ยูนิส ภรรยาของรูเบนส์ ไปวา และแม่ของลูกๆอีก 5 คน เธอมีชีวิตครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุขในริโอ เดอ เจนาโร
แม้อาจจะดูชุลมุนวุ่นวายไปบ้างก็ตาม.. จนกระทั่งวันหนึ่ง..รูเบนส์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐพาตัวไปสอบสวน
ว่าอาจมีส่วนพัวพันกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร.. ยูนิสเชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี สามีจะกลับมาในเวลาไม่นาน..
แต่การรอคอยนั้นกลายเป็นความว่างเปล่า.. สามีเธอไม่เคยได้กลับมา
I'm Still Here (Ainda Estou Aqui) เป็นภาพยนตร์ดราม่าชีวประวัติการเมือง
ผลงานการกำกับของ Walter Salles จากบทภาพยนตร์โดย Murilo Hauser และ Heitor Lorega
อ้างอิงจากบันทึกความทรงจำของ Marcelo Rubens Paiva ในปี 2015 ในชื่อเดียวกัน
นำแสดงโดย Fernanda Torres และ Fernanda Montenegro ในบท Eunice Paiva
แม่ของลูกทั้ง 5 คน ที่ต้องรับมือกับการหายสาบสูญของสามี
ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก โดยเฉพาะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ ตอร์เรส
ซึ่งคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆที่ได้ส่งเข้าประกวดมากมาย อาทิงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 82
ตอร์เรสได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ประเภทดราม่า..
รวมทั้งเข้าชิงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97
และยังได้รับรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย นับเป็นภาพยนตร์บราซิลเรื่องแรกที่คว้ารางวัลออสการ์ไปครองได้สำเร็จ
แต่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากมายได้ทั้งเงินทั้งกล่อง โดยทำรายได้มากกว่า 34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กลายเป็นภาพยนตร์บราซิลที่ทำรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ทันที
แต่หนังเรื่องนี้ก็ตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรโดยกลุ่มขวาจัดของบราซิล
ซึ่งปฏิเสธเรื่องระบอบรัฐบาลเผด็จการทหารของบราซิลในยุคนั้นที่ทำให้มีผู้คนล้มตายและสูญหายไปมากมาย
เป็นหนังที่ผมรอมานานมากว่าจะมีโอกาสได้ชมหรือไม่ ในฐานะตัวเต็งลำดับต้นๆบนเวทีออสการ์
และยิ่งการได้รู้ว่า Fernanda Torres คว้านักแสดงนำหญิงบนเวทีลูกโลกทองคำ
ก็ยิ่งทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกว่า เรื่องราวมันจะเจ๋งขนาดไหน
และพอได้ชมกับตาก็ต้องยอมรับเลยว่า สมการรอคอย และเหมาะสมกับทุกรางวัลทั้งปวงโดยแท้
ความรู้สึกที่ได้ชม I'm Still Here คล้ายคลึงกับ Roma หนังที่กวาดรางวัลมากมายในปี 2018 ของ Alfonso Cuarón
โดยโรม่านั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก ขณะที่ I'm Still Here เกิดขึ้นในบราซิล
แต่ลำดับเวลานั้นเกิดขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน ช่วงเวลาที่เกิดเผด็จการทหารในดินแดนลาตินอเมริกาแทบทุกประเทศ
สร้างความปั่นป่วนให้กับประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมาย เรื่องนี้ก็เช่นกัน
ต่างกันตรงที่นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ยูนิส..รูเบนส์ และลูกๆทั้ง 5 มีตัวตนในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองบราซิล
พวกเขาอีก 1 ในหลายล้านครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการรักษาอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง
อันนำมาซึ่งความสูญเสีย การพลัดพรากจากคนที่ตนรัก จากเป็นมันเจ็บยิ่งกว่าจากตาย
เพราะทุกอย่างเป็นไปด้วยความกะทันหัน ไม่มีการเตรียมใจ ไม่มีสิ่งใดรู้ล่วงหน้า ไม่ได้มีการร่ำลา.. มันเจ็บปวดยิ่งนัก
Fernanda Torres กับบทของยูนิส ไปวา แม่ผู้แข็งแกร่งที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหนาและยิ่งใหญ่
จากการเป็นภรรยาเคียงข้างสามี เป็นเพื่อนคู่คิด ..พอเหลือตัวคนเดียว เธอต้องประรับประคองครอบครัวใหญ่
ที่มีลูกๆ 5 คนให้ผ่านพ้นวิกฤตที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวให้กลับมายืนได้ด้วยลำแข้งของตนเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยสายตา และจะแสดงออกว่าเจ็บปวดแค่ไหน แต่เธอต้องยิ้มสู้ ฝืนทำเป็นไม่มีอะไรต่อหน้าลูกๆที่ยังเล็ก
บางคนเธอสามารถบอกเล่า แต่กับอีกหลายคน เธอทำได้แค่กอดและยิ้มให้เท่านั้น ..
ตอร์เรส แสดงได้ดีมาก ทั้งในตอนต้น และในพาร์ทหลังที่เป็นช่วงผ่านกาลเวลาเข้าสู่วัยที่มากขึ้น
โดยในช่วงท้ายของชีวิตผู้ที่รับบทนี้เปลี่ยนเป็น Fernanda Montenegro นักแสดงหญิงระดับตำนานของบราซิลในวัย 95 ปีแทน
ที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคือการแคสนักแสดงครับ คู่สามีภรรยาตัวจริงกับยูนิสและรูเบนส์
เปรียบเทียบกับเฟอร์นานด้า ตอร์เรส และ เซลตั้น เมลโล่ คือเหมือนมาก จริงๆ (ภาพจริงทางซ้าย หนังทางขวา)
ยังมีเรื่องราวของมาร์เซโล่ ไปวา ลูกชายคนเดียวของทั้งคู่นี่น่าสนใจสามารถทำเป็นหนังได้อีกเรื่องเลยก็ว่าได้
ปัจจุบันเติบโตเป็นนักเขียนดังของประเทศ แต่เพื่อไม่ให้เส้นเรื่องหลักเสียไป ในหนังจึงไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก
แม้ว่าประเด็นทางการเมืองของประเทศบราซิลในช่วงนั้นจะถูกนำเสนอแบบไม่ได้ลงรายละเอียดในเชิงลึก
แต่ก็มีซีนที่ตอกย้ำให้เห็นได้ถึงความโหดร้ายของระบอบเผด็จการทหารที่จัดการคนแบบแทบจะเรียกได้ว่าเหวี่ยงแห
คือใครดูเป็นผู้ต้องสงสัยก็จัดการในทันที ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ซึ่งความกดดันนี้ผู้ชมอย่างเราจะสัมผัสได้อย่างชัดเจน
เริ่มต้นจากความสุขความอบอุ่น ไปถึงการเปลี่ยนแปลง จากนั้นไปสู่ความสูญเสีย
และการยืนหยัดต่อสู้ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อครอบครัว เราจะประทับใจไปกับหญิงแกร่งที่ชื่อยูนิส ไปวา
ความรักความผูกพันของคนในครอบครัวที่มีให้กันที่แน่นแฟ้นมากขึ้นยิ่งเวลาผ่านไปจากยุค 1970
จนถึงช่วงสุดท้ายในปี 2014 ด้วยบทที่ยอดเยี่ยมและการแสดงระดับสุดยอดเช่นนี้
จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะคว้ารางวัลภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ครั้งที่ 97 ไปครองอย่างสมภาคภูมิ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน I'm Still Here
เพราะฉันจะยังคงอยู่ที่นี่เสมอ เพื่อเธอ
และสักวันเราจะได้กลับมาพบกัน....
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
I'm Still Here (2024) ...ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ฉันจะยังรอเธอตรงนี้เสมอ...
ยูนิส ภรรยาของรูเบนส์ ไปวา และแม่ของลูกๆอีก 5 คน เธอมีชีวิตครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุขในริโอ เดอ เจนาโร
แม้อาจจะดูชุลมุนวุ่นวายไปบ้างก็ตาม.. จนกระทั่งวันหนึ่ง..รูเบนส์ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐพาตัวไปสอบสวน
ว่าอาจมีส่วนพัวพันกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร.. ยูนิสเชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี สามีจะกลับมาในเวลาไม่นาน..
แต่การรอคอยนั้นกลายเป็นความว่างเปล่า.. สามีเธอไม่เคยได้กลับมา
I'm Still Here (Ainda Estou Aqui) เป็นภาพยนตร์ดราม่าชีวประวัติการเมือง
ผลงานการกำกับของ Walter Salles จากบทภาพยนตร์โดย Murilo Hauser และ Heitor Lorega
อ้างอิงจากบันทึกความทรงจำของ Marcelo Rubens Paiva ในปี 2015 ในชื่อเดียวกัน
นำแสดงโดย Fernanda Torres และ Fernanda Montenegro ในบท Eunice Paiva
แม่ของลูกทั้ง 5 คน ที่ต้องรับมือกับการหายสาบสูญของสามี
ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก โดยเฉพาะการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ ตอร์เรส
ซึ่งคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆที่ได้ส่งเข้าประกวดมากมาย อาทิงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 82
ตอร์เรสได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ประเภทดราม่า..
รวมทั้งเข้าชิงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97
และยังได้รับรางวัลภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย นับเป็นภาพยนตร์บราซิลเรื่องแรกที่คว้ารางวัลออสการ์ไปครองได้สำเร็จ
แต่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จมากมายได้ทั้งเงินทั้งกล่อง โดยทำรายได้มากกว่า 34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กลายเป็นภาพยนตร์บราซิลที่ทำรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ทันที
แต่หนังเรื่องนี้ก็ตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรโดยกลุ่มขวาจัดของบราซิล
ซึ่งปฏิเสธเรื่องระบอบรัฐบาลเผด็จการทหารของบราซิลในยุคนั้นที่ทำให้มีผู้คนล้มตายและสูญหายไปมากมาย
เป็นหนังที่ผมรอมานานมากว่าจะมีโอกาสได้ชมหรือไม่ ในฐานะตัวเต็งลำดับต้นๆบนเวทีออสการ์
และยิ่งการได้รู้ว่า Fernanda Torres คว้านักแสดงนำหญิงบนเวทีลูกโลกทองคำ
ก็ยิ่งทำให้ผมสนใจหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกว่า เรื่องราวมันจะเจ๋งขนาดไหน
และพอได้ชมกับตาก็ต้องยอมรับเลยว่า สมการรอคอย และเหมาะสมกับทุกรางวัลทั้งปวงโดยแท้
ความรู้สึกที่ได้ชม I'm Still Here คล้ายคลึงกับ Roma หนังที่กวาดรางวัลมากมายในปี 2018 ของ Alfonso Cuarón
โดยโรม่านั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเม็กซิโก ขณะที่ I'm Still Here เกิดขึ้นในบราซิล
แต่ลำดับเวลานั้นเกิดขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน ช่วงเวลาที่เกิดเผด็จการทหารในดินแดนลาตินอเมริกาแทบทุกประเทศ
สร้างความปั่นป่วนให้กับประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมาย เรื่องนี้ก็เช่นกัน
ต่างกันตรงที่นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ยูนิส..รูเบนส์ และลูกๆทั้ง 5 มีตัวตนในประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองบราซิล
พวกเขาอีก 1 ในหลายล้านครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการรักษาอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง
อันนำมาซึ่งความสูญเสีย การพลัดพรากจากคนที่ตนรัก จากเป็นมันเจ็บยิ่งกว่าจากตาย
เพราะทุกอย่างเป็นไปด้วยความกะทันหัน ไม่มีการเตรียมใจ ไม่มีสิ่งใดรู้ล่วงหน้า ไม่ได้มีการร่ำลา.. มันเจ็บปวดยิ่งนัก
Fernanda Torres กับบทของยูนิส ไปวา แม่ผู้แข็งแกร่งที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหนาและยิ่งใหญ่
จากการเป็นภรรยาเคียงข้างสามี เป็นเพื่อนคู่คิด ..พอเหลือตัวคนเดียว เธอต้องประรับประคองครอบครัวใหญ่
ที่มีลูกๆ 5 คนให้ผ่านพ้นวิกฤตที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวให้กลับมายืนได้ด้วยลำแข้งของตนเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ด้วยสายตา และจะแสดงออกว่าเจ็บปวดแค่ไหน แต่เธอต้องยิ้มสู้ ฝืนทำเป็นไม่มีอะไรต่อหน้าลูกๆที่ยังเล็ก
บางคนเธอสามารถบอกเล่า แต่กับอีกหลายคน เธอทำได้แค่กอดและยิ้มให้เท่านั้น ..
ตอร์เรส แสดงได้ดีมาก ทั้งในตอนต้น และในพาร์ทหลังที่เป็นช่วงผ่านกาลเวลาเข้าสู่วัยที่มากขึ้น
โดยในช่วงท้ายของชีวิตผู้ที่รับบทนี้เปลี่ยนเป็น Fernanda Montenegro นักแสดงหญิงระดับตำนานของบราซิลในวัย 95 ปีแทน
ที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคือการแคสนักแสดงครับ คู่สามีภรรยาตัวจริงกับยูนิสและรูเบนส์
เปรียบเทียบกับเฟอร์นานด้า ตอร์เรส และ เซลตั้น เมลโล่ คือเหมือนมาก จริงๆ (ภาพจริงทางซ้าย หนังทางขวา)
ยังมีเรื่องราวของมาร์เซโล่ ไปวา ลูกชายคนเดียวของทั้งคู่นี่น่าสนใจสามารถทำเป็นหนังได้อีกเรื่องเลยก็ว่าได้
ปัจจุบันเติบโตเป็นนักเขียนดังของประเทศ แต่เพื่อไม่ให้เส้นเรื่องหลักเสียไป ในหนังจึงไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก
แม้ว่าประเด็นทางการเมืองของประเทศบราซิลในช่วงนั้นจะถูกนำเสนอแบบไม่ได้ลงรายละเอียดในเชิงลึก
แต่ก็มีซีนที่ตอกย้ำให้เห็นได้ถึงความโหดร้ายของระบอบเผด็จการทหารที่จัดการคนแบบแทบจะเรียกได้ว่าเหวี่ยงแห
คือใครดูเป็นผู้ต้องสงสัยก็จัดการในทันที ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ซึ่งความกดดันนี้ผู้ชมอย่างเราจะสัมผัสได้อย่างชัดเจน
เริ่มต้นจากความสุขความอบอุ่น ไปถึงการเปลี่ยนแปลง จากนั้นไปสู่ความสูญเสีย
และการยืนหยัดต่อสู้ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อครอบครัว เราจะประทับใจไปกับหญิงแกร่งที่ชื่อยูนิส ไปวา
ความรักความผูกพันของคนในครอบครัวที่มีให้กันที่แน่นแฟ้นมากขึ้นยิ่งเวลาผ่านไปจากยุค 1970
จนถึงช่วงสุดท้ายในปี 2014 ด้วยบทที่ยอดเยี่ยมและการแสดงระดับสุดยอดเช่นนี้
จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะคว้ารางวัลภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ครั้งที่ 97 ไปครองอย่างสมภาคภูมิ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน I'm Still Here
เพราะฉันจะยังคงอยู่ที่นี่เสมอ เพื่อเธอ
และสักวันเราจะได้กลับมาพบกัน....
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===