‘ศุภโชติ’ จี้นายกฯ เคาะ ลดค่าไฟ ตามสัญญา-เบรกซื้อไฟหมุนเวียน ประชุม กพช.
.
.
วันนี้ (6 พฤษภาคม) ศุภโชติ ไชยสัจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เรียกร้องให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2568 ตามแนวทางปฏิรูปโครงสร้างพลังงานที่เคยหาเสียงไว้ และยุติโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีข้อกังขา ในการประชุม กพช. ที่จะมีขึ้นในวันนี้
.
ศุภโชติ กล่าวว่า การประชุม กพช. วันนี้มีวาระสำคัญในการพิจารณากรอบการปรับค่าไฟฟ้าสำหรับงวดปลายปี (ก.ย.-ธ.ค. 68) ซึ่งสังคมกำลังจับตามองว่า รัฐบาลจะดำเนินมาตรการลดค่าไฟฟ้าด้วยวิธีที่ยั่งยืนตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้หรือไม่ หลังจากที่การลดค่าไฟฟ้าในรอบก่อนหน้า (พ.ค.-ส.ค. 68) ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วยนั้น เป็นเพียงการนำเงินส่วนเกินที่การไฟฟ้าเคยจัดเก็บจากประชาชนในอดีต (claw back) มาใช้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
.
“เมื่อใช้เงินเก่ากลบค่าไฟแพง แต่ไม่กล้าแตะโครงสร้างที่ทำให้ค่าไฟแพงซ้ำซาก ถ้าเงิน claw back หมด ประชาชนก็ต้องกลับมาจ่ายแพงเหมือนเดิม” ศุภโชติกล่าว
.
สส. พรรคประชาชน ได้ทวงถามถึง 3 แนวทางปฏิรูปโครงสร้างพลังงานที่รัฐบาลเคยหาเสียงและแถลงนโยบายไว้ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า ได้แก่:
.
1. การทบทวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีลักษณะเอื้อประโยชน์เอกชนเกินควร เช่น สัญญาแบบ Adder และ FiT
2. การลดภาระค่าใช้จ่ายในสัญญารับซื้อไฟฟ้าระยะยาว โดยเฉพาะค่าความพร้อมจ่าย (AP) และค่าพลังงานไฟฟ้า (EP) ที่รัฐต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าเอกชนแม้ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า
3. การปรับปรุงระบบบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าให้มีการเลือกใช้แหล่งพลังงานที่มีต้นทุนต่ำที่สุดก่อนอย่างแท้จริง
.
ศุภโชติ ระบุว่า ไม่เพียงแต่รัฐบาลจะยังไม่ดำเนินการปฏิรูปตามที่เคยประกาศไว้ แต่ยังเดินหน้าลงนามในสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเพิ่มเติม โดยไม่คำนึงถึงภาระต้นทุนที่ประชาชนต้องแบกรับในระยะยาว
.
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาในการประชุม กพช. วันนี้ คือการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ ปริมาณกว่า 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้ง เนื่องจากมีข้อกังขาเรื่องราคารับซื้อที่อาจสูงเกินจริง คาดว่าผลการตรวจสอบจะถูกนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมในวันนี้
.
“คำถามคือ หากผลการตรวจสอบชี้ว่า ‘ไม่พบความผิดทางกฎหมาย’ แต่มีความชัดเจนว่าเป็นการเอื้อประโยชน์เอกชนและส่งผลเสียต่อประชาชนในระยะยาว นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กพช. จะกล้าตัดสินใจยุติโครงการหรือไม่ หรือจะอ้างว่าจำเป็นต้องเดินหน้า เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโครงการ 5,200 เมกะวัตต์ก่อนหน้านี้” ศุภโชติตั้งคำถาม
.
ศุภโชติเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกล้าตัดสินใจเพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยระงับการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการพลังงานลม 5,200 เมกะวัตต์ ในส่วนที่ยังไม่ได้มีการลงนาม และเสนอให้พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Direct PPA เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถซื้อไฟฟ้าโดยตรงจากผู้ผลิตในราคาที่ถูกลง
.
“ค่าไฟฟ้ารอบ ก.ย.-ธ.ค. 68 จะลดลงจริงด้วยโครงสร้างที่เป็นธรรมตามที่เคยหาเสียงไว้ หรือเป็นแค่การเล่นแร่แปรเลขอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินเก่าที่ใกล้หมดหรือการยืดหนี้ก็แล้วแต่ ถ้ารัฐบาลยังใช้กลยุทธ์เดิม ๆ และไม่กล้าปฏิรูประบบพลังงานอย่างแท้จริง ประชาชนจะต้องทนกับค่าไฟแพงไปอีกหลายสิบปี” ศุภโชติกล่าวทิ้งท้าย
.
.
BRN แถลงเสียใจ เหตุรุนแรงปาตานี ยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน ขอเดินหน้าสู้ ภายใต้กรอบสิทธิมนุษยชน
https://www.matichon.co.th/local/news_5169917
.
BRN แถลงเสียใจ เหตุรุนแรงปาตานี ยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน พร้อมเดินหน้าสู้ภายใต้กรอบสิทธิมนุษยชน
.
วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ได้ออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปาตานีดารุสซาลาม
.
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ความขัดแย้ง ในปาตานีดารุสซาลาม เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและความทุกข์ทรมานของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทาง BRN ขอแสดงความเสียใจและความเห็นใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่งผลให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและได้รับความเดือดร้อน โดย BRN แสดงความเสียใจและเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมย้ำชัดว่า “เราไม่มีนโยบายโจมตีเป้าหมายพลเรือน”
.
ในแถลงการณ์ฉบับเดียวกัน BRN ยังเน้นย้ำถึงหลักการของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี โดยยึดมั่นในสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง และจะดำเนินการต่อสู้ภายใต้กรอบของสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
.
BRN ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ทุกรูปแบบ และเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างโปร่งใส พร้อมทั้งเชิญชวนให้ทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาลไทยและกลุ่มติดอาวุธ หลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อประชาชน
.
แถลงการณ์ระบุว่า “การต่อสู้ของพวกเรามีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนปาตานี มิใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัว” และปิดท้ายด้วยการเชิญชวนให้ทุกฝ่าย “ยืนหยัดร่วมกันด้วยสันติและปัญญา”
.
แถลงการณ์ฉบับนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบเป็นระยะ แม้จะมีความพยายามจากหลายฝ่ายในการเจรจาสันติภาพตลอดหลายปีที่ผ่านมา
.
.
ค้านแหลก! แนวคิดคลังขึ้นแวตรีดเลือดคนตัวเล็ก ถามมันใช่เวลามั้ย? แนะตั้งกองทุนแสนล้าน
https://www.dailynews.co.th/news/4679297/
.
ค้านแหลก! แนวคิดคลังขึ้นแวตรีดเลือดกับคนตัวเล็ก ชี้มันใช่เวลามั้ย ท่ามกลางสารพัดปัจจัยเสี่ยง แนะตั้งกองทุนแสนล้านเร่งเอสเอ็มอีปรับตัว
.
นาย
ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงกรณีกระทรวงการคลังมีแนวคิดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากผู้ประกอบการที่มีรายได้ขั้นต่ำ 1.5 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่จะเก็บเฉพาะผู้ประกอบการที่มีรายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปีขึ้นไปว่า ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีอีกครั้ง ไม่น่าใช่เวลามาเก็บภาษีกับรายเล็ก รายน้อย รายย่อย เนื่องจากปัจจุบันนี้อยู่ในช่วงสถานการณ์มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง ประกอบกับหนี้ภาคธุรกิจของเอสเอ็มอี และหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งทุน ยังเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจ เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว กำลังซื้อภายในประเทศลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศจีน ทั้งที่มาแบบถูกกฏหมาย และใช้นอมินีถือหุ้น และยังมีสงครามการค้าอีก
.
สำหรับสิ่งที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยคาดหวังให้รัฐบาลเร่งดำเนิน คือ มาตรการในการบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งการปราบนอมินีที่ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งขอให้จัดตั้งกองทุนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% แบ่งเป็น 3 กอง
.
กองที่ 1 วงเงิน 50,000 ล้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป โดยมีวงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย
.
กองที่ 2 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการปรับตัว โดยมีวงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย
.
กองที่ 3 วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี โดยมีวงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย
.
นอกจากนี้ควรเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยการลงทุนในเมกะโปรเจกส์ต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโคราช-หนองคาย-จีน โครงการรถไฟทางคู่สายใต้เพื่อเชื่อมต่อกับโครงการแลนด์บริดจ์ หรือแม้แต่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ถ้ามีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบในด้านลบไว้รอบคอบแล้ว รวมทั้งการเร่งลงทุน เพื่อให้เม็ดเงินสะพัด และกระตุ้นการบริโภคเป็นสิ่งจำเป็นมาก
.
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ระหว่างจีน และสหรัฐ ที่กำลังส่งผลถึงภาคการส่งออกของไทย ที่ใช้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาประเทศมานานแล้ว
.
“
เราปฏิเสธกลุ่มทุนใหญ่ๆที่เข้ามาลงทุนในประเทศไม่ได้ แต่เราบริหารกลุ่มทุนข้ามชาตินี้ได้ อยากให้บังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังกับชาวต่างชาติที่ทำผิดกฏหมาย หรือเป็นกลุ่มทุนเทาอย่างจริงจัง อาจต้องศึกษาข้อกฏหมายของประเทศจีนที่ใช้ปราบปรามกลุ่มที่ทำผิดกฏหมาย แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศ”
.
รวมถึงเคร่งครัดกับบริษัทต่างชาติที่ทำไม่ถูกกฏหมาย เช่น ใช้นอมินีในการถือหุ้นแทนสัดส่วนของคนไทย บทลงโทษตามกฏหมายต้องมีความรุนแรงถึงขั้นยึดทรัพย์ และให้เปิดโอกาสกว้างๆให้กับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนและทำตามกฏหมาย แต่ต้องมาพร้อมกับ งานวิจัยดีๆ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และนวัตกรรมใหม่ๆ และให้ออกกฏหมายเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนเก่งๆจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทย คนกลุ่มนี้จะทำให้ผู้ประกอบการไทยไประดับโลกมากขึ้น”
JJNY : ‘ศุภโชติ’ จี้เคาะ ลดค่าไฟ│BRN ยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน│ค้านแหลก! แนวคิดคลังขึ้นแวตรีดเลือด│ระเบิดสนั่นพอร์ตซูดาน
.
BRN แถลงเสียใจ เหตุรุนแรงปาตานี ยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน ขอเดินหน้าสู้ ภายใต้กรอบสิทธิมนุษยชน
https://www.matichon.co.th/local/news_5169917
.
.
ค้านแหลก! แนวคิดคลังขึ้นแวตรีดเลือดคนตัวเล็ก ถามมันใช่เวลามั้ย? แนะตั้งกองทุนแสนล้าน
https://www.dailynews.co.th/news/4679297/
.
ค้านแหลก! แนวคิดคลังขึ้นแวตรีดเลือดกับคนตัวเล็ก ชี้มันใช่เวลามั้ย ท่ามกลางสารพัดปัจจัยเสี่ยง แนะตั้งกองทุนแสนล้านเร่งเอสเอ็มอีปรับตัว
.
นายณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงกรณีกระทรวงการคลังมีแนวคิดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากผู้ประกอบการที่มีรายได้ขั้นต่ำ 1.5 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่จะเก็บเฉพาะผู้ประกอบการที่มีรายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปีขึ้นไปว่า ต้องการให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีอีกครั้ง ไม่น่าใช่เวลามาเก็บภาษีกับรายเล็ก รายน้อย รายย่อย เนื่องจากปัจจุบันนี้อยู่ในช่วงสถานการณ์มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง ประกอบกับหนี้ภาคธุรกิจของเอสเอ็มอี และหนี้ครัวเรือนที่สูง รวมทั้งการเข้าถึงแหล่งทุน ยังเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจ เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว กำลังซื้อภายในประเทศลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังต้องแข่งขันกับสินค้าจากประเทศจีน ทั้งที่มาแบบถูกกฏหมาย และใช้นอมินีถือหุ้น และยังมีสงครามการค้าอีก
.
สำหรับสิ่งที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยคาดหวังให้รัฐบาลเร่งดำเนิน คือ มาตรการในการบรรเทาความเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งการปราบนอมินีที่ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งขอให้จัดตั้งกองทุนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% แบ่งเป็น 3 กอง
.
กองที่ 1 วงเงิน 50,000 ล้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป โดยมีวงเงินสูงสุด 100 ล้านบาทต่อราย
.
กองที่ 2 วงเงิน 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการปรับตัว โดยมีวงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย
.
กองที่ 3 วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เอสเอ็มอี โดยมีวงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย
.
นอกจากนี้ควรเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยการลงทุนในเมกะโปรเจกส์ต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโคราช-หนองคาย-จีน โครงการรถไฟทางคู่สายใต้เพื่อเชื่อมต่อกับโครงการแลนด์บริดจ์ หรือแม้แต่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ถ้ามีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบในด้านลบไว้รอบคอบแล้ว รวมทั้งการเร่งลงทุน เพื่อให้เม็ดเงินสะพัด และกระตุ้นการบริโภคเป็นสิ่งจำเป็นมาก
.
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ระหว่างจีน และสหรัฐ ที่กำลังส่งผลถึงภาคการส่งออกของไทย ที่ใช้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาประเทศมานานแล้ว
.
“เราปฏิเสธกลุ่มทุนใหญ่ๆที่เข้ามาลงทุนในประเทศไม่ได้ แต่เราบริหารกลุ่มทุนข้ามชาตินี้ได้ อยากให้บังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังกับชาวต่างชาติที่ทำผิดกฏหมาย หรือเป็นกลุ่มทุนเทาอย่างจริงจัง อาจต้องศึกษาข้อกฏหมายของประเทศจีนที่ใช้ปราบปรามกลุ่มที่ทำผิดกฏหมาย แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศ”
.
รวมถึงเคร่งครัดกับบริษัทต่างชาติที่ทำไม่ถูกกฏหมาย เช่น ใช้นอมินีในการถือหุ้นแทนสัดส่วนของคนไทย บทลงโทษตามกฏหมายต้องมีความรุนแรงถึงขั้นยึดทรัพย์ และให้เปิดโอกาสกว้างๆให้กับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนและทำตามกฏหมาย แต่ต้องมาพร้อมกับ งานวิจัยดีๆ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และนวัตกรรมใหม่ๆ และให้ออกกฏหมายเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนเก่งๆจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทย คนกลุ่มนี้จะทำให้ผู้ประกอบการไทยไประดับโลกมากขึ้น”