ประสบการณ์เกือบตายของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งได้พบยมทูตและท่านช่วยไว้จนรอดออกจากความตาย

ขออนุญาตเปิดเผยสาธารณะ ผมจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตที่นึกขึ้นได้ก่อนตาย แต่ผมจะขอให้พวกคุณเก็บเป็นความลับ ผมจะเปิดเผยให้เห็นแค่ครอบครัวของผมเท่านั้น และคนอื่นๆห้ามแชร์กันต่อขอร้อง และผมไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาจริงๆ แค่ผมเก็บเป็นความลับและไม่ได้เล่าให้ใครฟังแต่ต่อไปนี้ผมจะเปิดเผยกับครอบครัวของผม ใครอยากฟังกรุณาอ่านต่อให้จบ ในครั้งหนึ่งของชีวิตผมเกือบได้ผ่านความตายมาแล้ว ผมได้รู้และเรียนรู้ว่าก่อนที่เราจะตายนั้นความตายนั้นทรมานแค่ไหน ผมจะเล่าให้คุณฟังนับจากนี้ ณ วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังสอนลูกศิษย์อยู่ที่โรงเรียน หนึ่ง ณ พัทยา ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมมีลางสังหรณ์ใจว่าผมกำลังจะตาย ผมปวดท้องหนักเพราะว่าผมเป็นโรคกระเพาะและกินเผ็ดมานาน วันนั้นผมไปเข้าห้องน้ำเป็นห้องน้ำนักเรียนที่มีนักเรียนอยู่เต็มไปหมด ห้องน้ำชายนะครับ ตอนนั้นผมได้ฉี่ออกมาและขออนุญาตพูดว่าผมอุจจาระออกมาด้วย แต่ออกมาเป็นลิ่มเลือด หลังจากนั้นผมก็เดินไปบอกธุรการว่า ผมขออนุญาตไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดครับ โดยที่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมเดินไปได้ครึ่งทางก่อนจะถึงโรงพยาบาลไม่มีใครสนใจผมเลยและไม่มีใครพาผมไปโรงพยาบาล ครูในโรงเรียนบอกว่าโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆเดินไปเอง ตอนนั้นผมรู้สึกหวิวๆว่าตัวเองทำไมใจสั่นๆ เมื่อพอเดินไปถึงโรงพยาบาล ผมก็รู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมา ผมรีบเดินเข้าไปที่ศูนย์ช่วยเหลือคนเจ็บป่วยหรือที่เรียกว่าห้องฉุกเฉิน ผมบอกพยาบาลว่าผมมาขอเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด ตอนนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองหน้ามืดและกำลังจะวูบ ผมบอกหมอไปว่าผมถ่ายเป็นลิ่มเลือดและฉี่เป็นลิ่มเลือด และผมรู้สึกว่าตัวเองว่าไม่ไหวแล้วไม่อยากจะไปต่อบนโลกนี้เพราะมันเจ็บมาก ผมจึงรีบบอกหมอว่าผมไม่ไหวแล้วครับ หมอจึงพาไปตรวจเอกซเรย์ และรีบเข้าห้อง ICU ทันที ตอนนั้นก็ไปตรวจเจอโดยการใช้กล้องสอดเข้าไปในท้องเข้าถึงกระเพาะ สุดท้ายก็เจอว่าผมกินเผ็ดมากๆจนกระเพาะเกือบทะลุ และนี่แหละคือเหตุผลที่ผมฉี่และอุจจาระเป็นเลือดในวันนั้น แต่นี่ยังไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะตาย ความจริงแล้วคือว่า ผมอ่ะ ได้รับยามาเยอะมากหลังจากที่เป็นโรคกระเพาะ หลังจากที่ผมฟื้นจากการส่องกล้อง ผมเดินไปที่เคาน์เตอร์รับยา ผมเห็นตัวยาเยอะมาก ผมเลยเดินกลับไปที่ห้องที่ผมนอนอยู่และไปถามหมอว่าตัวยาต้องกินยังไงบ้างครับ หมอบอกว่ากินตามที่บอกเลยค่ะ มีฉลากให้ดูนะคะ ตอนนั้นผมเห็นตัวยามีประมาณ 20 ตัวเพราะเป็นโรคกระเพาะต้องกินยาเยอะมาก ผมก็เลยรู้สึกใจคอไม่ดีและจะเป็นลม ตอนนั้นพยาบาลบอกว่าคนเพิ่งฟื้นขึ้นมานะคะอย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหน จากนั้นเขาก็ดึงตัวผมไปนอนบนที่นอนต่อแล้วก็ให้กินข้าวต้ม พอหลังจากนั้นผมฟื้นแล้วผมได้กลับไปที่โรงเรียนต่อและหลังจากนั้นเพื่อนๆที่โรงเรียนก็บอกว่าอ้าวบูมหายแล้วหรอดีใจด้วยนะ ยินดีด้วยที่หายเร็ว ทุกคน support ผมดีมาก แต่พอกลับมาที่บ้านวันนั้น บ้านที่ซึ่งเป็นหอพักของผม ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มโดดเดี่ยวและอยู่ตัวคนเดียวมานานแต่มันเป็นเวลาแค่ 1 อาทิตย์ ผมคิดว่าผมรู้สึกหดหู่มากๆกับการที่ผมได้ทำงานอยู่พัทยาคนเดียว และผมไม่เคยใช้ชีวิตคนเดียวมาก่อน ใครอ่านมาถึงตรงนี้อ่านต่อให้จบนะครับ วันนั้นผมก็เลยโทรหาแม่ว่า แม่ครับผมคิดถึงแม่นะ และคุยกับพ่อว่าพ่อผมก็คิดถึงพ่อนะ แล้วคุยกับน้องสาวว่า ไม่เกินอาทิตย์หน้าเดี๋ยวพี่กลับไปหานะ แต่ว่าทุกคนไม่ว่างที่จะมา support ผมอยู่ เพราะผมนั้นน่ารำคาญโทรไปหาทุกคนทุกๆ 5 นาทีเพราะผมโดดเดี่ยว  จนสุดท้ายเขาก็บอกว่าตัวเองลองใช้ชีวิตคนเดียวดูไปก่อนนะถึงมันจะโดดเดี่ยวแต่เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน แต่ผมคิดว่าในตอนนั้นน่ะตัวผมเองไม่เข้มแข็งพอและอ่อนแอมากๆในการใช้ชีวิตคนเดียว เหมือนกับว่าเป็นโรคที่เรียกว่า home sick จนวันนั้นผมรู้สึกตัวขึ้นมาว่า ผมเศร้ามากและดิ่งที่สุดที่ไม่ได้กลับไปเจอพ่อกับแม่เป็นเวลา 1 อาทิตย์ และผมคิดถึงน้องมากๆอยากจะบอกว่าบิวสักวันเราอาจได้เจอกันอีก ได้มาถึงตอนนี้แล้วผมจะเล่าต่อว่า ณ ตอนนั้นผมใจคอไม่ดีมากๆกับการที่อยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยม ที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆและไม่มีแอร์อากาศก็ร้อน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมหิวมากๆอยากออกไปหาอะไรกิน แต่ดันเป็นวันหยุดเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งผมหิวเพราะเป็นโรคกระเพาะแล้วผมไม่ได้กินยากระเพาะ สุดท้ายวันนั้นน่ะดันเป็นวันเกือบตายของผม ผมเดินออกมาเพื่อที่จะหาร้านค้า ที่ขายข้าวให้ผมได้ ซึ่งผมไม่มีรถมอเตอร์ไซค์และหอพักอยู่ไกลจากร้านข้าว ในตอนนั้นผมได้เดินไปที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารที่น่าจะเปิดอยู่ ผมเดินเข้าไปและถามว่าผมขอกินกระเพราจานนึงได้ไหมทำให้หน่อยได้ไหม ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 6 โมงเย็น และราคาที่พัทยาแ***โคตรแพง ผมถามราคาเขาเขาบอกว่าตอนนี้ราคาอยู่ที่จานละ 80 บาท แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือว่าเขาบอกว่าตอนนี้อาหารหมดทุกอย่างแล้ว และเมื่อผมไปร้านอื่น มันดันกลับเป็นวันอาทิตย์ ซึ่งไม่มีร้านไหนเปิดอีกเลย วันนั้นผมเลยกลับมาที่บ้าน แล้วโทรกลับไปหาแม่อีกทีนึง ผมรู้สึกว่าตัวเองหิวมากๆ หิวจนท้องร้องไม่ไหวแล้ว หิวเหมือนตัวเองกำลังจะตาย แต่ไม่มีใครรับเพราะเขาไม่ว่าง สุดท้ายวันนั้นผมคิดว่าตัวเองไม่มีใครสนใจ เพราะตัวเองไม่เข้มแข็งพอ แต่ในวันนี้ผมเข้มแข็งขึ้นแล้วนะ จะเล่าต่อว่า วันนั้นผมตัดสินใจที่ ได้ลงมือทำอะไรโดยไม่คิด ซึ่งตอนนี้ผมไม่กลับไปทำอีกแล้ว วันนั้นผมได้กินยาตัวหนึ่ง ซึ่งรักษาโรคของผมอยู่  นั่นคือยาเกี่ยวกับโรคไบโพล่า ผมเป็นคนที่เวลาซึมเศร้าจะดิ่งมากๆ และเวลาดีใจจะดีใจจนคนอื่นแปลกใจ วันนั้นน่ะ ผมได้ตัดสินใจที่จะสูบบุหรี่เพื่อแทนการหิวข้าว เพราะตอนนั้นผมเริ่มติดบุหรี่อยู่ แต่ตอนนี้ผมเลิกมา 6 เดือนแล้ว ณ ตอนนั้นผมตัดสินใจผิดมากผิดมหันต์ ผมเลือกที่จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง อยู่กับการสูบบุหรี่ จนหมดซอง 20 ม้วน จนตอนนั้นผมปวดท้องมากๆและทำอะไรไม่ไหวและตัดสินใจที่จะลงมือ เรามาถึงจุดนี้กันแล้วนะครับพร้อมที่จะฟังต่อไหม ในวันนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว เพราะว่าผมสูบบุหรี่ไป 20 มวน โดยที่ไม่ได้กินข้าวเลยทั้งวัน เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ทั้งวัน เพราะตั้งแต่กลับมาได้กินแค่ข้าวต้มอย่างเดียว น่าจะประมาณเกือบ 2 วัน แต่สุดท้ายผมรู้สึกใกล้จะหมดแรงและคิดว่าผมคงไม่มีใครสนใจแล้วตอนนี้ ผมจึงตัดสินใจที่จะ คิดลงมือฆ่าตัวตาย ผมได้ลงมือที่จะกินยาเดคาคิน ซึ่งเป็นตัวยาที่ทำให้นอนหลับ ผมลงมือกินเข้าไปประมาณ 15 เม็ด ซึ่งมันเป็นยาที่ส่งผลต่อระบบประสาทโดยตรงและส่งผลต่อสมองโดยตรง ทำให้ผมรู้สึกว่าเมื่อกินเข้าไปได้ 5 นาที ผมรู้สึกตัวลอยๆ เพราะตอนนั้นผมได้สูบบุหรี่ไป 20 มวนแล้ว หลังจากนั้น ผมได้ ไปเคาะประตูห้องข้างๆที่เป็นห้องพัก แต่ดันไม่มีเสียงตอบกลับ จึงไล่เคาะกลับไปเรื่อยๆห้องต่างๆ แต่ไม่มีใครอยู่ เพราะวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ คนไปเที่ยวกันหมด และตรงกับวันเกิดแม่ผมพอดี เป็นวันลอยกระทงด้วย ทำให้ผมรู้สึกขึ้นมาได้ว่า คนแรกที่ผมจะต้องโทรหา ว่าผมกำลังจะตาย นั้นคือแม่ของผมเอง ผมรีบโทรไปหาแม่ แต่แต่ แม่ไม่ว่างรับครับ และคนถัดไปที่ผมโทรหาคือ คุณยายของผมเอง คุณยายรับสายพอดี และเมื่อคุณยายได้ยินข่าวว่ากำลังจะตาย เขาบอกผมว่าให้ตั้งสติให้เร็วที่สุด แล้วรีบโทรหารถโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อวางสายจากคุณยาย ผมมีความคิดขึ้นมาได้ว่า เออตอนนี้ผมกำลังจะตาย ตอนนั้นผมวูบหมดสติไปประมาณเกือบ 1 นาที แต่ในมือผมมีโทรศัพท์ ซึ่งผมตั้งค่า AI ไว้ ผมจึงพูดว่า hello assistant และได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า นี่คือระบบช่วยเหลือติดต่อกลับ หลังจากนั้นผมจึงบอก assistant ว่า คุณช่วยโทรติดต่อตำรวจ หรือรถพยาบาลให้เร็วที่สุดได้ไหม ผมกำลังจะตาย และหลังจากนั้นผมก็เห็นเลขบนโทรศัพท์ ขึ้นมาเป็นเลข 1669 และได้ยินเสียงว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ ผมจะรีบไปรับให้เร็วที่สุด ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจมากๆ แต่ ผมเริ่มสลบและหายใจไม่ออก ผมจึงรีบพูดให้เร็วที่สุดว่า ช่วยมารับผมที ตอนนี้ผมอยู่ที่ นาเกลือ 13 พัทยา และได้ยินเสียงตอบรับว่านี่คือโรงพยาบาลที่ใกล้นาเกลือ 13 มากที่สุด ผมกำลังส่งรถแอมบูแลนซ์ไปรับคุณณนาเกลือ 13 ผมรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เพราะยาเริ่มที่จะออกฤทธิ์ หลังจากนั้นได้ไม่นาน รู้สึกว่ามีรถพยาบาล ตรงมาที่ผมเร็วมาก ไม่เกินประมาณ 5 นาที ผมได้ยินเสียงมาตั้งแต่ปากซอยจนเข้ามาถึงหอพักผม หลังจากนั้นผมก็วูบหมดสติไป และรู้สึกว่ายายเล่าให้ฟังทีหลัง ผมขึ้นไปอยู่บนรถได้ไม่นาน ยายบอกว่า ตอนนั้นผมสลบไป แต่อยากคุยกับหมอที่มาบนรถ ฝากเอาข้าวเอาของและเอาโทรศัพท์กระเป๋าตังค์กุญแจห้อง ติดตัวหลานฉันไปด้วยนะ และหลังจากนั้นเมื่อถึงโรงพยาบาล ช่วยปลุกเขาให้ที หรือทำให้เขาตื่น และช่วยชีวิตเขาไว้ด้วยนะ หลังจากนั้นไม่นานผมก็ไปถึงโรงพยาบาลและผมเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมานิดนึง หลังจากนั้นหมอได้ทำการวัดคลื่นหัวใจแรงดันหัวใจ โดยผมรู้สึกตัวว่าเขาได้เอาไฟฟ้าช็อตไปที่ท้องผมโดยเป็นสายไฟ 6 เส้น ติดอยู่ตามจุดบนท้องของผม หลังจากนั้นเขาช็อตไปที่ผมจนผมสะดุ้งตื่น และสุดท้ายผมก็ตื่นขึ้นมาได้ แต่ผมรู้สึกง่วงมากๆและอยากนอนต่อ ดังนั้นหมอจึงรีบส่งตัวเข้า ICU แต่ว่าช่วงเวลาตอนนั้นมันผ่านมาแล้ว เกือบ 1 ชั่วโมง เพราะมีคนไข้ในห้อง ICU เข้ามาทำการรักษา เกือบ 20 คน ซึ่งผมเป็นคนที่ประมาณ 21 ดังนั้นเขาเห็นว่าเคสที่ผมอยู่ตอนนี้ คือผมกำลังจะช็อคและตาย เขาจึงรีบส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน และทำการปั๊มหัวใจขึ้นมา จากนั้น เขาก็สอดท่อซึ่งเป็นท่อเกี่ยวกับการล้างพิษ น่าจะเป็นท่อชาโคล สอดเข้าไปในจมูกลึกลงไปจนถึงกระเพาะ และผมรู้สึกตัวขึ้นมาและสะดุ้งตื่นตอนนั้น คุณหมอบอกว่าคุณต้องฝืนพยายามอย่าหลับนะคะ ถ้าคุณหลับคุณมีโอกาสที่จะไม่ฟื้นอีก ตอนนั้นผมหัวใจเต้นแรงมากๆ ค่าความดันโลหิตของผมสูงถึง 182 หัวใจเต้นแรง 110 ต่อนาที หลังจากนั้นหมอก็ช่วยชีวิตผมไว้ แนะทำให้ผมฟื้นขึ้นมาได้ โดยการล้างท้อง และเรื่องต่อไปอย่างนี้ผมจะเล่าถึงเหตุการณ์การล้างท้องของผม วันแรกหลังจากเหตุการณ์ฟื้นขึ้นมาผ่านไป ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายอีกครั้งหนึ่ง เพราะผมทำการล้างท้อง ซึ่งการล้างท้องนั้นงดกินข้าวเป็นเวลา 3 ถึง 5 วัน ทำให้โรคกระเพาะของกำเริบอีกครั้ง นี่แหละคือจุดที่ผมกำลังจะกลับมาตายอีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเมื่อผมสอดท่อชาโคลเข้าไป คุณหมอได้พาไปห้องที่ชื่อว่าห้องอายุรกรรมสำหรับผู้ใหญ่ และผมได้นอนอยู่เตียงเตียง 1 ซึ่งอยู่ข้างในลึกมาก และหมอเข้าถึงยาก ตอนนั้นผมฟื้น แต่คุณหมอบอกว่าขออนุญาตมัดตัวมัดแขนมัดขาไว้นะครับ ผมกลัวคุณจะฆ่าตัวตายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมงี่เง่ามาก แล้วบอกตัวเองว่า คุณจะทำกับผมแบบนั้นไม่ได้ ผมจึงดิ้นไปดิ้นมาและทำให้ตัวเองหลุดจากสิ่งที่เขามัดอยู่ ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า ตัวเองทำดีที่สุดแล้วเพราะว่าเราอึดอัดมากและหายใจไม่ออกเมื่อเขามัดตัวเรา หมอจึงเดินมาถามว่า สิ่งที่คุณทำอยู่มันไม่ดีนะครับผมจะย้ายเตียงคุณไปไว้หน้าห้อง หลังจากนั้นผมก็ได้ย้ายไปอยู่หน้าห้อง แต่ยังไม่จบ ผมดิ้นจนมือหลุดออกจากสิ่งที่เขาวัดอยู่เขาใช้เชือก หมอจึงเดินมาได้ถามว่า คุณเป็นอะไร ผมจึงบอกว่าผมหายใจไม่ออกครับเหมือนกำลังจะตาย หมอดึงคลายเชือกออกแล้วบอกว่าเมื่อผมคลายเชือกออกให้คุณคุณห้ามคิดที่จะลงมือฆ่าตัวตายอีก หลังจากนั้นผมก็นอนหลับไป 1 คืน เมื่อถึงคืนที่ 2 ตอนนั้นหมอได้ทำการล้างท้อง โดยการเอายาถ่ายเพื่อกำจัดพิษออกจากร่างกายให้กิน น่าจะชื่อว่ายาโคไลท์ นำมาให้กินทุก 1 ชั่วโมง ซึ่งยามันเค็มมากๆ และมีผลต่อกระเพาะ ทำให้ผมเกือบตายอีกครั้งหนึ่ง นี่แหละครับความคิดอยากฆ่าตัวตายของผม ทำให้ผมทรมานมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้สภาพจิตใจผมดีขึ้นแล้ว หลังจากนั้นเมื่อกินยาตัวนั้นเข้าไป ทุกๆ 1 ชั่วโมง เป็นเวลาอีก 2 วันโดยไม่ได้กินข้าวเลย แต่หมอไม่ให้ออกจากโรงพยาบาล เพราะพี่ยังออกไม่หมด ซึ่งทำให้หมอและพยาบาลทุกคน รู้สึกไม่ชอบในตัวผม เพราะผมถ่ายออกมาทุกๆ 1 ชั่วโมงจนหมดตัวถ่ายออกมาเป็นน้ำเยอะมากๆจนพิษเริ่มหายหมดแล้ว แต่คุณหมอรังเกียจตัวผม บอกว่าคุณฆ่าตัวตายมา แล้วคุณยังมาทำให้ห้องโรงพยาบาลเหม็นอีก นี่แหละครับความตายของเราน่ากลัวขนาดไหน เดี๋ยวเล่าต่อในห้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่