เกาหลีใต้พัฒนาเครื่องบินโจมตีเบา FA-50 รุ่นใหม่เพื่อให้เทียบเคียงได้กับเครื่องบิน F- 16
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2025 มีความคืบหน้าครั้งสำคัญในการพัฒนาเครื่องบินโจมตีเบา FA-50 รุ่นที่นั่งเดียวของเกาหลีใต้ โดย Korea Aerospace Industries (KAI) ได้ประกาศเชิญชวนผู้สนใจร่วมเสนอราคาสร้างห้องนักบินจำลองเฉพาะสำหรับรุ่นนี้ เครื่องจำลองดังกล่าวจะใช้ประเมินประสิทธิภาพการควบคุมของเครื่องบินแบบที่นั่งเดียว ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นขั้นตอนทางเทคนิคของโครงการ F-50 ที่กลับมาเดินหน้าต่อในปี 2024 หลังจากหยุดพักชั่วคราวเพื่อให้ทรัพยากรแก่โครงการ KF-21 Boramae เครื่องจำลองนี้จึงเป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาระบบควบคุมและการออกแบบที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยโครงการนี้จะดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลา 22 เดือน ตั้งแต่พฤษภาคม 2025 จนถึงกุมภาพันธ์ 2027
ในเอกสารเชิญชวนเข้าร่วมโครงการที่ได้รับการแปลอย่างเป็นทางการ ได้ระบุว่าโครงการนี้คือการ “ผลิตห้องนักบินจำลองเพื่อประเมินความสามารถในการควบคุมของ FA-50 ที่นั่งเดียว” โดยขอบเขตงานครอบคลุมทั้งการออกแบบ ผลิต ติดตั้ง และสนับสนุนการใช้งานระบบจำลองนี้ โดยมีเงื่อนไขเข้มงวดสำหรับผู้เสนอราคา เช่น ห้ามมีประวัติการล้มละลาย ถูกลงโทษทางกฎหมาย หรือมีคำสั่งให้ชำระภาษีค้างชำระ นอกจากนี้ ยังต้องไม่มีปัญหาด้านสถานะทางการเงิน เช่น ทุนติดลบ อัตราส่วนหนี้สินเกิน 500% และหากเป็นบริษัทที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีภายนอก ต้องไม่มีความเห็นเชิงลบหรือข้อสงวนที่ร้ายแรงในรายงาน
ผู้ที่สนใจจะต้องยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงภายในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 17 มีนาคม 2025 พร้อมแนบเอกสารสำคัญ เช่น งบการเงิน ผลสอบถามเครดิต โปรไฟล์บริษัท และใบรับรองการเสียภาษี กระบวนการส่งทั้งหมดต้องดำเนินการทางอีเมล โดยติดต่อผู้จัดการโครงการ คุณ Woohyuk Choi หากมีผู้เข้าร่วมน้อยกว่าสองราย KAI อาจเปิดประมูลใหม่ และหากยังคงมีเพียงรายเดียว KAI มีสิทธิ์ดำเนินการเจรจาสัญญาแบบเฉพาะกิจ โดยเฉพาะองค์กรที่แสดงความประสงค์เท่านั้นที่จะได้รับเชิญเข้าร่วมการชี้แจงและส่งข้อเสนอฉบับเต็ม ทั้งนี้ เอกสารทั้งหมดที่ส่งมาจะไม่ถูกส่งคืน
โครงการ F-50 ถือเป็นความพยายามล่าสุดของเกาหลีใต้ในการขยายศักยภาพของ FA-50 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของประเทศ การออกแบบใหม่จะตัดห้องนักบินที่สองออกและติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 300 แกลลอนเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มระยะปฏิบัติการของเครื่องบินได้ถึง 20–30% จากเดิมที่ทำได้ 443 กิโลเมตร (239 ไมล์ทะเล) ขณะที่ยังคงสมรรถนะในระดับประมาณ 80% ของ F-16 แต่ประหยัดต้นทุนด้านการจัดหาและบำรุงรักษา โดยโครงการคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2028
FA-50 มีพื้นฐานมาจากเครื่องบินฝึก T-50 Golden Eagle ซึ่งพัฒนาโดย KAI ร่วมกับ Lockheed Martin ตั้งแต่ปลายยุค 1990 โดยมีเป้าหมายเพื่อทดแทนเครื่องบินฝึกรุ่นเก่า และเตรียมนักบินให้พร้อมขึ้นบินกับ KF-16 และ F-15K เครื่องบินต้นแบบ T-50 ทำการบินครั้งแรกในปี 2002 และเริ่มใช้งานจริงในปี 2005 FA-50 รุ่นปรับปรุงที่ตามมา ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ 70% จากกระทรวงกลาโหม โดยที่ KAI และ Lockheed Martin สนับสนุนในสัดส่วน 17% และ 13% ตามลำดับ
FA-50 ใช้เครื่องยนต์ F404-102 จาก General Electric ที่ผลิตในประเทศโดย Samsung Techwin พร้อมระบบควบคุมเครื่องยนต์ดิจิทัล (FADEC) ตัวเครื่องบินถูกออกแบบให้ใช้งานได้นานถึง 8,000 ชั่วโมง พร้อมถังเชื้อเพลิงภายใน 7 ถัง รวมความจุ 2,655 ลิตร และถังภายนอกอีก 1,710 ลิตร เครื่องสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง Mach 1.5 และบินได้ที่ความสูงกว่า 14,000 เมตร ห้องนักบินคู่ใช้หลังคาอะคริลิกที่ออกแบบโดย Hankuk Fiber ผ่านการทดสอบต้านกระสุน และติดตั้งระบบควบคุมแบบ fly-by-wire รวมถึงซอฟต์แวร์เอวิโอนิกส์เรียลไทม์ที่พัฒนาโดย MDS Technology
ผู้ผลิตในประเทศหลายรายมีบทบาทในระบบของ FA-50 เช่น Samsung Thales, LIG Nex1, DoDAAM Systems และ Intellics โดยรับผิดชอบอุปกรณ์ตั้งแต่เรดาร์จนถึงระบบวิเคราะห์ข้อมูล FA-50 Block 10 ใช้เรดาร์ Elta EL/M-2032 ขณะที่ Block 20 จะติดตั้ง PhantomStrike AESA ของ Raytheon หรือ ESR-500A ของ LIG Nex1 เพิ่มขีดความสามารถในการยิง การระบุเป้าหมาย และรองรับระบบเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ
อาวุธของ FA-50 ครอบคลุมตั้งแต่ปืนใหญ่ M197 ขนาด 20 มม. ไปจนถึงขีปนาวุธและระเบิดนำวิถีต่างๆ เช่น AIM-9X, AMRAAM, Maverick, JDAM, GBU-12 และ Cheonryong รุ่น Block 20 จะเพิ่มอาวุธชั้นสูงอย่าง Meteor, Brimstone, SPEAR 3 และหัววัดเติมเชื้อเพลิงแบบยืดหดของ Cobham เข้าไปด้วย
FA-50 ยังถูกพัฒนาในหลายรุ่นสำหรับต่างประเทศ ได้แก่ FA-50PH (ฟิลิปปินส์), FA-50IQ (อิรัก), FA-50M (มาเลเซีย), FA-50PL (โปแลนด์) และ FA-50TH (ไทย) โดยรุ่น Block 10 เน้นการปรับซอฟต์แวร์ และ Block 20 ยกระดับด้านเทคโนโลยีรอบด้าน KAI ยังมีแผนเสนอ F-50 ที่นั่งเดียว และ TF-50 สำหรับการฝึกของกองทัพสหรัฐฯ ด้วย
จนถึงปัจจุบัน กองทัพอากาศเกาหลีใต้มี FA-50 ใช้งาน 60 ลำ ขณะที่ฟิลิปปินส์ อิรัก อินโดนีเซีย ไทย และโปแลนด์ได้จัดหาไปแล้วในจำนวนต่างๆ เช่น โปแลนด์สั่งซื้อถึง 48 ลำในปี 2022 และมาเลเซียลงนามสัญญาซื้อ 18 ลำในปี 2023 พร้อมตัวเลือกอีก 18 ลำ นอกจากนี้ยังมีความสนใจจากประเทศต่างๆ เช่น อียิปต์ เวียดนาม เปรู และโคลอมเบีย แม้บางประเทศอย่างอาร์เจนตินาและไต้หวันจะยังไม่เดินหน้าโครงการเนื่องจากข้อจำกัดบางประการ
🔴 เกาหลีใต้พัฒนาเครื่องบินโจมตีเบา FA-50 รุ่นใหม่เพื่อให้เทียบเคียงได้กับเครื่องบิน F- 16
ในเอกสารเชิญชวนเข้าร่วมโครงการที่ได้รับการแปลอย่างเป็นทางการ ได้ระบุว่าโครงการนี้คือการ “ผลิตห้องนักบินจำลองเพื่อประเมินความสามารถในการควบคุมของ FA-50 ที่นั่งเดียว” โดยขอบเขตงานครอบคลุมทั้งการออกแบบ ผลิต ติดตั้ง และสนับสนุนการใช้งานระบบจำลองนี้ โดยมีเงื่อนไขเข้มงวดสำหรับผู้เสนอราคา เช่น ห้ามมีประวัติการล้มละลาย ถูกลงโทษทางกฎหมาย หรือมีคำสั่งให้ชำระภาษีค้างชำระ นอกจากนี้ ยังต้องไม่มีปัญหาด้านสถานะทางการเงิน เช่น ทุนติดลบ อัตราส่วนหนี้สินเกิน 500% และหากเป็นบริษัทที่ผ่านการตรวจสอบบัญชีภายนอก ต้องไม่มีความเห็นเชิงลบหรือข้อสงวนที่ร้ายแรงในรายงาน
ผู้ที่สนใจจะต้องยื่นจดหมายแสดงเจตจำนงภายในเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 17 มีนาคม 2025 พร้อมแนบเอกสารสำคัญ เช่น งบการเงิน ผลสอบถามเครดิต โปรไฟล์บริษัท และใบรับรองการเสียภาษี กระบวนการส่งทั้งหมดต้องดำเนินการทางอีเมล โดยติดต่อผู้จัดการโครงการ คุณ Woohyuk Choi หากมีผู้เข้าร่วมน้อยกว่าสองราย KAI อาจเปิดประมูลใหม่ และหากยังคงมีเพียงรายเดียว KAI มีสิทธิ์ดำเนินการเจรจาสัญญาแบบเฉพาะกิจ โดยเฉพาะองค์กรที่แสดงความประสงค์เท่านั้นที่จะได้รับเชิญเข้าร่วมการชี้แจงและส่งข้อเสนอฉบับเต็ม ทั้งนี้ เอกสารทั้งหมดที่ส่งมาจะไม่ถูกส่งคืน
โครงการ F-50 ถือเป็นความพยายามล่าสุดของเกาหลีใต้ในการขยายศักยภาพของ FA-50 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของประเทศ การออกแบบใหม่จะตัดห้องนักบินที่สองออกและติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาด 300 แกลลอนเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มระยะปฏิบัติการของเครื่องบินได้ถึง 20–30% จากเดิมที่ทำได้ 443 กิโลเมตร (239 ไมล์ทะเล) ขณะที่ยังคงสมรรถนะในระดับประมาณ 80% ของ F-16 แต่ประหยัดต้นทุนด้านการจัดหาและบำรุงรักษา โดยโครงการคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2028
FA-50 มีพื้นฐานมาจากเครื่องบินฝึก T-50 Golden Eagle ซึ่งพัฒนาโดย KAI ร่วมกับ Lockheed Martin ตั้งแต่ปลายยุค 1990 โดยมีเป้าหมายเพื่อทดแทนเครื่องบินฝึกรุ่นเก่า และเตรียมนักบินให้พร้อมขึ้นบินกับ KF-16 และ F-15K เครื่องบินต้นแบบ T-50 ทำการบินครั้งแรกในปี 2002 และเริ่มใช้งานจริงในปี 2005 FA-50 รุ่นปรับปรุงที่ตามมา ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ 70% จากกระทรวงกลาโหม โดยที่ KAI และ Lockheed Martin สนับสนุนในสัดส่วน 17% และ 13% ตามลำดับ
ผู้ผลิตในประเทศหลายรายมีบทบาทในระบบของ FA-50 เช่น Samsung Thales, LIG Nex1, DoDAAM Systems และ Intellics โดยรับผิดชอบอุปกรณ์ตั้งแต่เรดาร์จนถึงระบบวิเคราะห์ข้อมูล FA-50 Block 10 ใช้เรดาร์ Elta EL/M-2032 ขณะที่ Block 20 จะติดตั้ง PhantomStrike AESA ของ Raytheon หรือ ESR-500A ของ LIG Nex1 เพิ่มขีดความสามารถในการยิง การระบุเป้าหมาย และรองรับระบบเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ
อาวุธของ FA-50 ครอบคลุมตั้งแต่ปืนใหญ่ M197 ขนาด 20 มม. ไปจนถึงขีปนาวุธและระเบิดนำวิถีต่างๆ เช่น AIM-9X, AMRAAM, Maverick, JDAM, GBU-12 และ Cheonryong รุ่น Block 20 จะเพิ่มอาวุธชั้นสูงอย่าง Meteor, Brimstone, SPEAR 3 และหัววัดเติมเชื้อเพลิงแบบยืดหดของ Cobham เข้าไปด้วย
FA-50 ยังถูกพัฒนาในหลายรุ่นสำหรับต่างประเทศ ได้แก่ FA-50PH (ฟิลิปปินส์), FA-50IQ (อิรัก), FA-50M (มาเลเซีย), FA-50PL (โปแลนด์) และ FA-50TH (ไทย) โดยรุ่น Block 10 เน้นการปรับซอฟต์แวร์ และ Block 20 ยกระดับด้านเทคโนโลยีรอบด้าน KAI ยังมีแผนเสนอ F-50 ที่นั่งเดียว และ TF-50 สำหรับการฝึกของกองทัพสหรัฐฯ ด้วย
จนถึงปัจจุบัน กองทัพอากาศเกาหลีใต้มี FA-50 ใช้งาน 60 ลำ ขณะที่ฟิลิปปินส์ อิรัก อินโดนีเซีย ไทย และโปแลนด์ได้จัดหาไปแล้วในจำนวนต่างๆ เช่น โปแลนด์สั่งซื้อถึง 48 ลำในปี 2022 และมาเลเซียลงนามสัญญาซื้อ 18 ลำในปี 2023 พร้อมตัวเลือกอีก 18 ลำ นอกจากนี้ยังมีความสนใจจากประเทศต่างๆ เช่น อียิปต์ เวียดนาม เปรู และโคลอมเบีย แม้บางประเทศอย่างอาร์เจนตินาและไต้หวันจะยังไม่เดินหน้าโครงการเนื่องจากข้อจำกัดบางประการ