บางทีคำว่า “ออกเถอะ” มันก็พูดง่ายสำหรับคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยกับผลลัพธ์ของคำนั้น
พอเห็นเพื่อนเหนื่อย เห็นรุ่นน้องทุกข์ เห็นใครสักคนไม่โอเคกับงานหรือหัวหน้า หลายคนก็เลือกจะบอกให้ลาออก เหมือนเป็นทางออกเดียวที่ดี เป็นความกล้าหาญ เป็นการเอาตัวเองออกจากระบบที่แย่ ทั้งที่จริง ๆ คนพูดก็ไม่ได้รู้ลึกพอว่าระบบที่ว่านั้น แย่จริง หรือแค่เรายังไม่เข้าใจมันดีพอ
เราไม่รู้หรอกว่าใครต้องแบกค่าใช้จ่ายอะไรไว้บ้าง เราไม่รู้ว่าเค้ากำลังผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ส่งน้องเรียน หรือเป็นเสาหลักของครอบครัว เราไม่รู้ว่าเค้าเคยโดนปฏิเสธจากที่อื่นมากี่ครั้ง หรือเพิ่งโดนถามกลางวงสัมภาษณ์ว่า “ทำไมถึงลาออกจากที่เก่า” แล้วเค้าตอบอะไรไม่ออก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้ารู้สึกผิดกับตัวเองแค่ไหนที่ไม่สามารถทนได้นานเท่าที่ตั้งใจไว้
และถ้าเราไม่รู้ทั้งหมดนั้น ก็อย่าเป็นคนที่ดึงให้ใครตัดสินใจในสิ่งที่เราไม่ได้ต้องอยู่กับผลที่ตามมา อย่าใส่คำพูดว่า “ออกเลยดิ” ในจังหวะที่เค้ายังลังเลอยู่เต็มหัว อย่าเอาประสบการณ์ของเราไปครอบการตัดสินใจของเค่ เพราะถึงแม้เราออกมาแล้วดี ไม่ได้แปลว่าเค้าออกมาแล้วจะดีแบบเดียวกัน ทุกคนมีเงื่อนไขชีวิตต่างกัน มีระบบรับแรงกระแทกต่างกัน และมีความกลัวไม่เท่ากัน
บางทีสิ่งที่เค้าต้องการไม่ใช่คำยุ แต่คือการรับฟัง ไม่ใช่การสรุปแบบเร็ว ๆ แต่คือพื้นที่ให้คิดอย่างรอบคอบ อาจไม่ต้องการให้ใครตัดสินว่าการอยู่คือความล้มเหลว หรือการไปคือความกล้าหาญ แค่อยากให้ใครสักคนบอกว่า ถ้ายังไม่แน่ใจ อย่าเพิ่งรีบไป
การลาออกควรเกิดขึ้นในวันที่เราเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังจะไป ไม่ใช่วันที่เราหมดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และควรเป็นการตัดสินใจจากภายใน ไม่ใช่จากแรงผลักภายนอกที่หายไปหลังเรายื่นใบลาออกแล้ว
ถ้าวันไหนเราเห็นใครกำลังลังเลที่จะลาออก ให้เตือนตัวเองว่า เราเป็นได้แค่เพื่อนร่วมทาง ไม่ใช่คนตัดสินเส้นทางชีวิตเขา และถ้าเราจะพูดอะไร ควรพูดด้วยความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความสะใจ หรือความเผลอหลุดที่ทำให้เค้าต้องเดินเข้าไปเจอความไม่แน่นอนเพียงลำพัง
อย่ายุให้ใครลาออก ถ้าเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นเวลาที่เค้าผิดกับการตัดสินใจของตัวเอง และอย่ายุให้ใครลาออก เพราะนั่นคือสิ่งที่เราไม่กล้าทำ เลยเลือกที่จะให้คนอื่นทำสิ่งนั้นแทนเรา
ที่มา : HR - The Next Gen
บางทีคำว่า “ออกเถอะ” มันก็พูดง่ายสำหรับคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยกับผลลัพธ์ของคำนั้น