เรื่องย่อ:
The Two Popes คือภาพยนตร์ชีวประวัติเชิงดราม่าที่สร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์คริสตจักรคาทอลิก เมื่อ
พระคาร์ดินัลเบอร์โกกลิโอ (ในอนาคตคือ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส) ได้รับเชิญให้มาพบกับ
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ณ พระราชวังฤดูร้อนของวาติกัน ในช่วงที่ศาสนจักรกำลังเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นจากปัญหาภายใน
โดยตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงของเรื่องราว ผู้ชมจะได้เห็นบทสนทนาอันลึกซึ้ง ระหว่าง
ผู้นำศาสนาองค์ปัจจุบันที่เคร่งครัดในหลักการ กับ
ผู้ที่มีแนวคิดก้าวหน้าและต้องการให้ศาสนาเปิดกว้างมากขึ้น
รีวิวหลังดู:
The Two Popes เป็นภาพยนตร์ที่ดูเหมือนเรียบง่าย — คนสองคนพูดคุยกัน — แต่กลับลึกซึ้งและทรงพลังในระดับที่ไม่ต้องพึ่งเอฟเฟกต์หรือฉากใหญ่โตใดๆ ทั้งสิ้น
Anthony Hopkins ในบทพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ถ่ายทอดความเคร่งขรึมและเปราะบางได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่
Jonathan Pryce ในบทพระคาร์ดินัลเบอร์โกกลิโอ มีเสน่ห์ อ่อนโยน และเปี่ยมด้วยเมตตา จนผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้นกับพวกเขา
หนังไม่ได้พยายามบอกว่าใครถูกหรือผิด แต่นำเสนอมุมมองที่แตกต่างกันระหว่าง “ศรัทธาแบบรักษาประเพณี” กับ “ศรัทธาที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่” ได้อย่างน่าคิดยิ่ง หนังยังแฝงอารมณ์ขันเล็กๆ ในบทสนทนา ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น ไม่ตึงเครียดจนเกินไป
จุดเด่น:
การแสดงระดับมาสเตอร์พีซของ Hopkins และ Pryce
บทสนทนาลึกซึ้ง แหลมคม และกินใจ
การเล่าความเชื่อ ความผิดพลาด และการให้อภัยอย่างมีมนุษยธรรม
งานภาพเรียบง่ายแต่สวยงาม โดยเฉพาะการถ่ายภายในโบสถ์และวาติกัน
จุดสังเกต:
หนังเน้นการสนทนาและการไตร่ตรองทางศาสนา อาจไม่เหมาะกับคนที่ชอบเนื้อเรื่องเร็วหรือแอ็กชัน
ผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์คริสตจักรอาจต้องใช้เวลาในการตามทันข้อมูล
คะแนน IMDb: ⭐️ 7.6/10
รางวัล: เข้าชิง 3 รางวัลออสการ์ รวมถึง
Best Actor (Hopkins),
Best Supporting Actor (Pryce) และ
Best Adapted Screenplay
สรุป:
The Two Popes คือบทสนทนาทางศาสนาในรูปแบบภาพยนตร์ที่ทั้งงดงาม ลึกซึ้ง และเปี่ยมด้วยพลังทางอารมณ์ โดยเฉพาะในยุคที่ศรัทธาของคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หนังเรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจว่าผู้นำศาสนาก็เป็น “มนุษย์” ที่ผิดพลาด กลัว และพยายามหาทางให้อภัยตัวเองได้เช่นกัน
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของพระเจ้า... แต่มันคือเรื่องของคนที่พยายามเดินใกล้พระเจ้า ในแบบที่แตกต่างกัน”
หนังเรื่องนี้ไม่ได้สอนศาสนา — มันสอนให้เรา
ฟังและเข้าใจ.
The Two Popes (2019): บทสนทนาแห่งศรัทธา เมื่อผู้นำสูงสุดสองคนมองศาสนาไม่เหมือนกัน
เรื่องย่อ:
The Two Popes คือภาพยนตร์ชีวประวัติเชิงดราม่าที่สร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์คริสตจักรคาทอลิก เมื่อ พระคาร์ดินัลเบอร์โกกลิโอ (ในอนาคตคือ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส) ได้รับเชิญให้มาพบกับ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ณ พระราชวังฤดูร้อนของวาติกัน ในช่วงที่ศาสนจักรกำลังเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นจากปัญหาภายใน
โดยตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงของเรื่องราว ผู้ชมจะได้เห็นบทสนทนาอันลึกซึ้ง ระหว่าง ผู้นำศาสนาองค์ปัจจุบันที่เคร่งครัดในหลักการ กับ ผู้ที่มีแนวคิดก้าวหน้าและต้องการให้ศาสนาเปิดกว้างมากขึ้น
รีวิวหลังดู:
The Two Popes เป็นภาพยนตร์ที่ดูเหมือนเรียบง่าย — คนสองคนพูดคุยกัน — แต่กลับลึกซึ้งและทรงพลังในระดับที่ไม่ต้องพึ่งเอฟเฟกต์หรือฉากใหญ่โตใดๆ ทั้งสิ้น
Anthony Hopkins ในบทพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ถ่ายทอดความเคร่งขรึมและเปราะบางได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ Jonathan Pryce ในบทพระคาร์ดินัลเบอร์โกกลิโอ มีเสน่ห์ อ่อนโยน และเปี่ยมด้วยเมตตา จนผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้นกับพวกเขา
หนังไม่ได้พยายามบอกว่าใครถูกหรือผิด แต่นำเสนอมุมมองที่แตกต่างกันระหว่าง “ศรัทธาแบบรักษาประเพณี” กับ “ศรัทธาที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่” ได้อย่างน่าคิดยิ่ง หนังยังแฝงอารมณ์ขันเล็กๆ ในบทสนทนา ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น ไม่ตึงเครียดจนเกินไป
จุดเด่น:
การแสดงระดับมาสเตอร์พีซของ Hopkins และ Pryce
บทสนทนาลึกซึ้ง แหลมคม และกินใจ
การเล่าความเชื่อ ความผิดพลาด และการให้อภัยอย่างมีมนุษยธรรม
งานภาพเรียบง่ายแต่สวยงาม โดยเฉพาะการถ่ายภายในโบสถ์และวาติกัน
จุดสังเกต:
หนังเน้นการสนทนาและการไตร่ตรองทางศาสนา อาจไม่เหมาะกับคนที่ชอบเนื้อเรื่องเร็วหรือแอ็กชัน
ผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์คริสตจักรอาจต้องใช้เวลาในการตามทันข้อมูล
คะแนน IMDb: ⭐️ 7.6/10
รางวัล: เข้าชิง 3 รางวัลออสการ์ รวมถึง Best Actor (Hopkins), Best Supporting Actor (Pryce) และ Best Adapted Screenplay
สรุป:
The Two Popes คือบทสนทนาทางศาสนาในรูปแบบภาพยนตร์ที่ทั้งงดงาม ลึกซึ้ง และเปี่ยมด้วยพลังทางอารมณ์ โดยเฉพาะในยุคที่ศรัทธาของคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หนังเรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจว่าผู้นำศาสนาก็เป็น “มนุษย์” ที่ผิดพลาด กลัว และพยายามหาทางให้อภัยตัวเองได้เช่นกัน
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของพระเจ้า... แต่มันคือเรื่องของคนที่พยายามเดินใกล้พระเจ้า ในแบบที่แตกต่างกัน”
หนังเรื่องนี้ไม่ได้สอนศาสนา — มันสอนให้เรา ฟังและเข้าใจ.