม่ได้เซ็น) ผ่านไป 2 เดือน มีทางไฟแนนซ์แจ้งการขายทอดตลาดราคารถผ่านทางโทรศัพท์ได้ 458xxx บ. ให้ผมรับผิดชอบอีก 401xxx บาท ผมนี่หน้าชาเลยครับ ไม่รู้จัทำยังไง เลยบอกปัดไปว่าขอปรึกษาที่บ้านก่อน หลังจากนั้นผมไม่รับโทรศัพท์อีกเลย จนมีหนังสือทวงหนี้ส่งมาที่บ้านที่ กทม.เยอะอยู่ จากนั้นหายไป 2 ปี เห็นจะได้ครับ ผมได้รับ จม.จาก บ.รับซื้อหนี้เสียดัง ย่านราม ว่ารับซื้อหนี้ผมมาแล้ว และทวง ซึ่งคำพูดที่ พนง.ใช้ สุดแสนจะแย่เลยครับ ตามที่มีคนตั้งกระทู้เกี่ยวกับการทวงหนี้ บ.นี้จำนวนมาก ผมเลยตอบไปตรงๆเลยว่า ผมขอให้จบที่ศาลครับ แล้วเค้าก็โทรทวงผมทุกอาทิตย์ เป็นอย่างนี้อีกปีนึงเลยครับ ในระหว่างนี้ผมก็เริ่มหาข้อมูลว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ จนเจอทนาย(คนปัจจุบัน)ปรึกษากันผมเล่าทุกอย่างและถือเอกสารที่ผมมีทั้งหมดเข้าไปหาเลย ทนายแนะนำผมให้รอจนกว่าเขาจะฟ้อง ไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น ต้นปี68 หมายมาเลยครับติดหน้าบ้านที่ ตจว.(ผมไม่ได่ย้ายทะเบียนบ้านมา กทม.) ศาลนัด 31 มี.ค. ผมเลยให้ทนายดำเนินการให้ทั้งหมด
ซึ่งลุ้นมากครับ ผมยอมรับได้หากต้องชำระ แต่ขอสู้ให้ถึงที่สุดก่อน ปรากฏว่าศาลตัดสินในวันนั้นเลยครับ ว่า “ยกฟ้อง” ซึ่งทนายต่อสู้ ให้คำให้การใน 3 ข้อ
(ถ้าอยากทราบหลังไมค์ได้ครับ) ผมโล่งมาก แม้จะเสียเครดิตไปแล้ว แต่ผมไม่ได้คิดว่ามันสำคัญอะไรแล้ว
มาถึงตอนนี้ ผมอยากให้เรื่องของผมเป็นการยืนยันต่อสมาชิกที่ตอบในหลายๆกระทู้ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ โน่นนี่ บลาๆ ว่ามันเป็นไปได้ครับ ผมไม่ได้มีเจตนาว่าให้สมาชิกที่อ่านแล้วอยากคืนรถแล้วเอาไปคืนนะครับ ทุกอย่างมีเหตุและผล สำหรับสมาชิกท่านใดที่กำลังเจอสถานการณ์แบบเดียวกับผมอยู่
ได้เห็นว่า ทุกปัญหา มันมีทางออกเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสู้กับมันหรือไม่ สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องยอมรับมัน
หลังจากนี้ผมไม่รู้ว่าทางโจทก์จะยังฟ้องผมต่ออีกหรือไม่อย่างไรแต่ยังไงก็สู้ต่อครับศาลว่าไงผมว่างั้น
สุดท้ายครับ ผมอยากให้เรื่องของผม เป็นตัวอย่างให้สมาชิกฉุกคิดซักนิดก่อนทำธุรกรรมอะไรไปครับ
ปล.ตอนนี้ยังหาเงินใช้หนี้บัตรที่เค้าทำไว้อยู่ สู้เท่านั้น