ภวังคจิต
โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว
คำว่า จิตตกภวังค์ บางท่านอาจไม่เข้าใจ
จึงขออธิบายไว้บ้างเล็กน้อย
คำว่า “ภวังค์” แปลอย่างป่า ๆ ตามนิสัยที่ถนัดใจ
จึงขอแปลว่า องค์แห่งภพ หรือ เรือนพัก
เรือนนอนของอวิชชา มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แสนกัปนับไม่ถ้วน
คำว่า จิตตกภวังค์ คือ
อวิชชารวมตัวเข้าไปอยู่ในที่แห่งเดียว
ไม่ทำงาน และไม่ใช้สมุนให้ออกเที่ยวล่าเมืองขึ้น
ตามสายทางต่าง ๆ นั่นแล
ทางออกทางเข้าของสมุนอวิชชา คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เมืองขึ้นของอวิชชา คือ
รูปร้อยแปด เสียงร้อยแปด กลิ่นร้อยแปด รสร้อยแปด
เครื่องสัมผัสร้อยแปด
ซึ่งล้วนเป็นที่รักชอบของอวิชชาทั้งสิ้น
สมุนของอวิชชา คือ ราคะตัณหา
โดยอาศัย สัญญา สังขาร วิญญาณ
เหล่านี้เป็นเครื่องมือช่วยจัดการงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความหวัง
ขณะที่จิตตกภวังค์ด้วยกำลังของสมาธิ
อวิชชาก็พักงานไปชั่วระยะหนึ่ง
พอจิตถอนขึ้นมาก็เริ่มทำงานอีก ตามหน้าที่ของตน
แต่ไม่รุนแรงเหมือนที่ยังไม่ถูกหักแข้งหักขา จากสมาธิภาวนา
ดังนั้น สมาธิภาวนา
จึงเป็นเครื่องมือตัดพลังของอวิชชาได้ดี
เพื่อ ปัญญาจะได้ทำการกวาดล้างไปโดยลำดับ
จนไม่มีอวิชชาเหลืออยู่ภายในใจ
คำว่า ภวังคจิตนี้ เริ่มทราบได้จากการภาวนา
เมื่อจิตรวมสงบตัวลงไป
พอถอนออกมาเรียกว่า จิตออกจากภวังค์
และเริ่มยุ่งไปกับเรื่องร้อยแปด ที่อวิชชาเป็นผู้บงการ
ไม่มีวันสำเร็จเสร็จสิ้นลงไป
ฉะนั้น จึงไม่มีงานใดจะยืดยาว
จนสืบสาวราวเรื่องหาเหตุผลต้นปลายไม่ได้
เหมือนงานของอวิชชา ที่แผ่กระจายไปทุกแห่งหน
ตำบล หมู่บ้าน ตลอดโลกสงสาร
และกล้าได้กล้าเสียต่องานของตน
รัก ขัง เกลียด โกรธ
เป็นงานประจำของอวิชชา ไม่มีรังเกียจ
พอใจทั้งรัก ทั้งชัง พอใจทั้งเกลียด ทั้งโกรธ
แม้จะมีความทุกข์ทรมานแก่ผู้รับใช้เพียงไร
อวิชชาเป็นไม่ยอม ไม่ถอย
ยุให้รัก ให้ฟัง
ให้เกลียด ให้โกรธ
จนผู้รับผลเกิดความ

ป่นปี้ไปเพราะสิ่งเหล่านี้
อวิชชาก็ไม่ยอมเห็นใจ และสงสาร
บังคับให้ทำ จนผู้รับใช้แหลกลาญไปกับมันนั่นแล
คือความเป็นธรรมของอวิชชาทุก ๆ อวิชชา
ที่มีอยู่ในใจสัตว์โลก
งานที่อวิชชาพาให้ทำนั้น
ไม่มีวันสิ้นเสร็จเหมือนงานอื่น ๆ
นอกจากแตกแขนงกว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ
ไม่มีวันเวลาเป็นกฎเกณฑ์ขอบเขต เท่านั้น
ผู้มีธรรมในใจ เช่นผู้มีสมาธิปัญญาบ้าง
จึงพอเห็นโทษของอวิชชา ที่พาทำงานไม่หยุด
ดังนั้น เมื่อจิตรวมลงสู่ภวังค์
ที่เรียกว่า อวิชชาพักงานชั่วคราว
จึงปรากฏมีความสุขสบาย หายห่วงไปพักหนึ่ง
ตอนที่จิตพักงานนี้
และพอเห็นโทษแห่งความหมุนของตน
ที่มีอวิชชาอยู่หลังฉาก
ซึ่งความหมุนนั้นผิดธรรมดา
ที่อยู่ในภวังค์มากมาย
ขณะที่จิตถอนขึ้นมาใหม่ ๆ
ใจก็ยังมีความสงบเย็นอยู่ด้วย
กำลังของสมาธิหล่อเลี้ยง
จิตมีความสงบ เพราะสมาธิมากเพียงไร
ก็เห็นโทษแห่งความวุ่นวายของอวิชชาเป็นเหตุ มากเพียงนั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติจึงมักติดสมาธิจนไม่สนใจจะแก้
ด้วยวิธีใด ๆ เพราะเป็นความสงบเย็นมาก พอให้ติดได้
สุดท้าย จิตกลับเห็นโทษแห่งความวุ่นวายเพราะอวิชชา
แต่ก็ติดในสมาธิ
ซึ่งเป็นบ้านพักเรือนนอนของอวิชชาจนได้
เพราะไม่มีทางออกซึ่งเห็นว่าดีกว่านี้นี่แล
ผู้ปฏิบัติ
จะเห็นคุณของสติปัญญาอย่างถึงใจก็มาเห็น
ตอนพยายามถอดถอนทำลายอวิชชานี่แล
เพราะนอกจาก สติกับปัญญาแล้ว
ไม่มีเครื่องมือใดสามารถทำลายได้
ภวังคจิตจะสูญสิ้นไปได้เมื่อไร?
ภวังคจิตไม่มีวันสูญสิ้นไปโดยลำพัง
เพราะเป็นแหล่งสร้างภพ สร้างชาติ
สร้างกิเลสตัณหามานาน
และทางเดินของอวิชชา
คือการสร้างภพชาติบนหัวใจสัตว์โลกอยู่ตลอดไป
ไม่มีวันเกียจคร้าน และอิ่มพอ
ผู้ปฏิบัติ ถ้ายังรักสงวนภวังคจิต
และรักฐานแห่งสมาธิของตนอยู่
ไม่คิดหาทางขยับตัวเข้าสู่ปัญญา
เพื่อสอดส่องดูตัวอวิชชา
ที่เปรียบเหมือนนางบังเงาอยู่ในจิต
หรือในภวังคจิต ในสมาธิ
ก็เท่ากับเป็น สมุนของภพชาติ อยู่เรื่อยไป
ไม่มีวันพ้นไปได้
ถ้าต้องการหลุดพ้น
ก็ต้องสร้างสติปัญญาขึ้นกับใจ
จนคล่องแคล่ว แกล้วกล้า
สามารถทำลาย ภวังคจิต
อันเป็นตัวภพชาตินั้นเสีย
ภวังคจิตก็สลายหายซากไปเอง
ผู้จะทราบภวังคจิตได้
ต้องเป็นผู้มี สมาธิอันมั่นคง
และมี สติปัญญาอันหลักแหลม
ภวังคจิต โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว
โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว
คำว่า จิตตกภวังค์ บางท่านอาจไม่เข้าใจ
จึงขออธิบายไว้บ้างเล็กน้อย
คำว่า “ภวังค์” แปลอย่างป่า ๆ ตามนิสัยที่ถนัดใจ
จึงขอแปลว่า องค์แห่งภพ หรือ เรือนพัก
เรือนนอนของอวิชชา มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แสนกัปนับไม่ถ้วน
คำว่า จิตตกภวังค์ คือ
อวิชชารวมตัวเข้าไปอยู่ในที่แห่งเดียว
ไม่ทำงาน และไม่ใช้สมุนให้ออกเที่ยวล่าเมืองขึ้น
ตามสายทางต่าง ๆ นั่นแล
ทางออกทางเข้าของสมุนอวิชชา คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เมืองขึ้นของอวิชชา คือ
รูปร้อยแปด เสียงร้อยแปด กลิ่นร้อยแปด รสร้อยแปด
เครื่องสัมผัสร้อยแปด
ซึ่งล้วนเป็นที่รักชอบของอวิชชาทั้งสิ้น
สมุนของอวิชชา คือ ราคะตัณหา
โดยอาศัย สัญญา สังขาร วิญญาณ
เหล่านี้เป็นเครื่องมือช่วยจัดการงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความหวัง
ขณะที่จิตตกภวังค์ด้วยกำลังของสมาธิ
อวิชชาก็พักงานไปชั่วระยะหนึ่ง
พอจิตถอนขึ้นมาก็เริ่มทำงานอีก ตามหน้าที่ของตน
แต่ไม่รุนแรงเหมือนที่ยังไม่ถูกหักแข้งหักขา จากสมาธิภาวนา
ดังนั้น สมาธิภาวนา
จึงเป็นเครื่องมือตัดพลังของอวิชชาได้ดี
เพื่อ ปัญญาจะได้ทำการกวาดล้างไปโดยลำดับ
จนไม่มีอวิชชาเหลืออยู่ภายในใจ
คำว่า ภวังคจิตนี้ เริ่มทราบได้จากการภาวนา
เมื่อจิตรวมสงบตัวลงไป
พอถอนออกมาเรียกว่า จิตออกจากภวังค์
และเริ่มยุ่งไปกับเรื่องร้อยแปด ที่อวิชชาเป็นผู้บงการ
ไม่มีวันสำเร็จเสร็จสิ้นลงไป
ฉะนั้น จึงไม่มีงานใดจะยืดยาว
จนสืบสาวราวเรื่องหาเหตุผลต้นปลายไม่ได้
เหมือนงานของอวิชชา ที่แผ่กระจายไปทุกแห่งหน
ตำบล หมู่บ้าน ตลอดโลกสงสาร
และกล้าได้กล้าเสียต่องานของตน
รัก ขัง เกลียด โกรธ
เป็นงานประจำของอวิชชา ไม่มีรังเกียจ
พอใจทั้งรัก ทั้งชัง พอใจทั้งเกลียด ทั้งโกรธ
แม้จะมีความทุกข์ทรมานแก่ผู้รับใช้เพียงไร
อวิชชาเป็นไม่ยอม ไม่ถอย
ยุให้รัก ให้ฟัง
ให้เกลียด ให้โกรธ
จนผู้รับผลเกิดความ
อวิชชาก็ไม่ยอมเห็นใจ และสงสาร
บังคับให้ทำ จนผู้รับใช้แหลกลาญไปกับมันนั่นแล
คือความเป็นธรรมของอวิชชาทุก ๆ อวิชชา
ที่มีอยู่ในใจสัตว์โลก
งานที่อวิชชาพาให้ทำนั้น
ไม่มีวันสิ้นเสร็จเหมือนงานอื่น ๆ
นอกจากแตกแขนงกว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ
ไม่มีวันเวลาเป็นกฎเกณฑ์ขอบเขต เท่านั้น
ผู้มีธรรมในใจ เช่นผู้มีสมาธิปัญญาบ้าง
จึงพอเห็นโทษของอวิชชา ที่พาทำงานไม่หยุด
ดังนั้น เมื่อจิตรวมลงสู่ภวังค์
ที่เรียกว่า อวิชชาพักงานชั่วคราว
จึงปรากฏมีความสุขสบาย หายห่วงไปพักหนึ่ง
ตอนที่จิตพักงานนี้
และพอเห็นโทษแห่งความหมุนของตน
ที่มีอวิชชาอยู่หลังฉาก
ซึ่งความหมุนนั้นผิดธรรมดา
ที่อยู่ในภวังค์มากมาย
ขณะที่จิตถอนขึ้นมาใหม่ ๆ
ใจก็ยังมีความสงบเย็นอยู่ด้วย
กำลังของสมาธิหล่อเลี้ยง
จิตมีความสงบ เพราะสมาธิมากเพียงไร
ก็เห็นโทษแห่งความวุ่นวายของอวิชชาเป็นเหตุ มากเพียงนั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติจึงมักติดสมาธิจนไม่สนใจจะแก้
ด้วยวิธีใด ๆ เพราะเป็นความสงบเย็นมาก พอให้ติดได้
สุดท้าย จิตกลับเห็นโทษแห่งความวุ่นวายเพราะอวิชชา
แต่ก็ติดในสมาธิ
ซึ่งเป็นบ้านพักเรือนนอนของอวิชชาจนได้
เพราะไม่มีทางออกซึ่งเห็นว่าดีกว่านี้นี่แล
ผู้ปฏิบัติ
จะเห็นคุณของสติปัญญาอย่างถึงใจก็มาเห็น
ตอนพยายามถอดถอนทำลายอวิชชานี่แล
เพราะนอกจาก สติกับปัญญาแล้ว
ไม่มีเครื่องมือใดสามารถทำลายได้
ภวังคจิตจะสูญสิ้นไปได้เมื่อไร?
ภวังคจิตไม่มีวันสูญสิ้นไปโดยลำพัง
เพราะเป็นแหล่งสร้างภพ สร้างชาติ
สร้างกิเลสตัณหามานาน
และทางเดินของอวิชชา
คือการสร้างภพชาติบนหัวใจสัตว์โลกอยู่ตลอดไป
ไม่มีวันเกียจคร้าน และอิ่มพอ
ผู้ปฏิบัติ ถ้ายังรักสงวนภวังคจิต
และรักฐานแห่งสมาธิของตนอยู่
ไม่คิดหาทางขยับตัวเข้าสู่ปัญญา
เพื่อสอดส่องดูตัวอวิชชา
ที่เปรียบเหมือนนางบังเงาอยู่ในจิต
หรือในภวังคจิต ในสมาธิ
ก็เท่ากับเป็น สมุนของภพชาติ อยู่เรื่อยไป
ไม่มีวันพ้นไปได้
ถ้าต้องการหลุดพ้น
ก็ต้องสร้างสติปัญญาขึ้นกับใจ
จนคล่องแคล่ว แกล้วกล้า
สามารถทำลาย ภวังคจิต
อันเป็นตัวภพชาตินั้นเสีย
ภวังคจิตก็สลายหายซากไปเอง
ผู้จะทราบภวังคจิตได้
ต้องเป็นผู้มี สมาธิอันมั่นคง
และมี สติปัญญาอันหลักแหลม