ประเด็นนี้ขอดราม่าหน่อยเพราะว่าเรื่องยี้ค่อนข้างที่จะดราม่าพอสมควร
อย่างแรกที่ผมเกิดข้อสงสัยคือจากโฆษณาตัวหนึ่งคือระหว่างนักเรียนกำลังยืนเคารพธงชาติก็มีครูผู้หญิงคนหนึ่ง(ไม่ใช่ครูจริงแน่)ลงไปชักดิ้นชักงอแบเด็กๆบอกอยากได้บ้านหรูและค่อยๆยืนอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมองว่าโฆษณานี้ดูถูกอาชีพชัดๆ แต่สิ่งที่เกิดบ่อยคือเพจบางเพจนั้นชอบมาบอกว่าอายุ...มีอะไรของตัวเองบ้างหรือมีบ้านไหมและแน่นอนว่ามีคนตอบหลากหลายแต่ถ้าผมตอบละก็คงมีแต่รถยนต์กับมอเตอร์ไซที่เป็นเจ้าของตัวจริงละนะ
แรกเริ่มคือผมอยู่บ้านที่มีห้องนอนสองห้องและขนาดตัวบ้านคือหากลองถ่ายจากมุมหนึ่งคือเห็นทั้งบ้านเลย(แต่เป็นบ้านไม้สองชั้นนะ) คือห้องนอนพ่อแม่กับห้องนอนของผมและพี่ชายซึ่งบ้านอยู่ห่างจากตัวเมืองที่ผมและพี่รวมถึงแม่ที่เพิ่งย้ายจากสอนโรงเรียนใกล้บ้านที่เดินไปไม่ถึง50เมตรก็ถึงมาสอนในเมืองช่วงอายุ40-50ได้มั้งโดยบ้านหลังแรกห่างจากตัวเมือง30-40นาทีถ้ารถไม่ติดละนะ และสักระยะคือผมเคยขาเจ็บจากการเอ็นเข่าฉีกจนไม่สามารถที่จะนอนบนเตียงสูง พ่อเลยเอาเตียงฟองน้ำมาปูนอนให้ซึ่งเป็นเตียงอันแรกที่ผมและพี่นอน(ปัจจุบันคงอยู่ที่ไหนสักที่)และเมื่อผมเรียนปี4พี่ชายไปบรรจุที่กทม.จึงเริ่มที่จะนอนคนเดียว ที่จริงเริ่มตั้งแต่ช่วงม.ปลายเพราะพี่ไปอาศัยที่หอพักนักศึกษา ผมเองก็เช่นกันและพอได้บรรจุเป็นครู แน่นอนคือสไตน์ครูใหม่ย่อมไปอยู่ที่ไกลแบบนั่งรถเมล์ที่มี2เที่ยวต่อวันใช้เวลา4-5ชั่วโมงเลยทีเดียว เลยเริ่มที่จะอยู่คนเดียวและชินกับมันไปแล้ว
เดิมทีฐานะบ้านผมไม่ถึงกับไม่มีกินแต่แค่ไม่ได้กินของหรูอย่างKFC ช่วงชีวิตช่วงนั้นคือก่อนจะทำงานนี้แทบจะได้กินครั้งเดียวคือป้าบังอิญถูกหวยเลยเลี้ยงทุกคน(สงสัยได้งวดใหญ่) ส่วนแม็คนี้เดือนละครั้งเห็นจะได้ แต่พอเริ่มมีฐานะขึ้นมาตอนที่ผมทำงานได้สักสามปีพ่อได้เริ่มซื้อคอนโดเพราะพ่อผมเริ่มทำงานต่างจังหวัดบ่อยมาก การกลับบ้านบางครั้งเพลียจัดเลยซื้อคอนโดไว้ห้องหนึ่งเพื่อเอาไว้อยู่
จุดพลิกผันอีกรอบคือครั้งหนึ่งปู่ผม(ตอนนั้น80ปี)ป่วยหนัก พ่อเลยรีบพาไปโรงพยาบาลและแน่นอนว่าเกือบวิกฤติ อาผมเลยเสนอให้มานอนที่บ้านเล็กๆที่อยู่ข้างๆบ้านของอาของผม และช่วงนั้นผมย้ายมาอยู่พอดี และขนาดของบ้านอีกหลังก์ใหญ่กว่านิดหน่อยและมีสองห้องนอนและห้องทำงานของพ่อ แน่นอนละคือผมและพ่อทะเลาะกันว่าใครจะต้องนอนห้องทำงานและผมบอกจะนอนที่ห้องทำงานก็ได้แต่ด้วยนิสัยติดเกมเลยทำให้พ่อชิงนอนที่ห้องทำงานเสมอจนผมขอย้ายมาคอนโดที่มีห้องนั่งเล่นและห้องครัวพร้อมกับห้องน้ำและห้องนอน
พออยู่ได้สัก4ปีเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในคอนโดอาและพ่อเลยลงความเห็นว่าผมไม่ควรอยู่เพราะเดี๋ยวสัมพเวสีจะมาขอส่วนบุญเพราะผมดันมีสัมผัสวิญญาณถึงมีไม่แรงมากแต่พอที่จะเรียกให้สัมพเวสีมาขอส่วนบุญทุกๆวันพระ แต่ตอนนั้นบ้านเริ่มขยายมาเป็นสองหลังแล้วเลยมาอยู่แบบสบายๆ ส่วนพี่ชายผมนั้นคือย้ายมาอยู่และพักใกล้ที่ทำงานจนพอปรับปรุงบ้านปู่เป็นบ้านสองชั้นที่มีสามห้องนอนคือห้องปู่และย่าซึ่งเพิ่งเสียไปปีที่แล้ว ที่เป็นห้องใหญ่ที่สุด ห้องนอนพ่อแม่และห้องผมที่เล็กที่สุดแต่ผมกลับอยู่แบบสบายๆเพราะชินกับการนอนห้องเล็กๆ ถึงช่วงหนึ่งเคยนอนกับปู่เพราะเหงาที่ย่าเพิ่งเสียแต่หลังๆไม่ไหวเพราะปู่เข้าห้องน้ำบ่อยมากและผมรู้สึกตัวทุกครั้งจนเริ่มนอนไม่หลับปู่เลยบอกให้นอนห้องตัวเอง ส่วนชั้นล่างเป็นห้องรับแขกและห้องเล่นเกม ห้องทำงานที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นห้องทำงานได้ไหมเพราะพ่อนั้นเกษียนแล้วแต่ยังมีงานเป็นระยะๆและห้องกินข้าวที่เป็นแค่ในนามเพราะส่วนมากทานที่ห้องรับแขกและห้องเก็บของถึงสองห้อง เมื่อพี่ผมกำหนดวันแต่งงานก็รื้อและสร้างบ้านแบบชั้นครึ่งให้พี่อยู่โดยชั้นกลางมีห้องนอนและห้องโถงที่กว้างมากกับห้องรับแขกและห้องเก็บของ ชั้นล่างนั้นเป็นห้องครัวและชั้นบนเป็นห้องนอน
ลองมองกลับไปตอนที่เยี่ยมบ้านนักเรียน บางหลังนั้นอยู่แบบพอตัวไม่ได้เวอร์วังหรือบางคนที่ฐานะค่อนข้างยากจนเลยอยู่ห้องเช่า บางหลังนี้หรูกว่าบ้านเก่าของผมอีก
สรุปก็คือผมมีบ้านที่ไม่ใช่บ้านของพี่คือบ้านหลังแรกที่เคยอยู๋(ปัจจุบันเป็นชื่อพ่อคนเดียว) กับบ้านของปู่ที่ผมอยู่ด้วยกันและมีชื่อในทะเบียนและคอนโดที่ไม่ไกลนักแต่ถ้าถามว่าอยากอยู่ที่ไหนผมสะดวกจะอยู่ในคอนโดมากกว่าแต่เมื่อมีบ้านให้อยู่ก็อยู่ไปโดยหน้าที่ผมก็จ่ายค่าไฟ(เดือนละ4-5พัน)
ผมเกิดคำถามที่ว่าทำไมบางคนถึงยึดติดกับการที่อยากมีบ้านใหญ่กัน คืออยู่กันแค่ครอบครัวเล็กๆแบบไม่ได้เวอร์วังแบบบ้านผมที่อยู่กันหลายๆคน คือบางคนอาจจะอยู่บ้านของพ่อแม่ก็ได้ อย่างผมเองหากแต่งงานก็แค่เปลี่ยนจากเตียงเดี่ยวเป็นเตียงคู่เท่านั้นเอง หรือเพราะผมนั้นมอะไรพร้อมแล้วเลยไม่ได้คิดว่าการมีบ้านใหญ่โตนั้นจำเป็นหรือไม่
อนึ่งพ่อผมเซ้าซี่ให้ซื้อรถใหม่จังทั้งๆที่แทบจะมีคนละคันแล้ว
ทำไมหลายคนถึงอยากมีบ้านใหญ่ทั้งๆที่บางคนกำลังทรัพย์ไม่พอ
อย่างแรกที่ผมเกิดข้อสงสัยคือจากโฆษณาตัวหนึ่งคือระหว่างนักเรียนกำลังยืนเคารพธงชาติก็มีครูผู้หญิงคนหนึ่ง(ไม่ใช่ครูจริงแน่)ลงไปชักดิ้นชักงอแบเด็กๆบอกอยากได้บ้านหรูและค่อยๆยืนอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมองว่าโฆษณานี้ดูถูกอาชีพชัดๆ แต่สิ่งที่เกิดบ่อยคือเพจบางเพจนั้นชอบมาบอกว่าอายุ...มีอะไรของตัวเองบ้างหรือมีบ้านไหมและแน่นอนว่ามีคนตอบหลากหลายแต่ถ้าผมตอบละก็คงมีแต่รถยนต์กับมอเตอร์ไซที่เป็นเจ้าของตัวจริงละนะ
แรกเริ่มคือผมอยู่บ้านที่มีห้องนอนสองห้องและขนาดตัวบ้านคือหากลองถ่ายจากมุมหนึ่งคือเห็นทั้งบ้านเลย(แต่เป็นบ้านไม้สองชั้นนะ) คือห้องนอนพ่อแม่กับห้องนอนของผมและพี่ชายซึ่งบ้านอยู่ห่างจากตัวเมืองที่ผมและพี่รวมถึงแม่ที่เพิ่งย้ายจากสอนโรงเรียนใกล้บ้านที่เดินไปไม่ถึง50เมตรก็ถึงมาสอนในเมืองช่วงอายุ40-50ได้มั้งโดยบ้านหลังแรกห่างจากตัวเมือง30-40นาทีถ้ารถไม่ติดละนะ และสักระยะคือผมเคยขาเจ็บจากการเอ็นเข่าฉีกจนไม่สามารถที่จะนอนบนเตียงสูง พ่อเลยเอาเตียงฟองน้ำมาปูนอนให้ซึ่งเป็นเตียงอันแรกที่ผมและพี่นอน(ปัจจุบันคงอยู่ที่ไหนสักที่)และเมื่อผมเรียนปี4พี่ชายไปบรรจุที่กทม.จึงเริ่มที่จะนอนคนเดียว ที่จริงเริ่มตั้งแต่ช่วงม.ปลายเพราะพี่ไปอาศัยที่หอพักนักศึกษา ผมเองก็เช่นกันและพอได้บรรจุเป็นครู แน่นอนคือสไตน์ครูใหม่ย่อมไปอยู่ที่ไกลแบบนั่งรถเมล์ที่มี2เที่ยวต่อวันใช้เวลา4-5ชั่วโมงเลยทีเดียว เลยเริ่มที่จะอยู่คนเดียวและชินกับมันไปแล้ว
เดิมทีฐานะบ้านผมไม่ถึงกับไม่มีกินแต่แค่ไม่ได้กินของหรูอย่างKFC ช่วงชีวิตช่วงนั้นคือก่อนจะทำงานนี้แทบจะได้กินครั้งเดียวคือป้าบังอิญถูกหวยเลยเลี้ยงทุกคน(สงสัยได้งวดใหญ่) ส่วนแม็คนี้เดือนละครั้งเห็นจะได้ แต่พอเริ่มมีฐานะขึ้นมาตอนที่ผมทำงานได้สักสามปีพ่อได้เริ่มซื้อคอนโดเพราะพ่อผมเริ่มทำงานต่างจังหวัดบ่อยมาก การกลับบ้านบางครั้งเพลียจัดเลยซื้อคอนโดไว้ห้องหนึ่งเพื่อเอาไว้อยู่
จุดพลิกผันอีกรอบคือครั้งหนึ่งปู่ผม(ตอนนั้น80ปี)ป่วยหนัก พ่อเลยรีบพาไปโรงพยาบาลและแน่นอนว่าเกือบวิกฤติ อาผมเลยเสนอให้มานอนที่บ้านเล็กๆที่อยู่ข้างๆบ้านของอาของผม และช่วงนั้นผมย้ายมาอยู่พอดี และขนาดของบ้านอีกหลังก์ใหญ่กว่านิดหน่อยและมีสองห้องนอนและห้องทำงานของพ่อ แน่นอนละคือผมและพ่อทะเลาะกันว่าใครจะต้องนอนห้องทำงานและผมบอกจะนอนที่ห้องทำงานก็ได้แต่ด้วยนิสัยติดเกมเลยทำให้พ่อชิงนอนที่ห้องทำงานเสมอจนผมขอย้ายมาคอนโดที่มีห้องนั่งเล่นและห้องครัวพร้อมกับห้องน้ำและห้องนอน
พออยู่ได้สัก4ปีเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายในคอนโดอาและพ่อเลยลงความเห็นว่าผมไม่ควรอยู่เพราะเดี๋ยวสัมพเวสีจะมาขอส่วนบุญเพราะผมดันมีสัมผัสวิญญาณถึงมีไม่แรงมากแต่พอที่จะเรียกให้สัมพเวสีมาขอส่วนบุญทุกๆวันพระ แต่ตอนนั้นบ้านเริ่มขยายมาเป็นสองหลังแล้วเลยมาอยู่แบบสบายๆ ส่วนพี่ชายผมนั้นคือย้ายมาอยู่และพักใกล้ที่ทำงานจนพอปรับปรุงบ้านปู่เป็นบ้านสองชั้นที่มีสามห้องนอนคือห้องปู่และย่าซึ่งเพิ่งเสียไปปีที่แล้ว ที่เป็นห้องใหญ่ที่สุด ห้องนอนพ่อแม่และห้องผมที่เล็กที่สุดแต่ผมกลับอยู่แบบสบายๆเพราะชินกับการนอนห้องเล็กๆ ถึงช่วงหนึ่งเคยนอนกับปู่เพราะเหงาที่ย่าเพิ่งเสียแต่หลังๆไม่ไหวเพราะปู่เข้าห้องน้ำบ่อยมากและผมรู้สึกตัวทุกครั้งจนเริ่มนอนไม่หลับปู่เลยบอกให้นอนห้องตัวเอง ส่วนชั้นล่างเป็นห้องรับแขกและห้องเล่นเกม ห้องทำงานที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นห้องทำงานได้ไหมเพราะพ่อนั้นเกษียนแล้วแต่ยังมีงานเป็นระยะๆและห้องกินข้าวที่เป็นแค่ในนามเพราะส่วนมากทานที่ห้องรับแขกและห้องเก็บของถึงสองห้อง เมื่อพี่ผมกำหนดวันแต่งงานก็รื้อและสร้างบ้านแบบชั้นครึ่งให้พี่อยู่โดยชั้นกลางมีห้องนอนและห้องโถงที่กว้างมากกับห้องรับแขกและห้องเก็บของ ชั้นล่างนั้นเป็นห้องครัวและชั้นบนเป็นห้องนอน
ลองมองกลับไปตอนที่เยี่ยมบ้านนักเรียน บางหลังนั้นอยู่แบบพอตัวไม่ได้เวอร์วังหรือบางคนที่ฐานะค่อนข้างยากจนเลยอยู่ห้องเช่า บางหลังนี้หรูกว่าบ้านเก่าของผมอีก
สรุปก็คือผมมีบ้านที่ไม่ใช่บ้านของพี่คือบ้านหลังแรกที่เคยอยู๋(ปัจจุบันเป็นชื่อพ่อคนเดียว) กับบ้านของปู่ที่ผมอยู่ด้วยกันและมีชื่อในทะเบียนและคอนโดที่ไม่ไกลนักแต่ถ้าถามว่าอยากอยู่ที่ไหนผมสะดวกจะอยู่ในคอนโดมากกว่าแต่เมื่อมีบ้านให้อยู่ก็อยู่ไปโดยหน้าที่ผมก็จ่ายค่าไฟ(เดือนละ4-5พัน)
ผมเกิดคำถามที่ว่าทำไมบางคนถึงยึดติดกับการที่อยากมีบ้านใหญ่กัน คืออยู่กันแค่ครอบครัวเล็กๆแบบไม่ได้เวอร์วังแบบบ้านผมที่อยู่กันหลายๆคน คือบางคนอาจจะอยู่บ้านของพ่อแม่ก็ได้ อย่างผมเองหากแต่งงานก็แค่เปลี่ยนจากเตียงเดี่ยวเป็นเตียงคู่เท่านั้นเอง หรือเพราะผมนั้นมอะไรพร้อมแล้วเลยไม่ได้คิดว่าการมีบ้านใหญ่โตนั้นจำเป็นหรือไม่
อนึ่งพ่อผมเซ้าซี่ให้ซื้อรถใหม่จังทั้งๆที่แทบจะมีคนละคันแล้ว