เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่ว่า "ไม่มีใครที่จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสาวกได้ เพียงขั้นการฟังเท่านั้น...."

ในคลิปนี้ ในนาทีที่ 12.00 อ.สุจินต์ กล่าวว่า "ไม่มีใครที่จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสาวกได้ เพียงขั้นการฟัง เท่านั้น   แต่ถ้าไม่ฟังเลย ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะกล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นทึ่พึ่ง ก็ตาม"

สาวก บาลี แปลว่า ผู้ฟัง

พุทธสาวก  จึงหมายถึง ผู้ที่ฟังคำของผู้รู้ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ธรรมดามหาสมุทรย่อมลุ่มไปเป็นลำดับ, ลึกลงไปโดยลำดับ, ซึ้งลงไป โดยลำดับ, ไม่โกรกชัน (เป็นผาลึกชัน) ทีเดียว ฉันใด. ในธรรมวินัยนี้ก็เหมือนกัน มีการศึกษาโดยลำดับ, มีการทำโดยลำดับ, มีการปฏิบัติโดย ลำดับ, การตรัสรู้อรหัตตผลไม่มีอาการลึกทีเดียว ถึงฉันนั้น.

ปริยัติ ---> ปฏิบัติ ---> ปฏิเวธ   ต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น ไม่กระโดดข้ามขั้น

ถ้าไม่มีปริยัติ  ก็จะไปสู่การปฏิบัติ จนถึงปฏิเวธไม่ได้เด็ดขาด

และถ้าไม่มีปฏิบัติ ก็ย่อมจะนำไปสู่ ปฏิเวธ ไม่ได้เช่นกัน

อ. สุจินต์ ไม่ได้ปฏิเสธการปฏิบัติ ไม่ได้สอนลูกศิษย์ว่า เฉพาะการฟังเท่านั้น ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้  หรือสอนว่า ไม่ต้องปฏิบัติเลย เพราะไม่เช่นนั้น อ.ลุจินต์ จะบรรยายอย่างละเอียดลึกซึ้งถึงเรื่องการเจริญสติปัฏฐานสี่ตั้งยืดยาวเกือบ 80 คลิป รวมเวลา 40 ชั่วโมง ทำไม

รวมคำบรรยายเรื่องสติปัฎฐาน โดย อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเด็นคือ ก่อนที่จะปฏิบัติ   ควรจะผ่านปริยัติก่อนหรือไม่ (ปริ บาลี แปลว่า รอบ ยัตติ แปลว่า ศึกษา เล่าเรียน รวมกัน จึงแปลว่า รอบรู้หรือรู้รอบในการศึกษาเล่าเรียน)  หรือเอาแค่เผินๆ เหมือนอ่าน manual หรือคู่มือการใช้งานอุปกรณ์ที่ติดมากับกล่องตอนซื้อมา อ่านลวกๆ เผินๆ หรือบางคนก็ไม่อ่านเลย แต่ลงมือปฏิบัติเลย เดี๋ยวก็ใช้งานอุปกรณ์เป็นเอง   คงคิดว่าพระธรรมเป็นของกล้วยๆ ง่ายๆ เผินๆ ไม่จำเป็นต้องศึกษาให้มากหรอกน่า ศึกษาไปก็รกสมองเปล่าๆ เหมือนมีขยะรกอยู่เต็มสมอง เฮ้อ  ลงมือทำกันเลยดีกว่า พวกเรา  (นี่แหละ คนพวกนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่า เป็นเหมือนดั่งมหาโจรที่พากันละทิ้งปริยัติ  

https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=35&i=860
   แม้ผู้มีปัญญาทรามก็จะนั่งในท่ามกลางแห่งอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าวอยู่ว่า เราย่อมสละปริยัติ ดังนี้เป็นต้น ด้วยคำว่า เมื่อเราตรวจดูหมวดสามแห่งธรรมอันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่ มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่าปริยัติ ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้ ย่อมแสดงซึ่งความที่ตนเป็นคนมีปัญญามาก. ก็เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าย่อมทำลายพระศาสนา. ชื่อว่ามหาโจรเช่นกับบุคคลนี้ ย่อมไม่มี เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติ ชื่อว่าย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่