ปฏิรูประบบยุติธรรมในสุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics)
“Thailand is awash with weapons of war. Upcountry, the rule of law is replaced by the rule of the gun, by the threat of coercion.”
H.E.Mr. Sukavich Rangsitpol, Deputy Prime Minister of Thailand
สุขวิชโนมิกส์ หรือ “โมเดลการพัฒนาของ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล” เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความเป็นธรรมและความยั่งยืนในสังคมไทย ผ่านการพัฒนา 4 เสาหลัก ได้แก่ การศึกษา, สุขภาพ, ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ, และความยุติธรรม ซึ่งปฏิรูประบบยุติธรรมถือเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถเข้าถึงสิทธิและเสรีภาพได้อย่างเท่าเทียม
การปฏิรูประบบยุติธรรมในสุขวิชโนมิกส์
1. ระบบการเข้าถึงความยุติธรรม
กระจายอำนาจในการตัดสินใจ: ระบบการยุติธรรมในแนวคิดสุขวิชโนมิกส์เน้นการกระจายอำนาจให้กับชุมชน เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงการตัดสินใจด้านความยุติธรรมได้โดยตรง เช่น การจัดตั้ง ศาลยุติธรรมท้องถิ่น ที่จะช่วยให้การพิจารณาคดีในระดับฐานรากมีความรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย
การพัฒนาผู้พิพากษา: การฝึกอบรมและพัฒนาความสามารถของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถตัดสินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรม
2. การส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมทางสังคม
การพัฒนาองค์กรและระบบที่มีความโปร่งใส: การตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลการบังคับใช้กฎหมายและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ในระดับท้องถิ่น การใช้ ระบบการบริหารที่โปร่งใส ทำให้เกิดการยุติธรรมในกระบวนการและการตัดสินใจ
การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน: การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการบริหารงานยุติธรรม เช่น การใช้ กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ที่มาจากชุมชนเอง
3. การส่งเสริมความยุติธรรมในเชิงเศรษฐกิจ
การฟื้นฟูความมั่นคงทางเศรษฐกิจ: ภายใต้สุขวิชโนมิกส์ จะมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้ความยุติธรรมในด้านการจัดสรรทรัพยากร เช่น การพักหนี้เกษตรกรและการสนับสนุนกลุ่มอาชีพและวิสาหกิจในท้องถิ่น
การพัฒนาสินค้าชุมชน: กระบวนการส่งเสริมสินค้าชุมชน เช่น การจัดตั้ง กองทุนเศรษฐกิจชุมชน และ การตลาดท้องถิ่น จะช่วยให้ชุมชนสามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจและได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
4. ปรับปรุงระบบกฎหมายและการบังคับใช้
การพัฒนากฎหมายและระเบียบต่าง ๆ: สุขวิชโนมิกส์มีการส่งเสริมการปรับปรุงกฎหมายที่สามารถสร้างความยุติธรรมแก่ประชาชน เช่น การส่งเสริมระบบ ศาลปกครอง และ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่เน้นการควบคุมอำนาจของรัฐเพื่อป้องกันการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
การบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม: การมีระบบการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
บทสรุป
การปฏิรูประบบยุติธรรมในสุขวิชโนมิกส์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มีการมุ่งเน้นให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม โดยการกระจายอำนาจ การเสริมสร้างกระบวนการยุติธรรมทางสังคม และการพัฒนากฎหมายและกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมและโปร่งใส ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมทั้งในด้านการศึกษา สุขภาพ เศรษฐกิจ และการบังคับใช้กฎหมาย.
การปฏิรูปนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิรูประบบยุติธรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทุกด้านในสังคมที่สามารถขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีความสุขสำหรับทุกคน.
การตีความสาระสำคัญของมาตรา 75
รัฐต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
สะท้อนหลัก นิติธรรม (Rule of Law): รัฐต้องไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ และเจ้าหน้าที่รัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ ไม่ใช่เพียงการ “ไม่ละเมิด” แต่ต้อง คุ้มครองเชิงรุก
เชื่อมโยงกับมาตราอื่น ๆ เช่น มาตรา 29 (สิทธิในกระบวนการยุติธรรม)
จัดการงานยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐต้องพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้ทันสมัย โปร่งใส รวดเร็ว และเข้าถึงได้
เป็นรากฐานของการปฏิรูปตำรวจ ศาล และอัยการในภายหลัง
อำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน
เป็นหลัก การเข้าถึงความยุติธรรม (Access to Justice)
ตอกย้ำว่า ความยุติธรรมต้องเป็นสิ่งที่ “เข้าถึงได้จริง” โดยไม่ถูกจำกัดด้วยฐานะหรืออำนาจ
จัดระบบราชการและกิจการของรัฐอื่นให้มีประสิทธิภาพ
เป็นจุดเริ่มต้นของการ ปฏิรูประบบราชการ ให้ลดขั้นตอน ลดอำนาจรวมศูนย์
เชื่อมโยงกับแนวคิด “รัฐต้องดูแลประชาชน” ไม่ใช่ “ประชาชนต้องเดินเรื่องกับรัฐ”
มาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นมาตราหลักที่วางรากฐานของหลัก “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพอย่างมีขอบเขต” ซึ่งสะท้อนหลักนิติรัฐและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล โดยมี สาระสำคัญ 3 ประการ ดังนี้:
1. การจำกัดสิทธิต้องทำโดยกฎหมาย “เฉพาะ” และ “จำเป็น” เท่านั้น
สิทธิและเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถถูกจำกัดได้โดยอำเภอใจ
การจำกัดต้องมี กฎหมายเฉพาะกิจ ที่ตราขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น เพื่อความมั่นคงของรัฐ สงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี
และต้องกระทำ เฉพาะเท่าที่จำเป็น โดย ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของสิทธินั้น (principle of proportionality)
2. กฎหมายที่ออกต้องมีผลใช้ทั่วไป และต้องมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ
ห้ามออกกฎหมายเพื่อเจาะจงบังคับกับ บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่ง
ต้องระบุชัดเจนว่า อิงอำนาจจากมาตราใดในรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขต
3. กฎ/ข้อบังคับที่ออกตามกฎหมายต้องอยู่ภายใต้หลักการเดียวกัน
ไม่เพียงแต่กฎหมายของรัฐสภาเท่านั้น แม้แต่ กฎกระทรวง หรือข้อบังคับของหน่วยงานราชการ ก็ต้องปฏิบัติตามหลักการเดียวกันนี้
เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิโดยอ้อมจาก “กฎหมายลำดับรอง”
ความสำคัญในทางปฏิบัติ
มาตรานี้เป็น หลักประกันทางกฎหมาย ที่ประชาชนสามารถใช้ในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือกฎระเบียบใด ๆ ได้ เช่น:
การใช้ มาตรา 29 อ้างในคดีที่ถูกละเมิดสิทธิจาก พ.ร.บ. หรือคำสั่งฝ่ายบริหาร
การตรวจสอบกฎหมายที่อาจใช้ เลือกปฏิบัติ เช่น พ.ร.ก. หรือกฎหมายความมั่นคง
หากคุณต้องการใช้มาตรานี้ในงานวิชาการหรืองานวิจารณ์เชิงนโยบาย มาตรา 29 คือ เกราะป้องกันการละเมิดสิทธิโดยรัฐที่สำคัญที่สุดในรัฐธรรมนูญ และยังสามารถเชื่อมโยงกับหลักการสากล เช่น “หลักความได้สัดส่วน” (Proportionality Principle) และ “หลักความชอบด้วยกฎหมาย” (Legality)
บทบัญญัติในบทที่ ๘ “ศาล” ของรัฐธรรมนูญที่คุณยกมานั้น เป็นหลักพื้นฐานสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย โดยมีจุดเด่นและสาระสำคัญที่ควรสังเกตดังนี้:
1. หลักการพื้นฐานของศาล
มาตรา 233–235 ยืนยันว่าอำนาจในการพิจารณาคดีเป็นของศาลเท่านั้น และศาลจะจัดตั้งได้ตามกฎหมายเท่านั้น ห้ามจัดตั้งศาลพิเศษเฉพาะกิจเพื่อคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ (ป้องกันการแทรกแซงการยุติธรรมทางการเมืองหรือโดยอำนาจพิเศษ)
2. สิทธิเสรีภาพของประชาชนในคดีอาญา
มาตรา 237–247 ให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย เช่น
สิทธิในการประกันตัว (ม.239) โดยต้องได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็วและชัดเจน
สิทธิในการพบทนาย (ม.239 และ 242)
สิทธิไม่ให้กล่าวโทษตนเอง (ม.243)
สิทธิในการร้องขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกักขัง (ม.240)
สิทธิฟ้องกลับและรับการเยียวยาหากถูกตัดสินผิดโดยมิชอบ (ม.246–247)
3. หลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา
มาตรา 249 เน้นว่าผู้พิพากษาต้องเป็นอิสระจากการแทรกแซง และการพิจารณาคดีต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายเท่านั้น
มาตรา 250–251 ห้ามผู้พิพากษาเกี่ยวข้องกับการเมือง และการแต่งตั้ง/ถอดถอนต้องผ่านกระบวนการภายใต้พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ 2 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วย ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอธิบายโครงสร้าง องค์ประกอบ ขั้นตอนการสรรหา คุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างละเอียด
สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:
1. โครงสร้างและการแต่งตั้ง
(มาตรา 255)
ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการ 15 คน (รวมประธาน) แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของวุฒิสภา
แบ่งเป็น 4 กลุ่ม:
จากศาลฎีกา 5 คน
จากศาลปกครองสูงสุด 2 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 5 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐศาสตร์ 3 คน
กลุ่ม 3 และ 4 ต้องผ่านคณะกรรมการคัดเลือก และการลงคะแนนในวุฒิสภา
2. คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
(มาตรา 256)
สัญชาติไทยโดยกำเนิด, อายุ 45 ปีขึ้นไป
เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในหน่วยงานรัฐ หรือเป็นศาสตราจารย์
ไม่มีตำแหน่งหรือความเกี่ยวข้องทางการเมืองหรือผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การประกอบธุรกิจ
3. กระบวนการคัดเลือก
(มาตรา 257)
มีคณะกรรมการคัดเลือกจากคณบดีนิติศาสตร์/รัฐศาสตร์, ผู้แทนพรรคการเมือง ฯลฯ
ต้องได้เสียงเห็นชอบ ¾ จากกรรมการ
วุฒิสภาเลือกโดยลงคะแนนลับจากรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก
4. หน้าที่และข้อห้าม
(มาตรา 258)
ต้องลาออกจากตำแหน่งอื่นหรือยุติวิชาชีพอิสระภายใน 15 วันหลังได้รับเลือก
5. วาระและการพ้นจากตำแหน่ง
(มาตรา 259–261)
วาระ 9 ปี อยู่ได้วาระเดียว
พ้นจากตำแหน่งเมื่อครบวาระ, อายุ 70 ปี, ลาออก, ขาดคุณสมบัติ, ผิดเงื่อนไข, ตาย หรือถูกวุฒิสภาปลด
บทบัญญัติในส่วนที่ 4 นี้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและอำนาจของ ศาลปกครอง ซึ่งมีข้อกำหนดสำคัญดังนี้:
มาตรา 276 - ศาลปกครอง มีอำนาจในการพิจารณาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐกับหน่วยงานอื่น ซึ่งเกิดจากการกระทำหรือการละเว้นตามกฎหมายที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง ศาลปกครองสูงสุด และ ศาลปกครองชั้นต้น รวมถึง ศาลปกครองอุทธรณ์
มาตรา 277 - การแต่งตั้งและการพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง และการเลื่อนตำแหน่งหรือการลงโทษตุลาการศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดังกล่าว
ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขานิติศาสตร์หรือสาขาบริหารราชการแผ่นดินสามารถได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาใน ศาลปกครองสูงสุด โดยต้องมีการแต่งตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนผู้พิพากษาทั้งหมดในศาลปกครองสูงสุด
มาตรา 278 - การแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองให้ดำรงตำแหน่ง ประธานศาลปกครองสูงสุด ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองและวุฒิสภา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์
มาตรา 279 - คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ประกอบด้วย:
ประธานศาลปกครองสูงสุด
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากตุลาการศาลปกครอง จำนวน 9 คน
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากวุฒิสภา 2 คน และจากคณะรัฐมนตรี 1 คน
วิธีการเลือกตั้งและคุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด
มาตรา 280 - สำนักงานเลขานุการศาลปกครอง จะมีอิสระในการบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการดำเนินการต่างๆ ตามกฎหมาย โดยมี เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง เป็นผู้บังคับบัญชา ขึ้นตรงต่อประธานศาลปกครองสูงสุด
การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง
ส่วนนี้แสดงถึงโครงสร้างการทำงานของ ศาลปกครอง ที่เน้นความเป็นอิสระในการดำเนินงาน รวมถึงการกำหนดขั้นตอนการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญและการตรวจสอบผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการต่างๆ เพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพในการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ.
ส่วนที่ 5 ศาลทหาร กำหนดบทบัญญัติสำคัญดังนี้:
มาตรา 281 - ศาลทหาร มีอำนาจในการพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาทหาร รวมถึงคดีอื่นๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การแต่งตั้งและการปลดออกจากตำแหน่งของ ผู้พิพากษาทหาร จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
หลักฐาน การปฏิรูประบบยุติธรรม ในประเทศไทย ผ่านมาตราต่างๆในรัฐธรรมนูญ 2540
“Thailand is awash with weapons of war. Upcountry, the rule of law is replaced by the rule of the gun, by the threat of coercion.”
H.E.Mr. Sukavich Rangsitpol, Deputy Prime Minister of Thailand
สุขวิชโนมิกส์ หรือ “โมเดลการพัฒนาของ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล” เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากฐานราก โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความเป็นธรรมและความยั่งยืนในสังคมไทย ผ่านการพัฒนา 4 เสาหลัก ได้แก่ การศึกษา, สุขภาพ, ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ, และความยุติธรรม ซึ่งปฏิรูประบบยุติธรรมถือเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถเข้าถึงสิทธิและเสรีภาพได้อย่างเท่าเทียม
การปฏิรูประบบยุติธรรมในสุขวิชโนมิกส์
1. ระบบการเข้าถึงความยุติธรรม
กระจายอำนาจในการตัดสินใจ: ระบบการยุติธรรมในแนวคิดสุขวิชโนมิกส์เน้นการกระจายอำนาจให้กับชุมชน เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงการตัดสินใจด้านความยุติธรรมได้โดยตรง เช่น การจัดตั้ง ศาลยุติธรรมท้องถิ่น ที่จะช่วยให้การพิจารณาคดีในระดับฐานรากมีความรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย
การพัฒนาผู้พิพากษา: การฝึกอบรมและพัฒนาความสามารถของผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถตัดสินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรม
2. การส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมทางสังคม
การพัฒนาองค์กรและระบบที่มีความโปร่งใส: การตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลการบังคับใช้กฎหมายและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ในระดับท้องถิ่น การใช้ ระบบการบริหารที่โปร่งใส ทำให้เกิดการยุติธรรมในกระบวนการและการตัดสินใจ
การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน: การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการบริหารงานยุติธรรม เช่น การใช้ กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ที่มาจากชุมชนเอง
3. การส่งเสริมความยุติธรรมในเชิงเศรษฐกิจ
การฟื้นฟูความมั่นคงทางเศรษฐกิจ: ภายใต้สุขวิชโนมิกส์ จะมีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้ความยุติธรรมในด้านการจัดสรรทรัพยากร เช่น การพักหนี้เกษตรกรและการสนับสนุนกลุ่มอาชีพและวิสาหกิจในท้องถิ่น
การพัฒนาสินค้าชุมชน: กระบวนการส่งเสริมสินค้าชุมชน เช่น การจัดตั้ง กองทุนเศรษฐกิจชุมชน และ การตลาดท้องถิ่น จะช่วยให้ชุมชนสามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจและได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
4. ปรับปรุงระบบกฎหมายและการบังคับใช้
การพัฒนากฎหมายและระเบียบต่าง ๆ: สุขวิชโนมิกส์มีการส่งเสริมการปรับปรุงกฎหมายที่สามารถสร้างความยุติธรรมแก่ประชาชน เช่น การส่งเสริมระบบ ศาลปกครอง และ ศาลรัฐธรรมนูญ ที่เน้นการควบคุมอำนาจของรัฐเพื่อป้องกันการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม
การบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม: การมีระบบการติดตามผลการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
บทสรุป
การปฏิรูประบบยุติธรรมในสุขวิชโนมิกส์เป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่มีการมุ่งเน้นให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม โดยการกระจายอำนาจ การเสริมสร้างกระบวนการยุติธรรมทางสังคม และการพัฒนากฎหมายและกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมและโปร่งใส ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมทั้งในด้านการศึกษา สุขภาพ เศรษฐกิจ และการบังคับใช้กฎหมาย.
การปฏิรูปนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิรูประบบยุติธรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทุกด้านในสังคมที่สามารถขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีความสุขสำหรับทุกคน.
การตีความสาระสำคัญของมาตรา 75
รัฐต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
สะท้อนหลัก นิติธรรม (Rule of Law): รัฐต้องไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ และเจ้าหน้าที่รัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐ ไม่ใช่เพียงการ “ไม่ละเมิด” แต่ต้อง คุ้มครองเชิงรุก
เชื่อมโยงกับมาตราอื่น ๆ เช่น มาตรา 29 (สิทธิในกระบวนการยุติธรรม)
จัดการงานยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐต้องพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้ทันสมัย โปร่งใส รวดเร็ว และเข้าถึงได้
เป็นรากฐานของการปฏิรูปตำรวจ ศาล และอัยการในภายหลัง
อำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างรวดเร็วและเท่าเทียมกัน
เป็นหลัก การเข้าถึงความยุติธรรม (Access to Justice)
ตอกย้ำว่า ความยุติธรรมต้องเป็นสิ่งที่ “เข้าถึงได้จริง” โดยไม่ถูกจำกัดด้วยฐานะหรืออำนาจ
จัดระบบราชการและกิจการของรัฐอื่นให้มีประสิทธิภาพ
เป็นจุดเริ่มต้นของการ ปฏิรูประบบราชการ ให้ลดขั้นตอน ลดอำนาจรวมศูนย์
เชื่อมโยงกับแนวคิด “รัฐต้องดูแลประชาชน” ไม่ใช่ “ประชาชนต้องเดินเรื่องกับรัฐ”
มาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นมาตราหลักที่วางรากฐานของหลัก “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพอย่างมีขอบเขต” ซึ่งสะท้อนหลักนิติรัฐและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล โดยมี สาระสำคัญ 3 ประการ ดังนี้:
1. การจำกัดสิทธิต้องทำโดยกฎหมาย “เฉพาะ” และ “จำเป็น” เท่านั้น
สิทธิและเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถถูกจำกัดได้โดยอำเภอใจ
การจำกัดต้องมี กฎหมายเฉพาะกิจ ที่ตราขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น เพื่อความมั่นคงของรัฐ สงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี
และต้องกระทำ เฉพาะเท่าที่จำเป็น โดย ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของสิทธินั้น (principle of proportionality)
2. กฎหมายที่ออกต้องมีผลใช้ทั่วไป และต้องมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ
ห้ามออกกฎหมายเพื่อเจาะจงบังคับกับ บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่ง
ต้องระบุชัดเจนว่า อิงอำนาจจากมาตราใดในรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขต
3. กฎ/ข้อบังคับที่ออกตามกฎหมายต้องอยู่ภายใต้หลักการเดียวกัน
ไม่เพียงแต่กฎหมายของรัฐสภาเท่านั้น แม้แต่ กฎกระทรวง หรือข้อบังคับของหน่วยงานราชการ ก็ต้องปฏิบัติตามหลักการเดียวกันนี้
เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิโดยอ้อมจาก “กฎหมายลำดับรอง”
ความสำคัญในทางปฏิบัติ
มาตรานี้เป็น หลักประกันทางกฎหมาย ที่ประชาชนสามารถใช้ในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือกฎระเบียบใด ๆ ได้ เช่น:
การใช้ มาตรา 29 อ้างในคดีที่ถูกละเมิดสิทธิจาก พ.ร.บ. หรือคำสั่งฝ่ายบริหาร
การตรวจสอบกฎหมายที่อาจใช้ เลือกปฏิบัติ เช่น พ.ร.ก. หรือกฎหมายความมั่นคง
หากคุณต้องการใช้มาตรานี้ในงานวิชาการหรืองานวิจารณ์เชิงนโยบาย มาตรา 29 คือ เกราะป้องกันการละเมิดสิทธิโดยรัฐที่สำคัญที่สุดในรัฐธรรมนูญ และยังสามารถเชื่อมโยงกับหลักการสากล เช่น “หลักความได้สัดส่วน” (Proportionality Principle) และ “หลักความชอบด้วยกฎหมาย” (Legality)
บทบัญญัติในบทที่ ๘ “ศาล” ของรัฐธรรมนูญที่คุณยกมานั้น เป็นหลักพื้นฐานสำคัญของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย โดยมีจุดเด่นและสาระสำคัญที่ควรสังเกตดังนี้:
1. หลักการพื้นฐานของศาล
มาตรา 233–235 ยืนยันว่าอำนาจในการพิจารณาคดีเป็นของศาลเท่านั้น และศาลจะจัดตั้งได้ตามกฎหมายเท่านั้น ห้ามจัดตั้งศาลพิเศษเฉพาะกิจเพื่อคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ (ป้องกันการแทรกแซงการยุติธรรมทางการเมืองหรือโดยอำนาจพิเศษ)
2. สิทธิเสรีภาพของประชาชนในคดีอาญา
มาตรา 237–247 ให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย เช่น
สิทธิในการประกันตัว (ม.239) โดยต้องได้รับการพิจารณาอย่างรวดเร็วและชัดเจน
สิทธิในการพบทนาย (ม.239 และ 242)
สิทธิไม่ให้กล่าวโทษตนเอง (ม.243)
สิทธิในการร้องขอให้ศาลตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกักขัง (ม.240)
สิทธิฟ้องกลับและรับการเยียวยาหากถูกตัดสินผิดโดยมิชอบ (ม.246–247)
3. หลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา
มาตรา 249 เน้นว่าผู้พิพากษาต้องเป็นอิสระจากการแทรกแซง และการพิจารณาคดีต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายเท่านั้น
มาตรา 250–251 ห้ามผู้พิพากษาเกี่ยวข้องกับการเมือง และการแต่งตั้ง/ถอดถอนต้องผ่านกระบวนการภายใต้พระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ 2 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วย ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอธิบายโครงสร้าง องค์ประกอบ ขั้นตอนการสรรหา คุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างละเอียด
สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้:
1. โครงสร้างและการแต่งตั้ง
(มาตรา 255)
ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการ 15 คน (รวมประธาน) แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของวุฒิสภา
แบ่งเป็น 4 กลุ่ม:
จากศาลฎีกา 5 คน
จากศาลปกครองสูงสุด 2 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย 5 คน
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐศาสตร์ 3 คน
กลุ่ม 3 และ 4 ต้องผ่านคณะกรรมการคัดเลือก และการลงคะแนนในวุฒิสภา
2. คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
(มาตรา 256)
สัญชาติไทยโดยกำเนิด, อายุ 45 ปีขึ้นไป
เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงในหน่วยงานรัฐ หรือเป็นศาสตราจารย์
ไม่มีตำแหน่งหรือความเกี่ยวข้องทางการเมืองหรือผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การประกอบธุรกิจ
3. กระบวนการคัดเลือก
(มาตรา 257)
มีคณะกรรมการคัดเลือกจากคณบดีนิติศาสตร์/รัฐศาสตร์, ผู้แทนพรรคการเมือง ฯลฯ
ต้องได้เสียงเห็นชอบ ¾ จากกรรมการ
วุฒิสภาเลือกโดยลงคะแนนลับจากรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก
4. หน้าที่และข้อห้าม
(มาตรา 258)
ต้องลาออกจากตำแหน่งอื่นหรือยุติวิชาชีพอิสระภายใน 15 วันหลังได้รับเลือก
5. วาระและการพ้นจากตำแหน่ง
(มาตรา 259–261)
วาระ 9 ปี อยู่ได้วาระเดียว
พ้นจากตำแหน่งเมื่อครบวาระ, อายุ 70 ปี, ลาออก, ขาดคุณสมบัติ, ผิดเงื่อนไข, ตาย หรือถูกวุฒิสภาปลด
บทบัญญัติในส่วนที่ 4 นี้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและอำนาจของ ศาลปกครอง ซึ่งมีข้อกำหนดสำคัญดังนี้:
มาตรา 276 - ศาลปกครอง มีอำนาจในการพิจารณาคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐกับหน่วยงานอื่น ซึ่งเกิดจากการกระทำหรือการละเว้นตามกฎหมายที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง ศาลปกครองสูงสุด และ ศาลปกครองชั้นต้น รวมถึง ศาลปกครองอุทธรณ์
มาตรา 277 - การแต่งตั้งและการพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง และการเลื่อนตำแหน่งหรือการลงโทษตุลาการศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดังกล่าว
ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขานิติศาสตร์หรือสาขาบริหารราชการแผ่นดินสามารถได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาใน ศาลปกครองสูงสุด โดยต้องมีการแต่งตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนผู้พิพากษาทั้งหมดในศาลปกครองสูงสุด
มาตรา 278 - การแต่งตั้งตุลาการศาลปกครองให้ดำรงตำแหน่ง ประธานศาลปกครองสูงสุด ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองและวุฒิสภา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์
มาตรา 279 - คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ประกอบด้วย:
ประธานศาลปกครองสูงสุด
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากตุลาการศาลปกครอง จำนวน 9 คน
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากวุฒิสภา 2 คน และจากคณะรัฐมนตรี 1 คน
วิธีการเลือกตั้งและคุณสมบัติของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด
มาตรา 280 - สำนักงานเลขานุการศาลปกครอง จะมีอิสระในการบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการดำเนินการต่างๆ ตามกฎหมาย โดยมี เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง เป็นผู้บังคับบัญชา ขึ้นตรงต่อประธานศาลปกครองสูงสุด
การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลปกครองต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง
ส่วนนี้แสดงถึงโครงสร้างการทำงานของ ศาลปกครอง ที่เน้นความเป็นอิสระในการดำเนินงาน รวมถึงการกำหนดขั้นตอนการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญและการตรวจสอบผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการต่างๆ เพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพในการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ.
ส่วนที่ 5 ศาลทหาร กำหนดบทบัญญัติสำคัญดังนี้:
มาตรา 281 - ศาลทหาร มีอำนาจในการพิจารณาและพิพากษาคดีอาญาทหาร รวมถึงคดีอื่นๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การแต่งตั้งและการปลดออกจากตำแหน่งของ ผู้พิพากษาทหาร จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด