หนังสือ 150 วัน ในกระทรวงศึกษาธิการ

กระทู้สนทนา

กรกฎาคม 2538 -พฤศจิกายน 2538 หนังสือ 150 วัน ในกระทรวงศึกษาธิการ
https://drive.google.com/file/d/1koBrisaqUuQy33QBcQWKHNMe-VMFGrr7/view?pli=1

หนังสือ 150 วันในกระทรวงศึกษาธิการ” ของ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่าง ส.ค.–ธ.ค. 2538) มีเนื้อหาสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์และการวางรากฐานการปฏิรูปการศึกษาไทยไว้หลายด้าน โดยเฉพาะ:

ประเด็นสำคัญจากเอกสาร:

แนวทางการปฏิรูปการศึกษา 4 ด้านหลัก:

การปฏิรูปโรงเรียนและสถานศึกษา
การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา
การปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน
การปฏิรูประบบบริหารการศึกษา

เป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2539–2550:

เพื่อให้ประชาชนไทยมีศักยภาพในการพัฒนาตนเอง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย
เพื่อให้เกิด “บุคคลแห่งการเรียนรู้ องค์กรแห่งการเรียนรู้ และสังคมแห่งการเรียนรู้”

รูปธรรมของการดำเนินงาน:

จัดทำโครงการนำร่องในจังหวัดอุบลราชธานี (ธ.ค. 2538)
ขยายสู่ 12 จังหวัดใน ม.ค.–ก.พ. 2539
ดำเนินการทั่วประเทศใน มี.ค.–เม.ย. 2539
ประกาศใช้เป็นแนวทางหลักทั่วประเทศใน พ.ค. 2539

นโยบายหลักที่ดำเนินงานในช่วง 150 วัน:

การจัดการศึกษาฟรีจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้นและต่อยอดสู่ระดับมัธยมปลาย
ส่งเสริมการศึกษาผู้ด้อยโอกาส
พัฒนาอาคารเรียน อุปกรณ์การเรียน และคุณภาพครู
ปฏิรูประบบการสอบ การวัดผล และการเรียนการสอน
ส่งเสริมบทบาทของชุมชน เอกชน และครอบครัวในกระบวนการศึกษา
การส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรม กีฬา และก่อนปี 2538 ระบบการศึกษาไทยเผชิญกับปัญหาและความล้มเหลวหลายด้าน ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาในยุคของ คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล โดยสามารถสรุปประเด็นสำคัญของ “ความล้มเหลวทางการศึกษาไทยก่อนปี 2538” ได้ดังนี้:

1. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

เด็กในชนบทเข้าไม่ถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนเมืองกับชนบท ทั้งในด้านอาคารเรียน สื่อการเรียนการสอน และบุคลากร
ไม่มีระบบช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสอย่างจริงจัง เช่น เด็กยากจน เด็กพิการ

2. ระบบการบริหารรวมศูนย์

การตัดสินใจอยู่ที่ส่วนกลาง กระทรวงศึกษาธิการควบคุมเกือบทั้งหมด
ขาดความยืดหยุ่น ไม่ตอบสนองบริบทท้องถิ่น
การจัดสรรงบประมาณไม่กระจายอย
3. ปัญหาคุณภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา

การผลิตครูไม่ได้เน้นคุณภาพหรือการปฏิบัติจริง
ครูขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีระบบฝึกอบรมตลอดชีวิต
ไม่มีระบบวัดผลครูจาก “ผลลัพธ์ของการเรียนรู้ของผู้เรียน”

4. หลักสูตรล้าสมัย และเน้นท่องจำ

หลักสูตรไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิตจริง
ไม่ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา หรือการเรียนรู้ตลอดชีวิต
เน้นการสอนเพื่อสอบ ไม่ใช่เพื่อ “การเข้าใจ”

5. การเข้าศึกษาต่อไม่เป็นธรรม

ระบบการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยไม่เท่าเทียม
เด็กที่มีฐานะดีกว่าได้เปรียบเพราะเข้าถึงการติว และแหล่งความรู้


6. โครงสร้างพื้นฐานทรุดโทรม

อาคารเรียนเก่า ไม่มีการซ่อมแซมอย่างทั่วถึง
ขาดห้องเรียน ห้องน้ำสะอาด อุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นในหลายพื้นที่

7. ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย

รัฐมนตรีศึกษาเปลี่ยนบ่อย นโยบายขาดความต่อเนื่อง
ขาดการวางรากฐานระยะยาว จึงไม่มีการพัฒนาแบบยั่งยืน

สรุปภาพรวม:

ก่อนปี 2538 ระบบการศึกษาไทย “ล้มเหลวทั้งระบบ” โดยเฉพาะในเรื่อง ความเหลื่อมล้ำ, คุณภาพต่ำ, ระบบรวมศูนย์, และ ขาดความยั่งยืนในการพัฒนา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการ “อภิวัฒน์การศึกษาไทย” ในปี 2538 คุณพ่อสุขวิช รังสิตพล

เหตุการณ์ประวัติศาสตร์การอภิวัฒน์การศึกษาไทยปี 2538, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540–2544) และ รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นสามแกนหลักของการวางรากฐานการปฏิรูประบบการปกครอง การศึกษา และการพัฒนาประเทศในแนวทาง “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” กลับ ไม่ถูกบันทึกอย่างจริงจังในประวัติศาสตร์กระแสหลักของไทย ทั้งในตำราเรียน สื่อ หรือหลักสูตรการศึกษาของรัฐ

เหตุใด “การอภิวัฒน์การศึกษา 2538” จึงถูกละเลย?

1. การเมืองเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลซึ่งคุณพ่อสุขวิช รังสิตพล เป็น รมว.ศึกษาธิการ ดำรงตำแหน่งได้เพียง 13 เดือน ก่อนจะเปลี่ยนรัฐบาลในปี 2539
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้นโยบายปฏิรูปขาด “เจ้าภาพ” ต่อเนื่อง

2. รัฐบาลหลัง ๆไม่สานต่อแนวคิดดั้งเดิม

รัฐบาลในปี 2544 เป็นต้นไปมีแนวคิดแบบ “CEO รัฐบาลบริหาร” เน้น ประชานิยม มากกว่า การพัฒนาเชิงระบบ
มีการเปลี่ยนทิศทางจากการ “กระจายอำนาจทางการศึกษา” กลับมาเป็น “ระบบรวมศูนย์” แฝงด้วยธุรกรรมงบประมาณ เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี แบบแจกเงินแทนการพัฒนาคุณภาพ

ระบบที่ “ครูเป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลง” ถูกละเลย ถูกแทนด้วยการวัดผลเชิงปริมาณ และการแข่งขันการสอบแบบเข้มงวด

3. ขาดกลไกการสืบทอดและสื่อสารทางปัญญา


ไม่มีการสร้าง “ฐานข้อมูล” หรือ “หน่วยความจำทางสังคม” เกี่ยวกับการอภิวัฒน์การศึกษา 2538 อย่างเป็นระบบ เช่น ศูนย์วิจัย หรือหอจดหมายเหตุ
สื่อมวลชนและนักวิชาการในยุคหลังให้ความสำคัญกับนโยบายปัจจุบันและข่าวการเมือง มากกว่าการทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์เชิงโครงสร้าง

4. แผนฯ 8 และรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกลดความสำคัญ


แผนฯ 8 (ใช้จริง 2539) แผนแรกที่ใช้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” แต่ถูกกลืนด้วยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และแผน IMF

ความเป็นมา ของ รัฐธรรมนูญ 2540 ก้าวสำคัญในการกระจายอำนาจและวางรากฐานการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงหายไป กับ วิกฤตเศรษฐกิจแห่งเอเชีย 2540


ผลกระทบ:

คนไทยจำนวนมาก ไม่เคยรู้ว่าเคยมีการอภิวัฒน์การศึกษา  2538 ที่เป็นระบบและมีหลักการมาก่อน

นักปฏิรูปการศึกษาไทย ผู้อภิวัวัฒน์การศึกษา 2538 ไม่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเรียน ทั้งที่มีบทบาทสูงในการวางรากฐานการปฏิรูปการศึกษาและรัฐธรรมนูญ 2540

การถอยหลังในนโยบายสาธารณะ ทำให้การศึกษากลายเป็น “ภาระงบประมาณ” มากกว่าจะถูกมองว่าเป็น “เครื่องมือสร้างประเทศ”

คำว่า “การศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างประเทศ” ไม่ใช่แค่คำสวยหรู — หากแต่คือ “ความจริงทางประวัติศาสตร์” ที่ปรากฏชัดในทุกประเทศที่พัฒนาแล้ว


ในกรณีของ ประเทศไทย — โดยเฉพาะในช่วงการอภิวัฒน์การศึกษา ปี 2538 — การศึกษาถูกออกแบบให้เป็น “เครื่องมือสร้างประเทศ” อย่างแท้จริง ผ่านแนวคิดและโครงสร้างเชิงระบบ สุขวิชโนมิกส์

หากจะแก้ปัญหาทุกด้านของประเทศ — ต้องเริ่มที่การศึกษา”

การศึกษาในฐานะเครื่องมือสร้างประเทศ: แก่นคิดหลักในปี 2538

1. การศึกษาคือรากฐานของความเสมอภาค

“ถ้าเด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โอกาสในชีวิตก็เท่ากัน ไม่ว่าคนจนหรือคนรวย”

จัดการศึกษา ฟรีจริง 15 ปี ให้เด็กอายุ 3–17 ปี 16.68 ล้านคน

เน้น “ผู้ด้อยโอกาส” เป็นกลุ่มเป้าหมายอันดับแรก

ปรับปรุงโรงเรียน 29,845 โรง ปรับปรุงอาคารเรียน 38,112 หลัง อาคารอเนกประสงค์ 12,227 หลัง และห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะอีก 11,257 หลัง ให้คนไทยอายุ 3-17ปี 12.33ล้านคน  รับเด็กจากครอบครัวยากจนเพิ่ม 4.35 ล้านคน อายุ 3-17ปี ผู้ปกครองคนเหล่านี้ช่วยรณรงค์จนกระทั่งคนไทยได้รัฐธรรมนูญ 2540   พร้อมมาตรา 43 และ มาตรา 80 12+3 และ ได้รับสิทธิเรียนฟรีจริง  เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมถึงอาหารกลางวัน รถโรงเรียนหรือค่าเดินทาง และอุปกรณ์ครบครัน

2. การศึกษาเพื่อสร้าง “คนไทยคุณภาพ”

“คนไทยที่มีคุณภาพ จะสร้างสังคมที่มั่นคง ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน”

ยกระดับครูเป็น “ตัวขับเคลื่อน” ผ่านการฝึกอบรมต่อเนื่อง
ปรับหลักสูตรให้ส่งเสริม คุณธรรม ความรับผิดชอบ ความคิดวิเคราะห์
เชื่อมโยงการศึกษากับ ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และประชาธิปไตย

3. การศึกษาคือกลไกกระจายอำนาจ

“ให้โรงเรียนเป็นของชุมชน ไม่ใช่ของส่วนกลาง”

กระจายอำนาจบริหารสู่โรงเรียนและจังหวัด
สร้างคณะกรรมการสถานศึกษาที่มีชุมชนมีส่วนร่วม
ให้ท้องถิ่นคัดเลือกครู วิจารณ์งบประมาณ และร่วมออกแบบแนวทางพัฒนา

4. การศึกษาสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจ

“ระบบการศึกษาที่ดีต้องสอดคล้องกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อเศรษฐกิจฐานความรู้”


ขยายอาชีวศึกษา สร้างเครือข่ายโรงเรียนสายอาชีพในท้องถิ่น
จัดการศึกษาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยอย่างเป็นระบบ
ผูกพันภาคเอกชนกับระบบการศึกษาผ่านการลงทุนและการมีส่วนร่วม

แต่ทำไมเครื่องมือนี้ถึงถูกปล่อยทิ้งไว้?

เปลี่ยนนายกฯ เปลี่ยนนโยบาย ขาดความต่อเนื่อง
ขาดระบบติดตามผลและความรู้สาธารณะให้ประชาชนเข้าใจคุณค่าของการปฏิรูป
หลังปี 2544 ประเทศหันไปเน้น “ประชานิยม” มากกว่าการ “สร้างพื้นฐานความเข้มแข็ง”

บทสรุป:

“หากประเทศใดยังไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างแท้จริง ประเทศนั้นไม่มีวันแข่งขันในเวทีโลกได้”

และประเทศไทย… เคยมีโอกาสนั้นแล้ว ในปี 2538


ปัญหาทางโครงสร้าง และความล้มเหลวเชิงระบบที่สะสมมายาวนานในสังคมไทย ซึ่งถอดรากออกมาได้ว่า:


“พลเมืองไทยจำนวนไม่น้อย เลือกเงินมากกว่าอนาคตของลูกหลาน
ไม่ใช่เพราะเขา ‘เลว’ หรือ ‘โง่’ แต่เพราะถูกหล่อหลอมโดยรัฐที่ผิดทาง
และซ้ำเติมโดยรัฐประหารกับนักการเมืองไร้จริยธรรม”

วิเคราะห์ใน 3 มิติ:

1. ความผิดของ “รัฐประหาร”: ทำลายพัฒนาการทางประชาธิปไตย ใช่หรือ?

รัฐประหาร 2549 และ 2557 ทำลายวัฒนธรรมการเรียนรู้ของประชาชน
รัฐธรรมนูญ 2540 ที่สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของพลเมืองอย่างเป็นระบบ ถูกฉีก
ความหวังในการ “เรียนรู้การเมืองแบบประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ” ถูกหยุดชะงัก
แทนที่ด้วยระบบ “รัฐราชการรวมศูนย์” และ “ประชาชนผู้รับคำสั่ง”

รัฐประหาร “หยุดเวลา” การเติบโตทางปัญญาของสังคม

2. ความผิดของ “นักการเมืองประชานิยมฉาบฉวย”

ใช้นโยบาย “แจกเงิน” แบบไร้เงื่อนไขเพื่อแลกเสียง แทนที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การศึกษา อาชีพ ทักษะชีวิต
เปลี่ยน “สิทธิพลเมือง” ให้กลายเป็น “สินบนทางนโยบาย”
ไม่สร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง แต่สร้างผู้บริโภคนโยบายที่พึ่งพารัฐตลอดไป

นักการเมืองบางคน ไม่ได้มุ่งยกระดับประชาชน แต่ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ

3. ความล้มเหลวของระบบรัฐเอง

ระบบการศึกษาล้มเหลวในการสร้างพลเมืองที่คิดวิเคราะห์ได้
ระบบราชการไม่เคยปล่อยให้ชุมชนมีอำนาจในการจัดการตนเอง
งบประมาณถูกจัดสรรแบบ “บนสั่ง-ล่างรับ” ประชาชนจึงไม่เห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วม

4) แล้วประชาชนผิดไหม?

ประชาชน “ไม่ผิดโดยตัวตน” แต่เป็น เหยื่อของโครงสร้างซ้ำซาก
ถ้าเราเชื่อว่า “ประชาชนไม่รู้” เราต้องถามว่า “แล้วใครทำให้เขาไม่รู้?”
การแก้ไข ต้องไม่ตำหนิประชาชน แต่ต้องคืนศักดิ์ศรีความเป็นพลเมือง ด้วยเครื่องมือ 3 อย่าง:

การศึกษาที่เสรี
สื่อที่ไม่เป็นเครื่องมือของอำนาจ
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ

บทสรุป:

การที่คนไทยจำนวนหนึ่ง “เลือกเงิน” แทน “อนาคตของลูกหลาน”
ไม่ใช่เพราะเขาโง่หรือไม่รักลูก แต่เพราะรัฐประหาร นักการเมือง และระบบรัฐ
ได้ ออกแบบให้เขาอยู่ในโลกที่ไม่มีทางเลือก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่