๒๓
เรือราคะ
ข้าพเจ้าจำมิได้แล้วว่าฝันในคืนวันที่เท่าไหร่ แต่ข้าพเจ้าบอกได้ว่ามันอยู่กลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ในฝันเรื่องนี้อยู่ในประเทศสมมติ ข้าพเจ้าได้ล่องเรือไปยังทะเลของน่านน้ำเขตคามแห่งนี้ มันละม้ายคล้ายอ่าวไทยตอนล่างอย่างไรชอบกล ข้าพเจ้ารู้สึกได้ เพราะภูมิประเทศของสถานที่ในฝันนี้คล้ายๆ กับด้ามขวานอย่างพิลึกนัก
ข้าพเจ้าล่องเรือจากทิศเหนือของอ่าว เลียบชายฝั่งด้ามขวานไปเรื่อยๆ เรือสำเภาที่ตัวใบเรือเป็นสีขาว ส่วนลำเรือนั้นทำด้วยไม้สัก มันทาด้วยสีน้ำมันสีทองอร่าม สภาพของเรือจัดว่าใหม่เอี่ยม คงยังมิได้ใช้การสักเท่าใดนัก
แลแล้วข้าพเจ้าก็มาที่ปากน้ำของเมืองเมืองหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงหมุนพังงาหรือพวงมาลัยเรือซึ่งทำด้วยไม้ตะเคียน แล้วหันหัวเรือเลี้ยวขวาเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ของเมือง แล่นเรือไปเรื่อยๆ ตามลำน้ำนี้
มันเป็นเพลา ๗ โมงเศษ ข้าพเจ้าเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งพร้อมเด็กวัดกำลังเดินเลียบแม่น้ำอยู่ ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าพระรูปนี้พร้อมเด็กวัดคนนั้น คงเดินเท้ากลับจากการบิณฑบาต ข้าพเจ้านึกสงสารเลยอยากจักพาพระรูปนั้นพร้อมเด็กวัดไปส่ง ณ ริมฝั่งน้ำที่ใกล้กับวัดที่สุดเท่าที่จักเป็นไปได้
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงแล่นเรือเลียบเคียงทั้งสอง แล้วจึงตะโกนเรียกแบบไม่ค่อยสำรวมนัก
"หลวงพี่ๆๆ"
สงฆ์ผู้ห่มจีวรสีเหลืองแบบคลุมรูปนั้นหันมาหาข้าพเจ้า ท่านเป็นพระที่มีผิวขาว ใบหน้ากลม สวมแว่นสายตาสั้นกรอบสีดำ หน้าผากแคบ ใบหูเล็กแต่มีติ่งหูย้อย ลักษณะดวงตาเป็นดวงตาชั้นเดียว ตาเรียว จมูกสันเป็นคม ลักษณะของจมูกเหมือนลูกชมพู่อวบอิ่ม ร่องจมูกตื้น ดั้งไม่หัก ไม่มีคิ้ว และเส้นผมเนื่องจากเป็นพระสงฆ์ต้องโกนออก ริมฝีปากท่านบาง สีแดงระเรื่อ ท่านคงมิใช่คนสูบบุหรี่ อนึ่งรูปร่างท่านจัดว่าสมส่วน ท่านสูง ๑๖๕ เซนติเมตร น้ำหนัก ๕๕ กิโลกรัม
ส่วนเด็กวัดที่มากับท่านเป็นเด็กหนุ่มซึ่งเมื่อพิศดูแล้วอายุอานามคงไม่ถึง ๑๘ปี ร่างสูงกว่าพระ แต่ผอม เด็กวัดผู้นี้สูงราว ๑๗๕ เซนติเมตร น้ำหนักพอๆ กับหลวงพี่ที่มาด้วยกัน ผมดำถูกตัดเป็นทรงนักเรียน มีผิวคล้ำ ใบหูกาง เป็นคนไม่มีติ่งหู ลักษณะหูค่อนข้างเรียวยาว เป็นคนที่มีหน้าตาแบบสี่เหลี่ยมคางหมู มีหน้าผากกว้าง คิ้วมังกร ตาสองชั้น ดวงตากลมโต หางตาเชิดขึ้น จมูกแหมบ ดั้งจมูกหัก จมูกเป็นลักษณะเหมือนชมพู่ลูกเล็กๆ ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างหนาและห้อยเล็กน้อย ริมฝีปากนั้นมีสีคล้ำตามผิว เด็กหนุ่มผู้นี้ใส่กางเกงวอร์มสีดำ กับเสื้อยืดสีน้ำเงินแลรองเท้าช้างดาว ในขณะที่พระรูปนั้นเดินเท้าเปล่า
เมื่อหลวงพี่แลเด็กวัดหันมามองต้นเสียง พระท่านก็เอ่ยขึ้นมาดังๆ ว่า
"มีอะไรเหรอโยม"
"ท่านกำลังเดินกลับวัดใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้วโยม"
"อีกไกลไหมครับกว่าจะถึงวัดท่าน"
"๓ กิโลเห็นจะได้"
"โห... แล้ววัดท่านอยู่ริมแม่น้ำใช่ไหมครับ"
"ใช่"
"งั้นท่านขึ้นเรือผมมาเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง"
พระท่านพยักหน้าตอบ ข้าพเจ้าจึงคลายบันไดเรือที่ถูกพับไว้ออกมา ไม่รู้ว่ามันเป็นบาปกรรมหรือไม่ เพราะทั้งพระแลเด็กวัดทุลักทุเลอยู่พอสมควรในการปีนขึ้นบันได
ผ่านไปราวสองสามนาที เมื่อทั้งสองท่านขึ้นเรือมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็จัดแจงพับบันไดเก็บเข้าที่เดิม แล้วแล่นเรือต่อไปยังวัดของหลวงพี่
ริมตลิ่งสองข้างทางสลับกันระหว่างป่าคอนกรีตแลป่าไม้เขียวชอุ่ม เนื่องจากบางช่วงเป็นที่ดินรกร้าง ยังไม่มีใครมาจับจอง ขณะที่บริเวณซึ่งเป็นป่าคอนกรีตนั้นมีความเจริญเข้ามาแทนที่ มีตึกรามบ้านช่องอันแทบไม่ต่างอะไรกับบริเวณริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพมหานคร หากแต่น้ำในแม่น้ำนั้นมีความใสแลไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นดังเจ้าพระยาเป็นอยู่ในปรัตยุบัน คงเป็นเพราะว่าชาวเมืองในประเทศสมมติแห่งนี้ คงไม่ทิ้งขยะแลสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำกระมัง
ในที่สุดเราก็เเล่นเรือมาที่วัดของพระสงฆ์ มันเป็นวัดริมน้ำที่มีเจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่ อารามนั้นค่อนข้างโบราณ สร้างก่อนพ.ศ. ๒๕๐๐ มีกำแพงวัดล้อมรอบ แลมีท่าน้ำให้เรือจอด เป็นศาลาสามเหลี่ยมหน้าจั่วทำด้วยไม้สังเคราะห์ ทาสีน้ำมันสีเขียว ข้าพเจ้าจอดเรือ ณ ที่นั่น แล้วคลายบันไดลง เพื่อให้พระสงฆ์แลเด็กวัดได้กลับอาราม
"ขอบใจโยมมากนะ" พระเอ่ยขึ้น
"โชคดีนะครับหลวงพี่"
เด็กวัดยกมือไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกมือไหว้รับ แล้วทั้งสองก็เดินทางถึงวัดโดยสวัสดิภาพ ข้าพเจ้าพับเก็บบันไดขึ้น แล้วล่องเรือต่อไป
...
แม่น้ำมีระยะทางที่ยาวมาก ข้าพเจ้าล่องเรือผ่านเมืองสองฝั่งลำน้ำมาจนถึงเพลา ๖ โมงเย็น แลแล้วปลายทางของข้าพเจ้าก็มาถึง ข้าพเจ้าจึงจอดเรือแล้วทิ้งสมอ
มันเป็นท่าน้ำของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าทิ้งสมอเรือเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น
ข้าพเจ้าเข้าไปในอาคารชั้นเดียวขนาดยาว ณ ที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่พบใครอื่นนอกจากตำรวจสองสามนาย ซึ่งแต่งกายไม่เรียบร้อย กล่าวคือพวกเขาใส่เพียงกางเกงขายาวสีกากี แลเสื้อซับในสีขาวที่มีตราของตำรวจเท่านั้น ส่วนเสื้อสีกากีอันเป็นเครื่องแบบพวกเขาได้ถอดออก คงเพราะเพลา ๑๘ นาฬิกา มิใช่เพลาราชการกระมัง พวกเขาเลยทำตัวตามสบาย นอนดูโทรทัศน์อย่างบันเทิงใจ
เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้ามา พวกเขาจึงเอ่ยถามข้าพเจ้าในลักษณาการสบายๆ เหมือนอยู่ที่บ้านของตนเอง
"ติดต่ออะไรครับ"
"ผมมาหาคิวครับ พอดีนัดคิวเอาไว้"
"อ๋อ...เดี๋ยวนั่งรอสักพักนะ จะไปตามมาให้"
"ครับ"
ข้าพเจ้านั่งบนโซฟาหนังภายในสถานีตำรวจ ใกล้ๆ กับเก้าอี้เอนนอนที่พวกตำรวจกำลังนอนดูโทรทัศน์อยู่
รายการที่พวกตำรวจกำลังรับชมผ่านหน้าจอโทรทัศน์อยู่นั้น เป็นรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ที่ผู้เข้าแข่งขันมักมีประวัติชีวิตอันอัตคัดแลขัดสน จึงต้องการเข้าประกวดร้องเพลงเพื่อเอาเงินรางวัลไปแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเอง บ้างก็เพื่อซ่อมที่อยู่อาศัย บ้างก็เพื่อเป็นทุนการศึกษา บ้างก็เอาไปปลดหนี้ ฯลฯ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วนั้น ข้าพเจ้าค่อนข้างเบื่อรายการรูปแบบดังกล่าว ผนวกกับข้าพเจ้าไม่ชอบเพลงลูกทุ่งประเภทโชว์ลูกคอซึ่งบางครั้งพวกผู้เข้าประกวดก็ร้องโชว์ลูกคอเกินไปเมื่อเทียบกับศิลปินต้นฉบับเขาเคยร้องไว้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญเสียแทนที่จักเป็นความไพเราะ
ข้าพเจ้านั่งดูรายการประกวดร้องเพลงราว ๆ ๑๐ นาทีเห็นจักได้ พลันปรากฏว่ามีเด็กหนุ่มอายุ ๑๕ ย่าง ๑๖ เดินมาที่บริเวณนั้น
เด็กคนนี้มีผมสีดำ แต่ตัดผมทรงสกินเฮดประหนึ่งพี่ต่อ ธนภพ ในซีรีย์ฮอร์โมน เขาสวมชุดนักเรียนสีขาวในลักษณะปล่อยชายเสื้อไว้นอกกางเกง ส่วนกางเกงที่สวมนั่นเป็นกางเกงนักเรียนสีกากี สวมเข็มขัดสีน้ำตาลมีหัวเข็มขัดสี่เหลี่ยมสีทอง เดินเท้าเปล่ามาเพราะถอดถุงเท้าแลรองเท้านักเรียนไว้ที่ชั้นวางรองเท้าของบ้านพักตำรวจที่อยู่ด้านหลังสถานี เด็กคนนี้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔ ใบหน้ากลม หน้าผากสูงปานยอดดอย มีผิวขาว ใบหูแหลม ติ่งหูหนา คิ้วดกดำโดยที่ปลายคิ้วเชิดขึ้น ตาสองชั้น ดวงเนตรกลมโต เหมือนเม็ดบัวลอย จมูกโตเหมือนลูกชมพู่ที่อวบอ้วน ปีกจมูกกว้าง ดั้งหัก ริมฝีปากแดงระเรื่อ ลักษณะของริมฝีปากหนาทั้งบนแลล่าง ริมฝีปากล่างห้อย เป็นคนที่สูงไม่มาก เพียง ๑๖๕ เซนติเมตร มีน้ำหนัก ๔๕ กิโลกรัม
เด็กคนนั้นคือคิวนั่นเอง คิวที่คุยกับข้าพเจ้าผ่านทางแอพลิเคชันหาคนคุย เราคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ก่อนที่คิวจักนัดข้าพเจ้าเจอที่สถานีตำรวจแห่งนี้ แรกๆ ข้าพเจ้าก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเทียวว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงนัดเจอข้าพเจ้า ณ โรงพัก แล้วข้าพเจ้าก็ได้คำตอบ
"พ่อคิวเป็นตำรวจ คิวอยู่ที่บ้านพักตำรวจในโรงพักครับ"
คิวเดินไปหาพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส จนตำรวจที่นอนดูโทรทัศน์อยู่ต้องเอ่ยปากถาม
"ทำการบ้านรึยังคิว"
"ไม่มีการบ้านครับน้าหมาย"
"พี่คนนั้นเขามาหาเราน่ะ" แล้วนายตำรวจที่ชื่อหมายก็ชี้นิ้วมาที่ข้าพเจ้า เด็กหนุ่มยิ้มจนเห็นฟันขาวก่อนจะพูดว่า
"ครับ"
จากนั้นคิวก็เดินมาหาข้าพเจ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เจ้าตัวยกมือไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไหว้รับ แล้วคิวก็พูดขึ้นมาว่า
"รอนานมั้ยพี่"
"เกือบชั่วโมงเห็นจะได้" ข้าพเจ้าตอบเด็กหนุ่ม
"พี่ชื่ออะไรแล้วนะ"
ข้าพเจ้าอึ้งกับคำถามของเด็กหนุ่มไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยวิสัชนา
""จ๊ะ" ไง "
"อ้อ...พี่จ๊ะ" เด็กหนุ่มพูดพลางพยักหน้าจนข้าพเจ้ารู้สึกมันเขี้ยวอยู่ในที
ไม่นานเด็กหนุ่มก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมา คำถามที่จักเปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าไปตลอดกาลก็ว่าได้
"พี่มาหาผมด้วยจุดประสงค์อะไรเหรอ"
อีกครั้งที่ข้าพเจ้าอึ้งไปชั่วขณะเพราะคำพูดของเด็กหนุ่ม ข้าพเจ้าจึงยิ้มกลบเกลื่อนจุดประสงค์ที่แท้จริงของข้าพเจ้า แล้วตอบคำถามเด็กหนุ่มไปแบบส่งเดช
"มาทักทายเราไง"
ตอบเสร็จข้าพเจ้าก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่ไม่ค่อยขาวเพราะดื่มชากาแฟมากจนเกินไป
"เหรอ"
คิวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและบ่งบอกว่าไม่เชื่อที่ข้าพเจ้าวิสัชนาไปเมื่อครู่เด็กหนุ่มทำสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ยินคำตอบของข้าพเจ้า ฉับพลันไม่กี่วินาทีเขาก็ยิ้มเห็นฟันขาวราวกับว่าเพิ่งจักคิดอะไรดีๆ ออก
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ตะโกนถามนายตำรวจชื่อหมายที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่ขึ้นมา
"น้าหมาย"
นายตำรวจไม่ได้ยิน คิวจึงตะโกนเสียงดังขึ้นอีก
"น้าหมาย!"
"อะไร!"
นายตำรวจละสายตาจากโทรทัศน์แล้วหันมามองต้นเสียง
"คิวขอกุญแจห้องทำงานพ่อหน่อย"
"จะเอาไปทำไมวะไอ้คิว"
"ผมจะไปนั่งเล่น"
เด็กหนุ่มหยุดพูดไปสามวินาที เนื่องจากสมองคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างไม่ทัน จากนั้นคิวจึงพูดต่อโดยไม่ทันคิด
"จะให้พี่จ๊ะเขาสอนการบ้านด้วย"
"อาว ไหนบอกว่าไม่มีการบ้านไม่ใช่เรอะ?"
เด็กหนุ่มหน้าซีด อึ้งไปสามวินาทีก่อนจะพูดออกมาหลังจากที่สมองประมวลผลได้
"พอดี...คิวนึกขึ้นได้ว่ามีรายงานวิชาภาษาไทย...น่ะครับ ก็เลย...จะให้พี่เขาสอนหน่อย"
"เออๆ"
นายตำรวจที่ชื่อหมายก็เดินไปหยิบกุญแจห้องทำงานของบิดาคิว ซึ่งฝากไว้กับตน เนื่องจากผู้เป็นบิดานั้นติดภารกิจที่ต่างเมือง
"เอานี่" ตำรวจเอ่ยขึ้น
เด็กหนุ่มเมื่อได้รับกุญแจก็พนมมือไหว้ขอบคุณตำรวจผู้ที่เขาเรียกว่าน้าหมาย
"ขอบคุณครับน้าหมาย"
"ตั้งใจทำการบ้านให้ดีล่ะ"
แล้วนายตำรวจก็เดินไปที่เก้าอี้เอนนอน แล้วก็นอนดูโทรทัศน์ต่อ
เมื่อคิวได้กุญแจจากน้าหมายแล้ว คิวก็บอกกับข้าพเจ้าด้วยคำสามคำ
"ตามผมมา"
แล้วข้าพเจ้าก็เดินตามหลังเด็กหนุ่มวัย๑๕ ผ่านทางเดินที่มีประตูกระจกกรอบไม้หลายๆ บานเรียงรายซ้ายขวา แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ขนาดยาวชนิด 36 วัตต์ มันสลัวไม่อร่ามเหมือนหลอดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ คงเพราะอายุการใช้งานหลายพันชั่วโมงกระมัง หลอดจึงเสื่อมความสว่างแลสลัวแสดงให้เห็นจนอึมครึมเหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญ
หลอดไฟบางหลอดไม่ได้มีปัญหาไฟกะพริบ แต่อายุการใช้งานของบัลลาสต์นั้นเสื่อมสภาพเต็มทีจนมีเสียง "หึ่งๆ"ดังขึ้นมา บางทีข้าพเจ้าก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า "เงินภาษีของประชาชน"ใน "ประเทศสมมติ" แห่งนี้ ได้ถูกจัดสรรปันส่วนให้มาปรับปรุงระบบไฟฟ้าของสถานีตำรวจบ้างหรือไม่
แลแล้วเราก็เดินมาอยู่หน้าประตูกระจกกรอบไม้บานหนึ่ง กรอบไม้ของประตูบานนี้มีสีน้ำตาล บริเวณกระจกนั้นมีมู่ลี่สีเทาปิดบังเพื่อมิให้เห็นข้างในของห้อง ประตูมีลูกบิดสีเงินซึ่งบัดนี้ถูกล็อกจากข้างใน ข้าพเจ้ากวาดสายตาดูที่บริเวณส่วนบนของประตูนั้น มีป้ายชื่อพ่อของคิวพร้อมยศตำพันตำรวจโทและตำแหน่งที่เป็นอักษรย่อจนข้าพเจ้ายากที่จักเข้าใจ
" พตท. พยัคฆ์ ศุภะสัง
รอง ผกก.สส. บก. น. ๓"
เมื่อคิวใส่ลูกกุญแจสะเดาะกุญแจลูกบิดประตูแล้วนั้น คิวก็เชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเข้ามายังห้องทำงานของผู้เป็นบิดา
"เข้ามาสิพี่"
ข้าพเจ้าทำหน้างุนงง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า
"จะดีเร้อ... มันเหมือนบุกรุกเลยนะเนี่ย"
"ดีสิพี่...เข้ามาเถอะ"
ข้าพเจ้าฝืนใจเข้ามายังห้องทำงานของบิดาคิว ทันทีที่ข้าพเจ้าก้าวผ่านประตูบานนั้น คิวก็ปิดประตูดัง "ปัง"! แล้วรีบลั่นกลอนในบัดดล ข้าพเจ้าในขณะนั้นมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
เรื่องสั้นชุด "ฝัน STory" ตอน เรือราคะ (โดย จ๊ะ เสือไบ)
เรือราคะ
ข้าพเจ้าจำมิได้แล้วว่าฝันในคืนวันที่เท่าไหร่ แต่ข้าพเจ้าบอกได้ว่ามันอยู่กลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๗
ในฝันเรื่องนี้อยู่ในประเทศสมมติ ข้าพเจ้าได้ล่องเรือไปยังทะเลของน่านน้ำเขตคามแห่งนี้ มันละม้ายคล้ายอ่าวไทยตอนล่างอย่างไรชอบกล ข้าพเจ้ารู้สึกได้ เพราะภูมิประเทศของสถานที่ในฝันนี้คล้ายๆ กับด้ามขวานอย่างพิลึกนัก
ข้าพเจ้าล่องเรือจากทิศเหนือของอ่าว เลียบชายฝั่งด้ามขวานไปเรื่อยๆ เรือสำเภาที่ตัวใบเรือเป็นสีขาว ส่วนลำเรือนั้นทำด้วยไม้สัก มันทาด้วยสีน้ำมันสีทองอร่าม สภาพของเรือจัดว่าใหม่เอี่ยม คงยังมิได้ใช้การสักเท่าใดนัก
แลแล้วข้าพเจ้าก็มาที่ปากน้ำของเมืองเมืองหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงหมุนพังงาหรือพวงมาลัยเรือซึ่งทำด้วยไม้ตะเคียน แล้วหันหัวเรือเลี้ยวขวาเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ของเมือง แล่นเรือไปเรื่อยๆ ตามลำน้ำนี้
มันเป็นเพลา ๗ โมงเศษ ข้าพเจ้าเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งพร้อมเด็กวัดกำลังเดินเลียบแม่น้ำอยู่ ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าพระรูปนี้พร้อมเด็กวัดคนนั้น คงเดินเท้ากลับจากการบิณฑบาต ข้าพเจ้านึกสงสารเลยอยากจักพาพระรูปนั้นพร้อมเด็กวัดไปส่ง ณ ริมฝั่งน้ำที่ใกล้กับวัดที่สุดเท่าที่จักเป็นไปได้
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงแล่นเรือเลียบเคียงทั้งสอง แล้วจึงตะโกนเรียกแบบไม่ค่อยสำรวมนัก
"หลวงพี่ๆๆ"
สงฆ์ผู้ห่มจีวรสีเหลืองแบบคลุมรูปนั้นหันมาหาข้าพเจ้า ท่านเป็นพระที่มีผิวขาว ใบหน้ากลม สวมแว่นสายตาสั้นกรอบสีดำ หน้าผากแคบ ใบหูเล็กแต่มีติ่งหูย้อย ลักษณะดวงตาเป็นดวงตาชั้นเดียว ตาเรียว จมูกสันเป็นคม ลักษณะของจมูกเหมือนลูกชมพู่อวบอิ่ม ร่องจมูกตื้น ดั้งไม่หัก ไม่มีคิ้ว และเส้นผมเนื่องจากเป็นพระสงฆ์ต้องโกนออก ริมฝีปากท่านบาง สีแดงระเรื่อ ท่านคงมิใช่คนสูบบุหรี่ อนึ่งรูปร่างท่านจัดว่าสมส่วน ท่านสูง ๑๖๕ เซนติเมตร น้ำหนัก ๕๕ กิโลกรัม
ส่วนเด็กวัดที่มากับท่านเป็นเด็กหนุ่มซึ่งเมื่อพิศดูแล้วอายุอานามคงไม่ถึง ๑๘ปี ร่างสูงกว่าพระ แต่ผอม เด็กวัดผู้นี้สูงราว ๑๗๕ เซนติเมตร น้ำหนักพอๆ กับหลวงพี่ที่มาด้วยกัน ผมดำถูกตัดเป็นทรงนักเรียน มีผิวคล้ำ ใบหูกาง เป็นคนไม่มีติ่งหู ลักษณะหูค่อนข้างเรียวยาว เป็นคนที่มีหน้าตาแบบสี่เหลี่ยมคางหมู มีหน้าผากกว้าง คิ้วมังกร ตาสองชั้น ดวงตากลมโต หางตาเชิดขึ้น จมูกแหมบ ดั้งจมูกหัก จมูกเป็นลักษณะเหมือนชมพู่ลูกเล็กๆ ริมฝีปากบนบาง ริมฝีปากล่างหนาและห้อยเล็กน้อย ริมฝีปากนั้นมีสีคล้ำตามผิว เด็กหนุ่มผู้นี้ใส่กางเกงวอร์มสีดำ กับเสื้อยืดสีน้ำเงินแลรองเท้าช้างดาว ในขณะที่พระรูปนั้นเดินเท้าเปล่า
เมื่อหลวงพี่แลเด็กวัดหันมามองต้นเสียง พระท่านก็เอ่ยขึ้นมาดังๆ ว่า
"มีอะไรเหรอโยม"
"ท่านกำลังเดินกลับวัดใช่ไหมครับ"
"ถูกแล้วโยม"
"อีกไกลไหมครับกว่าจะถึงวัดท่าน"
"๓ กิโลเห็นจะได้"
"โห... แล้ววัดท่านอยู่ริมแม่น้ำใช่ไหมครับ"
"ใช่"
"งั้นท่านขึ้นเรือผมมาเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่ง"
พระท่านพยักหน้าตอบ ข้าพเจ้าจึงคลายบันไดเรือที่ถูกพับไว้ออกมา ไม่รู้ว่ามันเป็นบาปกรรมหรือไม่ เพราะทั้งพระแลเด็กวัดทุลักทุเลอยู่พอสมควรในการปีนขึ้นบันได
ผ่านไปราวสองสามนาที เมื่อทั้งสองท่านขึ้นเรือมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็จัดแจงพับบันไดเก็บเข้าที่เดิม แล้วแล่นเรือต่อไปยังวัดของหลวงพี่
ริมตลิ่งสองข้างทางสลับกันระหว่างป่าคอนกรีตแลป่าไม้เขียวชอุ่ม เนื่องจากบางช่วงเป็นที่ดินรกร้าง ยังไม่มีใครมาจับจอง ขณะที่บริเวณซึ่งเป็นป่าคอนกรีตนั้นมีความเจริญเข้ามาแทนที่ มีตึกรามบ้านช่องอันแทบไม่ต่างอะไรกับบริเวณริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพมหานคร หากแต่น้ำในแม่น้ำนั้นมีความใสแลไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นดังเจ้าพระยาเป็นอยู่ในปรัตยุบัน คงเป็นเพราะว่าชาวเมืองในประเทศสมมติแห่งนี้ คงไม่ทิ้งขยะแลสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำกระมัง
ในที่สุดเราก็เเล่นเรือมาที่วัดของพระสงฆ์ มันเป็นวัดริมน้ำที่มีเจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่ อารามนั้นค่อนข้างโบราณ สร้างก่อนพ.ศ. ๒๕๐๐ มีกำแพงวัดล้อมรอบ แลมีท่าน้ำให้เรือจอด เป็นศาลาสามเหลี่ยมหน้าจั่วทำด้วยไม้สังเคราะห์ ทาสีน้ำมันสีเขียว ข้าพเจ้าจอดเรือ ณ ที่นั่น แล้วคลายบันไดลง เพื่อให้พระสงฆ์แลเด็กวัดได้กลับอาราม
"ขอบใจโยมมากนะ" พระเอ่ยขึ้น
"โชคดีนะครับหลวงพี่"
เด็กวัดยกมือไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกมือไหว้รับ แล้วทั้งสองก็เดินทางถึงวัดโดยสวัสดิภาพ ข้าพเจ้าพับเก็บบันไดขึ้น แล้วล่องเรือต่อไป
...
แม่น้ำมีระยะทางที่ยาวมาก ข้าพเจ้าล่องเรือผ่านเมืองสองฝั่งลำน้ำมาจนถึงเพลา ๖ โมงเย็น แลแล้วปลายทางของข้าพเจ้าก็มาถึง ข้าพเจ้าจึงจอดเรือแล้วทิ้งสมอ
มันเป็นท่าน้ำของสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าทิ้งสมอเรือเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น
ข้าพเจ้าเข้าไปในอาคารชั้นเดียวขนาดยาว ณ ที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่พบใครอื่นนอกจากตำรวจสองสามนาย ซึ่งแต่งกายไม่เรียบร้อย กล่าวคือพวกเขาใส่เพียงกางเกงขายาวสีกากี แลเสื้อซับในสีขาวที่มีตราของตำรวจเท่านั้น ส่วนเสื้อสีกากีอันเป็นเครื่องแบบพวกเขาได้ถอดออก คงเพราะเพลา ๑๘ นาฬิกา มิใช่เพลาราชการกระมัง พวกเขาเลยทำตัวตามสบาย นอนดูโทรทัศน์อย่างบันเทิงใจ
เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้ามา พวกเขาจึงเอ่ยถามข้าพเจ้าในลักษณาการสบายๆ เหมือนอยู่ที่บ้านของตนเอง
"ติดต่ออะไรครับ"
"ผมมาหาคิวครับ พอดีนัดคิวเอาไว้"
"อ๋อ...เดี๋ยวนั่งรอสักพักนะ จะไปตามมาให้"
"ครับ"
ข้าพเจ้านั่งบนโซฟาหนังภายในสถานีตำรวจ ใกล้ๆ กับเก้าอี้เอนนอนที่พวกตำรวจกำลังนอนดูโทรทัศน์อยู่
รายการที่พวกตำรวจกำลังรับชมผ่านหน้าจอโทรทัศน์อยู่นั้น เป็นรายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ที่ผู้เข้าแข่งขันมักมีประวัติชีวิตอันอัตคัดแลขัดสน จึงต้องการเข้าประกวดร้องเพลงเพื่อเอาเงินรางวัลไปแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเอง บ้างก็เพื่อซ่อมที่อยู่อาศัย บ้างก็เพื่อเป็นทุนการศึกษา บ้างก็เอาไปปลดหนี้ ฯลฯ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วนั้น ข้าพเจ้าค่อนข้างเบื่อรายการรูปแบบดังกล่าว ผนวกกับข้าพเจ้าไม่ชอบเพลงลูกทุ่งประเภทโชว์ลูกคอซึ่งบางครั้งพวกผู้เข้าประกวดก็ร้องโชว์ลูกคอเกินไปเมื่อเทียบกับศิลปินต้นฉบับเขาเคยร้องไว้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญเสียแทนที่จักเป็นความไพเราะ
ข้าพเจ้านั่งดูรายการประกวดร้องเพลงราว ๆ ๑๐ นาทีเห็นจักได้ พลันปรากฏว่ามีเด็กหนุ่มอายุ ๑๕ ย่าง ๑๖ เดินมาที่บริเวณนั้น
เด็กคนนี้มีผมสีดำ แต่ตัดผมทรงสกินเฮดประหนึ่งพี่ต่อ ธนภพ ในซีรีย์ฮอร์โมน เขาสวมชุดนักเรียนสีขาวในลักษณะปล่อยชายเสื้อไว้นอกกางเกง ส่วนกางเกงที่สวมนั่นเป็นกางเกงนักเรียนสีกากี สวมเข็มขัดสีน้ำตาลมีหัวเข็มขัดสี่เหลี่ยมสีทอง เดินเท้าเปล่ามาเพราะถอดถุงเท้าแลรองเท้านักเรียนไว้ที่ชั้นวางรองเท้าของบ้านพักตำรวจที่อยู่ด้านหลังสถานี เด็กคนนี้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔ ใบหน้ากลม หน้าผากสูงปานยอดดอย มีผิวขาว ใบหูแหลม ติ่งหูหนา คิ้วดกดำโดยที่ปลายคิ้วเชิดขึ้น ตาสองชั้น ดวงเนตรกลมโต เหมือนเม็ดบัวลอย จมูกโตเหมือนลูกชมพู่ที่อวบอ้วน ปีกจมูกกว้าง ดั้งหัก ริมฝีปากแดงระเรื่อ ลักษณะของริมฝีปากหนาทั้งบนแลล่าง ริมฝีปากล่างห้อย เป็นคนที่สูงไม่มาก เพียง ๑๖๕ เซนติเมตร มีน้ำหนัก ๔๕ กิโลกรัม
เด็กคนนั้นคือคิวนั่นเอง คิวที่คุยกับข้าพเจ้าผ่านทางแอพลิเคชันหาคนคุย เราคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ก่อนที่คิวจักนัดข้าพเจ้าเจอที่สถานีตำรวจแห่งนี้ แรกๆ ข้าพเจ้าก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเทียวว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงนัดเจอข้าพเจ้า ณ โรงพัก แล้วข้าพเจ้าก็ได้คำตอบ
"พ่อคิวเป็นตำรวจ คิวอยู่ที่บ้านพักตำรวจในโรงพักครับ"
คิวเดินไปหาพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส จนตำรวจที่นอนดูโทรทัศน์อยู่ต้องเอ่ยปากถาม
"ทำการบ้านรึยังคิว"
"ไม่มีการบ้านครับน้าหมาย"
"พี่คนนั้นเขามาหาเราน่ะ" แล้วนายตำรวจที่ชื่อหมายก็ชี้นิ้วมาที่ข้าพเจ้า เด็กหนุ่มยิ้มจนเห็นฟันขาวก่อนจะพูดว่า
"ครับ"
จากนั้นคิวก็เดินมาหาข้าพเจ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เจ้าตัวยกมือไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไหว้รับ แล้วคิวก็พูดขึ้นมาว่า
"รอนานมั้ยพี่"
"เกือบชั่วโมงเห็นจะได้" ข้าพเจ้าตอบเด็กหนุ่ม
"พี่ชื่ออะไรแล้วนะ"
ข้าพเจ้าอึ้งกับคำถามของเด็กหนุ่มไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยวิสัชนา
""จ๊ะ" ไง "
"อ้อ...พี่จ๊ะ" เด็กหนุ่มพูดพลางพยักหน้าจนข้าพเจ้ารู้สึกมันเขี้ยวอยู่ในที
ไม่นานเด็กหนุ่มก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมา คำถามที่จักเปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้าไปตลอดกาลก็ว่าได้
"พี่มาหาผมด้วยจุดประสงค์อะไรเหรอ"
อีกครั้งที่ข้าพเจ้าอึ้งไปชั่วขณะเพราะคำพูดของเด็กหนุ่ม ข้าพเจ้าจึงยิ้มกลบเกลื่อนจุดประสงค์ที่แท้จริงของข้าพเจ้า แล้วตอบคำถามเด็กหนุ่มไปแบบส่งเดช
"มาทักทายเราไง"
ตอบเสร็จข้าพเจ้าก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่ไม่ค่อยขาวเพราะดื่มชากาแฟมากจนเกินไป
"เหรอ"
คิวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและบ่งบอกว่าไม่เชื่อที่ข้าพเจ้าวิสัชนาไปเมื่อครู่เด็กหนุ่มทำสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ยินคำตอบของข้าพเจ้า ฉับพลันไม่กี่วินาทีเขาก็ยิ้มเห็นฟันขาวราวกับว่าเพิ่งจักคิดอะไรดีๆ ออก
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ตะโกนถามนายตำรวจชื่อหมายที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่ขึ้นมา
"น้าหมาย"
นายตำรวจไม่ได้ยิน คิวจึงตะโกนเสียงดังขึ้นอีก
"น้าหมาย!"
"อะไร!"
นายตำรวจละสายตาจากโทรทัศน์แล้วหันมามองต้นเสียง
"คิวขอกุญแจห้องทำงานพ่อหน่อย"
"จะเอาไปทำไมวะไอ้คิว"
"ผมจะไปนั่งเล่น"
เด็กหนุ่มหยุดพูดไปสามวินาที เนื่องจากสมองคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างไม่ทัน จากนั้นคิวจึงพูดต่อโดยไม่ทันคิด
"จะให้พี่จ๊ะเขาสอนการบ้านด้วย"
"อาว ไหนบอกว่าไม่มีการบ้านไม่ใช่เรอะ?"
เด็กหนุ่มหน้าซีด อึ้งไปสามวินาทีก่อนจะพูดออกมาหลังจากที่สมองประมวลผลได้
"พอดี...คิวนึกขึ้นได้ว่ามีรายงานวิชาภาษาไทย...น่ะครับ ก็เลย...จะให้พี่เขาสอนหน่อย"
"เออๆ"
นายตำรวจที่ชื่อหมายก็เดินไปหยิบกุญแจห้องทำงานของบิดาคิว ซึ่งฝากไว้กับตน เนื่องจากผู้เป็นบิดานั้นติดภารกิจที่ต่างเมือง
"เอานี่" ตำรวจเอ่ยขึ้น
เด็กหนุ่มเมื่อได้รับกุญแจก็พนมมือไหว้ขอบคุณตำรวจผู้ที่เขาเรียกว่าน้าหมาย
"ขอบคุณครับน้าหมาย"
"ตั้งใจทำการบ้านให้ดีล่ะ"
แล้วนายตำรวจก็เดินไปที่เก้าอี้เอนนอน แล้วก็นอนดูโทรทัศน์ต่อ
เมื่อคิวได้กุญแจจากน้าหมายแล้ว คิวก็บอกกับข้าพเจ้าด้วยคำสามคำ
"ตามผมมา"
แล้วข้าพเจ้าก็เดินตามหลังเด็กหนุ่มวัย๑๕ ผ่านทางเดินที่มีประตูกระจกกรอบไม้หลายๆ บานเรียงรายซ้ายขวา แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ขนาดยาวชนิด 36 วัตต์ มันสลัวไม่อร่ามเหมือนหลอดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ คงเพราะอายุการใช้งานหลายพันชั่วโมงกระมัง หลอดจึงเสื่อมความสว่างแลสลัวแสดงให้เห็นจนอึมครึมเหมือนในภาพยนตร์สยองขวัญ
หลอดไฟบางหลอดไม่ได้มีปัญหาไฟกะพริบ แต่อายุการใช้งานของบัลลาสต์นั้นเสื่อมสภาพเต็มทีจนมีเสียง "หึ่งๆ"ดังขึ้นมา บางทีข้าพเจ้าก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า "เงินภาษีของประชาชน"ใน "ประเทศสมมติ" แห่งนี้ ได้ถูกจัดสรรปันส่วนให้มาปรับปรุงระบบไฟฟ้าของสถานีตำรวจบ้างหรือไม่
แลแล้วเราก็เดินมาอยู่หน้าประตูกระจกกรอบไม้บานหนึ่ง กรอบไม้ของประตูบานนี้มีสีน้ำตาล บริเวณกระจกนั้นมีมู่ลี่สีเทาปิดบังเพื่อมิให้เห็นข้างในของห้อง ประตูมีลูกบิดสีเงินซึ่งบัดนี้ถูกล็อกจากข้างใน ข้าพเจ้ากวาดสายตาดูที่บริเวณส่วนบนของประตูนั้น มีป้ายชื่อพ่อของคิวพร้อมยศตำพันตำรวจโทและตำแหน่งที่เป็นอักษรย่อจนข้าพเจ้ายากที่จักเข้าใจ
" พตท. พยัคฆ์ ศุภะสัง
รอง ผกก.สส. บก. น. ๓"
เมื่อคิวใส่ลูกกุญแจสะเดาะกุญแจลูกบิดประตูแล้วนั้น คิวก็เชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าเข้ามายังห้องทำงานของผู้เป็นบิดา
"เข้ามาสิพี่"
ข้าพเจ้าทำหน้างุนงง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า
"จะดีเร้อ... มันเหมือนบุกรุกเลยนะเนี่ย"
"ดีสิพี่...เข้ามาเถอะ"
ข้าพเจ้าฝืนใจเข้ามายังห้องทำงานของบิดาคิว ทันทีที่ข้าพเจ้าก้าวผ่านประตูบานนั้น คิวก็ปิดประตูดัง "ปัง"! แล้วรีบลั่นกลอนในบัดดล ข้าพเจ้าในขณะนั้นมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย