เจ้าคุณนรฯ พระอริยสงฆ์ผู้มีวาจาสิทธิ์
พระยานรรัตน์ราชมานิต เข้าอุปสมบทเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2468 ตอนที่ท่านมีอายุได้ 28 ปี ณ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชณาย์ โดยได้รับฉายาว่า ธมมวิตกโกและเมื่อท่านเจ้าคุณนรฯ เริ่มเข้าเดือนที่สองของการบวชท่านก็เริ่มถือการฉันจังหันมื้อเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะไม่ฉันอาหารอีกเลย นอกจากน้ำดื่ม และอาหารที่เจ้าคุณนรฯ ฉันนั้นจะเป็นอาหารเจเท่านั้น และจะมีมะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้าที่ท่านฉันเป็นประจำ และเมื่อเข้าพรรษาต่อไปท่านก็งดฉันจังหันทุกวันพระอีกด้วย เจ้าคุณนรฯ ท่านปฎิบัติแบบนี้อย่างเคร่งครัดตลอดจนท่านมรณะภาพ
กิจวัตรอีกอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรฯ ปฏิบัติเป็นนิจไม่เคยขาดเลยนั่นก็คือ การลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็น ทุกวัน ดังที่ท่านมักพูดเสมอว่า "ถ้าหากท่านขาดทำวัดรครั้งไหน ก็หมายความว่าท่าคงอาพาธหนัก หรือไม่ก็มรณะภาพแล้ว"
ต่อมาวันหนึ่ง, อยู่ๆ ท่านเจ้าคุณนรฯ ก็ไม่ได้ลงอุโบสถ สาเหตุนั้นเกิดจากท่านโดนงูเห่าฉกเพราะท่านไปเหยียบมันเข้าระหว่างที่ท่านเดินมาลงอุโบสถนั่นเอง แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าคุณนรฯ หยุดการลงอุโบสถ วันต่อมาท่านก็ลงอุโบสถตามปกติโดยไม่สนใจพิษของงูเห่าแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่เท้าข้างที่โดนงูฉกนั้นบวมหนักมาก แต่แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น วันต่อมาเท้าของท่านก็หายบวม กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมโดยที่ท่านไม่ได้ไปหาหมอหรือฉันยาเลย
เจ้าคุณนรฯ เป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดในธรรมวินัยและถือสันโดดเป็นนิจที่หาใครเทียบได้ยากมากอีกด้วย เห็นได้ชัดที่กุฎิของท่านไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของประดับตามยศฐาของท่านเลย เฟอร์นิเจอร์เพียงสิ่งเดียวในกุฎิของท่านก็คือตำราและหนังสือธรรมวินัยจำนวนมาก พื้นที่ส่วนที่ท่านใช้จำวัดนั้นมีเพียงแค่ผ้าจีวรเก่าๆ 2-3 ผืนปูกับพื้น กับมุ้งเล็กๆ อีก 1 หลังเพียงเท่านั้น แถมเจ้าคุณนรฯ ท่านยังได้นำโครงกระดูกไปวางไว้ในกุฎิอีกด้วย เพื่อที่จะได้คอยพิจารณา เรื่องการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นวัฎสงสารของมนุษย์ที่ถือเป็นสิ่งไม่เที่ยง เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้า
อีกสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกุฎิของเจ้าคุณนรฯ ตั้งแต่ท่านบวชได้เพียง 2 พรรษาก็คือ โลงศพ ท่านได้สั่งให้ญาติหามาให้ท่าน สำหรับใส่ร่างของท่านเมื่อถึงเวลามรณะภาพ จะได้ไม่ต้องลำบากคนที่อยู่ข้างหลัง และสิ่งที่ทำให้ทุกคนเห็นถึงการถือสันโดดของท่านมากๆ นอกจากที่ท่านไม่ใช้เงิน ไม่จับเงินเลยนั้นก็คือ ที่กุฎิของท่านนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้เลย ในเวลามืดท่านอาศัยความสว่างจากแสงเทียนเท่านั้น
ตอนที่เจ้าคุณนรฯ โดนงูเห่าฉกและท่านหายเองโดยไม่ไปหาหมอ ไม่ทานยา ในครั้งนั้นก็เป็นที่เลื่องลือในวิชาของท่านแล้ว แต่มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ อยู่ๆ ท่านก็เป็นโรคมะเร็งกรามช้าง เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อร้ายขึ้นที่ต่อมแถวก้านคาง ดูน่ากลัวสำหรับคนที่พบเห็น และมีความเจ็บปวดมาก แต่เจ้าคุณนรฯ ไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยให้ใครเห็นเลย ท่านมีอาการปกติมาก และยังคงลงอุโบสถเช้า เย็น เหมือนเดิมทุกวันอีกด้วย แต่อยู่ๆ วันหนึ่งโรคร้ายนี้ก็หายไปเอง โดยที่เจ้าคุณนรฯ ไม่ได้ไปพบแพทย์ หรือทานยาเลย และเมื่อมีคนสงสัยเข้าไปถามท่านว่า ท่านหายจากโรคร้ายนี้ได้อย่างไร ท่านก็มักจะตอบว่า
"โรคมันเกิดขึ้นเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน"
สาเหตุที่เจ้าคุณนรฯ ได้รับฉายาว่า "พระอริยสงฆ์ผู้มีวาจาสิทธิ์" ในแต่ละวัน จะมีญาติโยมจำนวนมากมารอเข้าพบท่าน ทำให้มีคนจีนคนหนึ่งอยากไปเข้าพบเจ้าคุณนรฯ บ้าง แต่ไม่ว่าเขาจะไปกี่ครั้งก็ไม่เคยได้พบท่านเลย เพราะมีญาติโยมจำนวนมากไปรออยู่ เขาจึงตัดสินใจไปดักรอหน้ากุฎิของเจ้าคุณนรฯ เพื่อขอพบก่อนที่ท่านจะไปทำวัดเช้า
เมื่อเจ้าคุณนรฯ เดินลงมาจากกุฎิ ชายคนนั้นจึงก้มลงกราบและบอกท่านว่า "ตนอยากจะมาขอพรจากท่าน เพราะยากจนเหลือเกิน ขายของก็มีแต่ขาดทุน"
เจ้าคุณนรฯ ฟังแล้วก็หันไปหยิบกะลาตักน้ำมาพรมให้ชายผู้นั้นพร้อมกับบอกว่า "ไปได้แล้ว คราวนี้จะรวยใหญ่"
เมื่อกลับแล้วชายคนนั้นก็ค้าขายจนร่ำรวยจริงๆ
ท่านเจ้าคุณนรฯ ปฎิบัติตนในเพศบรรพชิตอย่างไม่ด่างพร้อย ตลอด 45 พรรษา ในการป่วยครั้งสุดท้ายนั้นท่านเป็นฝีที่บริเวณคอด้านซ้าย หลังจากท่านใช้กระแสจิตพิจารณาจนถ่องแท้แล้ว ท่านก็วางเฉย แม้ว่าแพทย์จะพยายามรักษามากเท่าไหร่ หรือให้ยาท่านฉัน ท่านก็ปฎิเสธทุกครั้ง ท่านเพียงแต่บอกว่า
"ฝรที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่าฝีสบาย เขามาอาศัยร่างท่านอยู่เท่านั้น เมื่อถึงกำหนดฝีนี้ก็จะแตกเอง และหายไปพร้อมกับท่าน ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง"
เมื่อทุกคนได้ยินก็เกิดอาการวิตกกังวลไปตามๆ กัน ไม่มีใครอยากให้วันฝีแตกมาถึง
และแล้วปลายปี พ.ศ. 2513 ฝีก็แตกออกมา และท่านเจ้าคุณนรฯ ได้บอกว่า "เห็นทีท่านจะต้องขอลาแล้ว" และเวลาประมาณ 11 โมงเช้า ของวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2514 ท่านท่านเจ้าคุณนรฯ ก็มรณะภาพด้วยอาการสงบที่กุฎิของท่าน
อรหันต์กลางกรุง ผู้มีวาจาสิทธิ์ เจ้าคุณนรฯ พระยานรรัตนราชมานิต
พระยานรรัตน์ราชมานิต เข้าอุปสมบทเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2468 ตอนที่ท่านมีอายุได้ 28 ปี ณ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชณาย์ โดยได้รับฉายาว่า ธมมวิตกโกและเมื่อท่านเจ้าคุณนรฯ เริ่มเข้าเดือนที่สองของการบวชท่านก็เริ่มถือการฉันจังหันมื้อเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะไม่ฉันอาหารอีกเลย นอกจากน้ำดื่ม และอาหารที่เจ้าคุณนรฯ ฉันนั้นจะเป็นอาหารเจเท่านั้น และจะมีมะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้าที่ท่านฉันเป็นประจำ และเมื่อเข้าพรรษาต่อไปท่านก็งดฉันจังหันทุกวันพระอีกด้วย เจ้าคุณนรฯ ท่านปฎิบัติแบบนี้อย่างเคร่งครัดตลอดจนท่านมรณะภาพ
กิจวัตรอีกอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรฯ ปฏิบัติเป็นนิจไม่เคยขาดเลยนั่นก็คือ การลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็น ทุกวัน ดังที่ท่านมักพูดเสมอว่า "ถ้าหากท่านขาดทำวัดรครั้งไหน ก็หมายความว่าท่าคงอาพาธหนัก หรือไม่ก็มรณะภาพแล้ว"
ต่อมาวันหนึ่ง, อยู่ๆ ท่านเจ้าคุณนรฯ ก็ไม่ได้ลงอุโบสถ สาเหตุนั้นเกิดจากท่านโดนงูเห่าฉกเพราะท่านไปเหยียบมันเข้าระหว่างที่ท่านเดินมาลงอุโบสถนั่นเอง แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าคุณนรฯ หยุดการลงอุโบสถ วันต่อมาท่านก็ลงอุโบสถตามปกติโดยไม่สนใจพิษของงูเห่าแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่เท้าข้างที่โดนงูฉกนั้นบวมหนักมาก แต่แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น วันต่อมาเท้าของท่านก็หายบวม กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมโดยที่ท่านไม่ได้ไปหาหมอหรือฉันยาเลย
เจ้าคุณนรฯ เป็นพระภิกษุผู้เคร่งครัดในธรรมวินัยและถือสันโดดเป็นนิจที่หาใครเทียบได้ยากมากอีกด้วย เห็นได้ชัดที่กุฎิของท่านไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของประดับตามยศฐาของท่านเลย เฟอร์นิเจอร์เพียงสิ่งเดียวในกุฎิของท่านก็คือตำราและหนังสือธรรมวินัยจำนวนมาก พื้นที่ส่วนที่ท่านใช้จำวัดนั้นมีเพียงแค่ผ้าจีวรเก่าๆ 2-3 ผืนปูกับพื้น กับมุ้งเล็กๆ อีก 1 หลังเพียงเท่านั้น แถมเจ้าคุณนรฯ ท่านยังได้นำโครงกระดูกไปวางไว้ในกุฎิอีกด้วย เพื่อที่จะได้คอยพิจารณา เรื่องการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นวัฎสงสารของมนุษย์ที่ถือเป็นสิ่งไม่เที่ยง เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น แม้แต่องค์สมเด็จสัมมาพระพุทธเจ้า
ตอนที่เจ้าคุณนรฯ โดนงูเห่าฉกและท่านหายเองโดยไม่ไปหาหมอ ไม่ทานยา ในครั้งนั้นก็เป็นที่เลื่องลือในวิชาของท่านแล้ว แต่มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ อยู่ๆ ท่านก็เป็นโรคมะเร็งกรามช้าง เป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อร้ายขึ้นที่ต่อมแถวก้านคาง ดูน่ากลัวสำหรับคนที่พบเห็น และมีความเจ็บปวดมาก แต่เจ้าคุณนรฯ ไม่เคยแสดงอาการเจ็บป่วยให้ใครเห็นเลย ท่านมีอาการปกติมาก และยังคงลงอุโบสถเช้า เย็น เหมือนเดิมทุกวันอีกด้วย แต่อยู่ๆ วันหนึ่งโรคร้ายนี้ก็หายไปเอง โดยที่เจ้าคุณนรฯ ไม่ได้ไปพบแพทย์ หรือทานยาเลย และเมื่อมีคนสงสัยเข้าไปถามท่านว่า ท่านหายจากโรคร้ายนี้ได้อย่างไร ท่านก็มักจะตอบว่า
"โรคมันเกิดขึ้นเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน"
สาเหตุที่เจ้าคุณนรฯ ได้รับฉายาว่า "พระอริยสงฆ์ผู้มีวาจาสิทธิ์" ในแต่ละวัน จะมีญาติโยมจำนวนมากมารอเข้าพบท่าน ทำให้มีคนจีนคนหนึ่งอยากไปเข้าพบเจ้าคุณนรฯ บ้าง แต่ไม่ว่าเขาจะไปกี่ครั้งก็ไม่เคยได้พบท่านเลย เพราะมีญาติโยมจำนวนมากไปรออยู่ เขาจึงตัดสินใจไปดักรอหน้ากุฎิของเจ้าคุณนรฯ เพื่อขอพบก่อนที่ท่านจะไปทำวัดเช้า
เมื่อเจ้าคุณนรฯ เดินลงมาจากกุฎิ ชายคนนั้นจึงก้มลงกราบและบอกท่านว่า "ตนอยากจะมาขอพรจากท่าน เพราะยากจนเหลือเกิน ขายของก็มีแต่ขาดทุน"
เจ้าคุณนรฯ ฟังแล้วก็หันไปหยิบกะลาตักน้ำมาพรมให้ชายผู้นั้นพร้อมกับบอกว่า "ไปได้แล้ว คราวนี้จะรวยใหญ่"
เมื่อกลับแล้วชายคนนั้นก็ค้าขายจนร่ำรวยจริงๆ
ท่านเจ้าคุณนรฯ ปฎิบัติตนในเพศบรรพชิตอย่างไม่ด่างพร้อย ตลอด 45 พรรษา ในการป่วยครั้งสุดท้ายนั้นท่านเป็นฝีที่บริเวณคอด้านซ้าย หลังจากท่านใช้กระแสจิตพิจารณาจนถ่องแท้แล้ว ท่านก็วางเฉย แม้ว่าแพทย์จะพยายามรักษามากเท่าไหร่ หรือให้ยาท่านฉัน ท่านก็ปฎิเสธทุกครั้ง ท่านเพียงแต่บอกว่า
"ฝรที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่าฝีสบาย เขามาอาศัยร่างท่านอยู่เท่านั้น เมื่อถึงกำหนดฝีนี้ก็จะแตกเอง และหายไปพร้อมกับท่าน ขอให้ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง"
เมื่อทุกคนได้ยินก็เกิดอาการวิตกกังวลไปตามๆ กัน ไม่มีใครอยากให้วันฝีแตกมาถึง
และแล้วปลายปี พ.ศ. 2513 ฝีก็แตกออกมา และท่านเจ้าคุณนรฯ ได้บอกว่า "เห็นทีท่านจะต้องขอลาแล้ว" และเวลาประมาณ 11 โมงเช้า ของวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2514 ท่านท่านเจ้าคุณนรฯ ก็มรณะภาพด้วยอาการสงบที่กุฎิของท่าน