คำแนะนำเนื้อหา
กระทู้นี้จะเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยเน้นการถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านตัวหนังสือเป็นหลัก
เนื้อหาไม่ได้ลงรายละเอียดมากในเรื่องอุปกรณ์เดินป่า การเตรียมตัว หรือค่าใช้จ่าย
แต่จะเน้นไปที่การบรรยายบรรยากาศ สถานที่ และเรื่องราวระหว่างการเดินทาง
ฤดูฝนกำลังจะมา… ทำให้ผมนึกถึง ทริปภูสอยดาวเมื่อปีที่แล้ว และยังรู้สึกคิดถึงบรรยากาศเมื่อวันนั้นอยู่
เลยอยากเก็บไว้เป็นบันทึกเล็ก ๆ เผื่อใครกำลังคิดถึงธรรมชาติเหมือนกัน”
จุดเริ่มต้นจากภาพถ่ายหนึ่งใบ
“นี่มัน…สวรรค์บนดินชัด ๆ”
ดูมวลดอกไม้ก้านยาว กลีบดอกเล็ก ๆ สีม่วงอ่อนที่กำลังชูช่อรับแสงแดดจาง ๆ ท่ามกลางสายหมอกที่พัดเลื่อนผ่านปลายยอดเขาลงมาอย่างอ้อยอิ่ง — นั่นสิ…
ทุ่งหญ้าโล่งสีเขียวที่ขึ้นแซมกันกับกลุ่มต้นสนบนยอดเขาสูง มองไปสุดลูกตาพวกนั้นเหมือนกัน… กำลังมีกลุ่มดอกไม้สีม่วงแปลก ๆ ขึ้นแซม แข่งกันบานรับแสงเต็มเลย!!
เสียงความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมขณะที่กำลังมองภาพถ่ายใบหนึ่งผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ
ดอกไม้ที่มีชีวิตอยู่เพียงปีละครั้งเท่านั้น — ในช่วงหน้าฝนพอถึงปลายตุลาคม พวกเขาก็จะโรยราไปพร้อมกับการสิ้นสุดของฤดูกาล
หลังจากเสียงความคิดในหัวเงียบลง ผมก็หันไปหาผู้ร่วมชะตากรรมที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะข้าง ๆ
“พี่น็อต ดูนี่สิ พี่ว่าสถานที่ในภาพนี้สวยไหม?”
“อืม…สวยดี” พี่น็อตตอบสั้น ๆ พลางยังจ้องจอคอมอยู่
“ไปกันไหม?”
ผมยิงคำถามกลับ เพราะคิดไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้แค่ชมว่าสวยแล้วจบไป
พี่น็อตหันมามองหน้าผมนิ่ง ๆ — เหมือนจะเคยชินกับการโดนชวนแบบนี้อยู่แล้ว
“วันไหน?”
“เดือนหน้า… กันยา ขอเวลาหาวันกับหาคนร่วมทริปแป๊บ”
ผมตอบพลางเริ่มวางแผนในหัวอย่างจริงจัง
ไม่นาน ผมก็กดส่งข้อความหาพี่นารา — รุ่นพี่ที่เคยไปลุย ภูสอยดาว มาเมื่อปีที่แล้ว เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทริปในภาพนั้น
พี่นาราแนะนำว่าให้ไปกับกลุ่ม “พี่จ่า” เพราะบริการและดูแลดีพี่เขาบอกด้วยว่าจะช่วยติดต่อให้
ไม่กี่วันถัดมา กลุ่มจอยทริปก็ถูกตั้งขึ้นในไลน์เราได้รับรายละเอียดทริปพร้อมค่าร่วมเดินทางในราคา 1,300 บาท/คน
(รวมค่าเดินทางไป–กลับ และอาหารเช้า 1 มื้อ)
วันที่ออกเดินทางถูกกำหนดไว้ในคืนวันที่ 13 กันยายน 2567 เวลา 20.00 น.
และจะลุยกิจกรรมกันเต็ม ๆ ในวันที่ 14–15 กันยายน 2567
ค่ำคืนแห่งการออกเดินทาง
คืนวันที่ 13 ก.ย.กลุ่มผมมีทั้งหมด 4 คน กับเพื่อนร่วมทางอีก 6 คนจากกลุ่มอื่น รวมแล้วเป็น 10 ชีวิตที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทริปอย่างไม่รู้ตัวเรานัดเจอกันที่จุดจอดรถของ BTS หมอชิต — จุดนัดพบยอดนิยมของนักเดินทางสายป่า ซึ่งทุกคืนวันศุกร์จะคึกคักไปด้วยกระเป๋าเป้ เต็นท์ รองเท้าเดินป่า และแววตาตื่นเต้นของเหล่าบรรดานักเดินทาง
เวลาสองทุ่มรถตู้คันใหญ่ขนาดพอดีมารับพวกเราขึ้นรถ เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ เริ่มพาพวกเราค่อย ๆ ทิ้งกรุงเทพไว้ข้างหลัง มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ด้วยระยะทางกว่า 600 กิโลเมตรท่ามกลางแสงไฟจากเมืองที่ค่อย ๆ จางหาย และเปลี่ยนเป็นความมืดสงบของถนนยามค่ำคืน
ช่วงเดือนที่เราเดินทาง ฝนชุกชื้นเอาเรื่องใจก็ได้แต่ภาวนาให้ฟ้าเป็นใจ ไม่ตกลงมาระหว่างทริป เพราะไม่อย่างนั้น จากนักท่องเที่ยวก็จะกลายเป็นผู้ประสบภัยแทน
เช้าตรู่ ณ ตลาดเช้าป่าแดง
กระทั่งเวลาประมาณตีห้า เราก็มาถึงจุดหมายแรก ตลาดเช้าเทศบาลตำบลป่าแดงที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเหล่านักเดินป่า เพราะเป็นจุดเติมเสบียงก่อนขึ้นพิชิต ภูสอยดาวตลาดเช้านี้แม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็คึกคัก เต็มไปด้วยนักเดินทางและชาวบ้านที่มาตั้งแผงขายของสด ของพื้นบ้าน ขนม หรือแม้แต่อาหารปิ้งย่างต่าง ๆ
ผมได้หมูปิ้งกับขนมติดมือมาเล็กน้อย เพราะพวกเราคุยกันไว้แล้วว่าจะเน้นมื้อที่เรียบง่าย ส่วน มื้อหลักข้างบน… ก็กะว่าจะฝากท้องไว้กับ ข้าวไข่เจียวจานละ 50 บาท บนยอดอุทยาน นั่นแหละฝั่งตรงข้ามตลาดมีเซเว่นที่คนแน่นเอี้ยด ผมเลยขอผ่าน ไม่แวะดีกว่า
หลังจากที่แต่ละคนซื้อเสบียงกันครบ กลุ่มเราก็ออกเดินทางต่อ รถยังคงไต่ไปตามทางเหมือนกำลังปีนเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้น…ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ผมได้แต่ภาวนาให้หยุดเมื่อไปถึง…
เช้าที่อุทยาน — ความสดชื่นของป่าเขาและธารน้ำใส
เวลาใกล้หกโมงเช้า ในที่สุดรถก็มาถึงหน้า อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว และโชคดีที่ฝนหยุดตกพอดี
หลังจากลงจากรถ ลุงคนขับที่พวกเราคุ้นหน้าแล้ว บอกว่าใครจะเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า หรืออาบน้ำก่อนก็ไปได้เลย แล้วค่อยรวมกลุ่มไปซื้อตั๋วเข้าอุทยานที่ทำการ ซึ่งจะมีค่ามัดจำขยะบางส่วนด้วย บริเวณที่ทำการอุทยาน บรรยากาศดีมาก ล้อมรอบด้วยป่า และมีธารน้ำสายเล็กไหลลงมาจากเขา
จากนั้นผมกับเพื่อนร่วมทริปอีกคนก็มาซื้อตั๋วเข้าอุทยาน โดยต้องจ่ายค่ามัดจำเพิ่มนิดหน่อย
แต่เรื่องน่าเสียดายคือ… ผมไม่ได้จองถุงนอนและแผ่นรองนอนไว้ก่อนเลยไปสอบถามเจ้าหน้าที่เช่า แต่ก็ได้รับคำตอบว่าเต็มหมดแล้ว ทางเดียวคือลุ้นเอาบนยอดภู
โชคดีที่กลุ่มเราพกเต็นท์มาด้วยคนละหลัง และยังยัดลงถุงพลาสติกมาแบบลวกๆ เราจึงตัดสินใจจ้างลูกหาบแบกขึ้นไป ส่วนเป้สัมภาระแต่ละคนแบกกันเอง
จนกระทั่งใกล้ เจ็ดโมงเช้า เราได้คิวลูกหาบ และเตรียมออกเดินทางต่อ โดยต้องนั่งรถจากที่ทำการเข้าไปยัง จุดเริ่มต้นเดินป่า ระยะห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตรระหว่างนั้น บูน(เพื่อนร่วมทริป)บอกว่าจะมีเพื่อนเขามาจอยทริปด้วยอีกคน ขับรถมาคนเดียว เรารอกันสักพักจนเพื่อนอีกคนมาถึง แล้วก็พากันนั่งรถตู้เข้าอุทยานไปพร้อมกัน
เตรียมพร้อมก่อนออกเดินพิชิตภูสอยดาว
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นภูสอยดาว บริเวณตีนเขามีร้านอาหารของคนท้องถิ่น เป็นร้านเล็ก ๆ บางร้านเปิดขายอาหารตามสั่ง ส้มตำ และเครื่องดื่มต่าง ๆ ทางทริปมี อาหารเช้าฟรี กลุ่มเราจึงนั่งกินกันให้เต็มที่ก่อนเดินขึ้น เพราะรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้าต้องใช้พลังกายอีกเยอะ
หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย เราก็ แบ่งกลุ่มออกเดิน ผม พี่ต้น และพี่น็อต ลุยไปก่อน ส่วน บูนกับยีนส์เพื่อนอีกคนที่พึ่งมาถึง จะตามไปทีหลังพอเดินเข้าสู่เส้นทางจริง สิ่งแรกที่สะดุดตาคือป้าย
“อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว”
ที่มีคนยืนต่อคิวถ่ายรูปกันเต็มไปหมด ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ — และทริปนี้…ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วจริง ๆ
เปิดม่านผืนป่าแห่งภูสอยดาว
หลังจากเรายื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ตรวจเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินเข้าสู่อุทยานอย่างเต็มตัว เสียงน้ำตกเริ่มดังแว่วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่าเส้นทางธรรมชาติเข้าไปไม่นาน ก็ผ่านซุ้มป้ายไม้ที่เขียนไว้ว่า
“ทางขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาว ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร”
เราเริ่มออกเดินทางจากจุดนั้นตอน 9:30 น. ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินต่อไปตามเสียงของน้ำตก
สายตาก็สะดุดกับธารน้ำตกใสไหลทอดยาวลงมาจากเขา ภาพตรงหน้านั้นสวยเหมือนฉากในสารคดีธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนแบบนี้ น้ำที่หลากลงมาอย่างเต็มที่ ทำให้สายน้ำตกยิ่งดูน่าเกรงขามและเปล่งประกาย
หลังจากเพลิดเพลินกับภาพถ่ายธรรมชาติ พวกเราก็ออกเดินต่อและไม่นานก็เจอกับ ต้นไม้ใหญ่สามต้น ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ เพราะมีผ้าเจ็ดสีพันรอบลำต้น ตรงนี้น่าจะเป็นจุดพิเศษอะไรสักอย่าง
เราเดินต่อไปเส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงกับชันมากพวกเรายังเดินเลาะไปตามสายธารน้ำที่ไหลอยู่ขนาบข้างผ่านสะพานไม้ไผ่เล็กๆ ที่ใช้ข้ามไปอีกฝั่งของลำธาร
พอพ้นสะพานไป เหมือนก้าวเข้าสู่อาณาเขตใหม่จากป่าร่มรื่นริมธารที่มีต้นไม้ใหญ่ประปราย กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นกล้วยป่าขึ้นปกคลุมหนาแน่นรอบตัว
ดูแปลกตาไปอีกแบบ ราวกับเดินเข้าไปในฉากหนังผจญภัย
สวรรค์กลางหมอก ภูสอยดาวหน้าฝน
“นี่มัน…สวรรค์บนดินชัด ๆ”
ดูมวลดอกไม้ก้านยาว กลีบดอกเล็ก ๆ สีม่วงอ่อนที่กำลังชูช่อรับแสงแดดจาง ๆ ท่ามกลางสายหมอกที่พัดเลื่อนผ่านปลายยอดเขาลงมาอย่างอ้อยอิ่ง — นั่นสิ…
ทุ่งหญ้าโล่งสีเขียวที่ขึ้นแซมกันกับกลุ่มต้นสนบนยอดเขาสูง มองไปสุดลูกตาพวกนั้นเหมือนกัน… กำลังมีกลุ่มดอกไม้สีม่วงแปลก ๆ ขึ้นแซม แข่งกันบานรับแสงเต็มเลย!!
เสียงความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมขณะที่กำลังมองภาพถ่ายใบหนึ่งผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ
ดอกไม้ที่มีชีวิตอยู่เพียงปีละครั้งเท่านั้น — ในช่วงหน้าฝนพอถึงปลายตุลาคม พวกเขาก็จะโรยราไปพร้อมกับการสิ้นสุดของฤดูกาล
หลังจากเสียงความคิดในหัวเงียบลง ผมก็หันไปหาผู้ร่วมชะตากรรมที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะข้าง ๆ
“พี่น็อต ดูนี่สิ พี่ว่าสถานที่ในภาพนี้สวยไหม?”
“อืม…สวยดี” พี่น็อตตอบสั้น ๆ พลางยังจ้องจอคอมอยู่
“ไปกันไหม?”
ผมยิงคำถามกลับ เพราะคิดไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้แค่ชมว่าสวยแล้วจบไป
พี่น็อตหันมามองหน้าผมนิ่ง ๆ — เหมือนจะเคยชินกับการโดนชวนแบบนี้อยู่แล้ว
“วันไหน?”
“เดือนหน้า… กันยา ขอเวลาหาวันกับหาคนร่วมทริปแป๊บ”
ผมตอบพลางเริ่มวางแผนในหัวอย่างจริงจัง
ไม่นาน ผมก็กดส่งข้อความหาพี่นารา — รุ่นพี่ที่เคยไปลุย ภูสอยดาว มาเมื่อปีที่แล้ว เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทริปในภาพนั้น
พี่นาราแนะนำว่าให้ไปกับกลุ่ม “พี่จ่า” เพราะบริการและดูแลดีพี่เขาบอกด้วยว่าจะช่วยติดต่อให้
ไม่กี่วันถัดมา กลุ่มจอยทริปก็ถูกตั้งขึ้นในไลน์เราได้รับรายละเอียดทริปพร้อมค่าร่วมเดินทางในราคา 1,300 บาท/คน
(รวมค่าเดินทางไป–กลับ และอาหารเช้า 1 มื้อ)
วันที่ออกเดินทางถูกกำหนดไว้ในคืนวันที่ 13 กันยายน 2567 เวลา 20.00 น.
และจะลุยกิจกรรมกันเต็ม ๆ ในวันที่ 14–15 กันยายน 2567
คืนวันที่ 13 ก.ย.กลุ่มผมมีทั้งหมด 4 คน กับเพื่อนร่วมทางอีก 6 คนจากกลุ่มอื่น รวมแล้วเป็น 10 ชีวิตที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทริปอย่างไม่รู้ตัวเรานัดเจอกันที่จุดจอดรถของ BTS หมอชิต — จุดนัดพบยอดนิยมของนักเดินทางสายป่า ซึ่งทุกคืนวันศุกร์จะคึกคักไปด้วยกระเป๋าเป้ เต็นท์ รองเท้าเดินป่า และแววตาตื่นเต้นของเหล่าบรรดานักเดินทาง
เวลาสองทุ่มรถตู้คันใหญ่ขนาดพอดีมารับพวกเราขึ้นรถ เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ เริ่มพาพวกเราค่อย ๆ ทิ้งกรุงเทพไว้ข้างหลัง มุ่งหน้าสู่จังหวัดอุตรดิตถ์ด้วยระยะทางกว่า 600 กิโลเมตรท่ามกลางแสงไฟจากเมืองที่ค่อย ๆ จางหาย และเปลี่ยนเป็นความมืดสงบของถนนยามค่ำคืน
ช่วงเดือนที่เราเดินทาง ฝนชุกชื้นเอาเรื่องใจก็ได้แต่ภาวนาให้ฟ้าเป็นใจ ไม่ตกลงมาระหว่างทริป เพราะไม่อย่างนั้น จากนักท่องเที่ยวก็จะกลายเป็นผู้ประสบภัยแทน
กระทั่งเวลาประมาณตีห้า เราก็มาถึงจุดหมายแรก ตลาดเช้าเทศบาลตำบลป่าแดงที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเหล่านักเดินป่า เพราะเป็นจุดเติมเสบียงก่อนขึ้นพิชิต ภูสอยดาวตลาดเช้านี้แม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็คึกคัก เต็มไปด้วยนักเดินทางและชาวบ้านที่มาตั้งแผงขายของสด ของพื้นบ้าน ขนม หรือแม้แต่อาหารปิ้งย่างต่าง ๆ
ผมได้หมูปิ้งกับขนมติดมือมาเล็กน้อย เพราะพวกเราคุยกันไว้แล้วว่าจะเน้นมื้อที่เรียบง่าย ส่วน มื้อหลักข้างบน… ก็กะว่าจะฝากท้องไว้กับ ข้าวไข่เจียวจานละ 50 บาท บนยอดอุทยาน นั่นแหละฝั่งตรงข้ามตลาดมีเซเว่นที่คนแน่นเอี้ยด ผมเลยขอผ่าน ไม่แวะดีกว่า
หลังจากที่แต่ละคนซื้อเสบียงกันครบ กลุ่มเราก็ออกเดินทางต่อ รถยังคงไต่ไปตามทางเหมือนกำลังปีนเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้น…ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ผมได้แต่ภาวนาให้หยุดเมื่อไปถึง…
เวลาใกล้หกโมงเช้า ในที่สุดรถก็มาถึงหน้า อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว และโชคดีที่ฝนหยุดตกพอดี
หลังจากลงจากรถ ลุงคนขับที่พวกเราคุ้นหน้าแล้ว บอกว่าใครจะเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า หรืออาบน้ำก่อนก็ไปได้เลย แล้วค่อยรวมกลุ่มไปซื้อตั๋วเข้าอุทยานที่ทำการ ซึ่งจะมีค่ามัดจำขยะบางส่วนด้วย บริเวณที่ทำการอุทยาน บรรยากาศดีมาก ล้อมรอบด้วยป่า และมีธารน้ำสายเล็กไหลลงมาจากเขา
จากนั้นผมกับเพื่อนร่วมทริปอีกคนก็มาซื้อตั๋วเข้าอุทยาน โดยต้องจ่ายค่ามัดจำเพิ่มนิดหน่อย
แต่เรื่องน่าเสียดายคือ… ผมไม่ได้จองถุงนอนและแผ่นรองนอนไว้ก่อนเลยไปสอบถามเจ้าหน้าที่เช่า แต่ก็ได้รับคำตอบว่าเต็มหมดแล้ว ทางเดียวคือลุ้นเอาบนยอดภู
โชคดีที่กลุ่มเราพกเต็นท์มาด้วยคนละหลัง และยังยัดลงถุงพลาสติกมาแบบลวกๆ เราจึงตัดสินใจจ้างลูกหาบแบกขึ้นไป ส่วนเป้สัมภาระแต่ละคนแบกกันเอง
จนกระทั่งใกล้ เจ็ดโมงเช้า เราได้คิวลูกหาบ และเตรียมออกเดินทางต่อ โดยต้องนั่งรถจากที่ทำการเข้าไปยัง จุดเริ่มต้นเดินป่า ระยะห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตรระหว่างนั้น บูน(เพื่อนร่วมทริป)บอกว่าจะมีเพื่อนเขามาจอยทริปด้วยอีกคน ขับรถมาคนเดียว เรารอกันสักพักจนเพื่อนอีกคนมาถึง แล้วก็พากันนั่งรถตู้เข้าอุทยานไปพร้อมกัน
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นเดินขึ้นภูสอยดาว บริเวณตีนเขามีร้านอาหารของคนท้องถิ่น เป็นร้านเล็ก ๆ บางร้านเปิดขายอาหารตามสั่ง ส้มตำ และเครื่องดื่มต่าง ๆ ทางทริปมี อาหารเช้าฟรี กลุ่มเราจึงนั่งกินกันให้เต็มที่ก่อนเดินขึ้น เพราะรู้ดีว่าเส้นทางข้างหน้าต้องใช้พลังกายอีกเยอะ
หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย เราก็ แบ่งกลุ่มออกเดิน ผม พี่ต้น และพี่น็อต ลุยไปก่อน ส่วน บูนกับยีนส์เพื่อนอีกคนที่พึ่งมาถึง จะตามไปทีหลังพอเดินเข้าสู่เส้นทางจริง สิ่งแรกที่สะดุดตาคือป้าย
“อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว”
ที่มีคนยืนต่อคิวถ่ายรูปกันเต็มไปหมด ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ — และทริปนี้…ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วจริง ๆ
“ทางขึ้นสู่ลานสนภูสอยดาว ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร”
เราเริ่มออกเดินทางจากจุดนั้นตอน 9:30 น. ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเดินต่อไปตามเสียงของน้ำตก
สายตาก็สะดุดกับธารน้ำตกใสไหลทอดยาวลงมาจากเขา ภาพตรงหน้านั้นสวยเหมือนฉากในสารคดีธรรมชาติ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนแบบนี้ น้ำที่หลากลงมาอย่างเต็มที่ ทำให้สายน้ำตกยิ่งดูน่าเกรงขามและเปล่งประกาย
หลังจากเพลิดเพลินกับภาพถ่ายธรรมชาติ พวกเราก็ออกเดินต่อและไม่นานก็เจอกับ ต้นไม้ใหญ่สามต้น ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ เพราะมีผ้าเจ็ดสีพันรอบลำต้น ตรงนี้น่าจะเป็นจุดพิเศษอะไรสักอย่าง
เราเดินต่อไปเส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงกับชันมากพวกเรายังเดินเลาะไปตามสายธารน้ำที่ไหลอยู่ขนาบข้างผ่านสะพานไม้ไผ่เล็กๆ ที่ใช้ข้ามไปอีกฝั่งของลำธาร
พอพ้นสะพานไป เหมือนก้าวเข้าสู่อาณาเขตใหม่จากป่าร่มรื่นริมธารที่มีต้นไม้ใหญ่ประปราย กลับกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นกล้วยป่าขึ้นปกคลุมหนาแน่นรอบตัว
ดูแปลกตาไปอีกแบบ ราวกับเดินเข้าไปในฉากหนังผจญภัย