ลาออกแล้วไปไหน : เรื่องราวมุมมองความคิดที่ตกผลึกได้

กระทู้สนทนา
สวัสดีทุกคนเราชื่อตาล ตอนนี้อายุอยู่ใน Rageของเลข3 มีหลายสิ่งที่เรียนรู้จากที่ชีวิตที่ผ่านมา อยากที่จะเขียนบันทึก, เก็บตก,รวมถึง Process ความคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าทำไม อาจจะไม่ได้มีสาระอะไรมาก และโดยเป้าหมายแล้วอยากจะบันทึกให้ตัวเองเผื่อวันใดวันหนึ่งกลับมาแล้วมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนไว้ อาจจะ surprise ก็ได้ว่าตัวเองเคยมีความคิดอะไรแบบนี้ และรวมถึงกันลืม เพราะรู้สึกว่าพออายุเยอะความจำสั้น อะไรที่อยากจำก็มักจะจำไม่ได้ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์ในชีวิตที่น่าจดจำ ……  รวมถึงถ้าใครผ่านไปผ่านมาแล้วได้มีโอกาสมาอ่านก็อาจจะสะท้อนถึงตัวเองและมันอาจจะหมายความว่าเราเป็นคยประเภทเดียวกัน การอ่านบทความของเราก็ถือว่าเราเช็กแฮนจับมือเป็นเพื่อนกันแล้วโดยพรมลิขิต555 เอาเถอะดูเหมือนดูดี แต่ก็หวังว่าทุกคนจะเอนจอย :)
วันนี้เราจะอยากจะแชร์เรื่องที่เราตัดสินใจทำมันไปในชีวิตโดยที่ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตก็ว่าได้ ซึ่งมี impactใหญ่มากพอสมควร ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลยจากสิ่งนี้ นั่นก็คือการที่เราตัดสินใจลาออกจากงานประจำโดยที่ยังไม่มีงานอื่นรองรับ ทั้งหมดทั้งมวลของช่วงเวลาที่ว่างงานและไม่มีรายได้คือ 7เดือน5555 ซูดดดดด กรอบมาก 5555 แต่ก็นะไม่ได้รู้สึกเสียดายหรือเสียใจกับการตัดสินใจนี้เลย โอเคคค มันมีหลายมุมมอง หลายทอปปิกที่เราสามารถประมวลผลในมุมต่างๆของการกระทำอันนี้ เช่น เรื่องผลกระทบจากสังคมโซเขียล เรื่องยุคสมัยเปลี่ยนไป คนต่างเจน ต่างความคิด เศรษฐกิจ การเมือง บลาๆๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่คนทุกยุคทุกสมัยจะมาโต้เถียงกัน แล้วมันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปแหละ เราเชื่อย่างงั้นนะ  แต่เอาเถอะวันนี้จะมาเล่ามาแชร์ในมุมของการใช้ชีวิต อู้วววววว ฟังดูดี 555 มีสาระ เอิ่มม ไปค่ะ เริ่มกันเลย



เหตุมันเกิดจากวันนึงเราไถติ๊กต๊อกแล้วไปเจอคนคนนึง เค้าบอกว่าเค้าออกจากงานมา 9 เดือนแล้ว ไม่มีรายได้ ตอนนี้มีเงินในบัญชี 200 กว่าบาทมั้ง แล้วก็ไม่พอจ่ายขั้นต่ำของบัตรเครดิตด้วยซ้ำแล้วเค้าก็จบด้วยการบอกว่าไม่เป็นไรรร 5555 สิ่งนี้ยิ้มสะท้อนเหมือนเป็นกระจกเหงายังไงไม่รู้ เป็นเหตุการณ์ของตัวเองเลยนะเนี่ย ขอเล่าแบกกราวนิดหน่อยว่าเราก็ออกจากงานและว่างงาน 7 เดือนมีเงินเก็บเล็กน้อยพอประทังชีวิตที่คิดว่าก็น่าจะ 3-4 เดือนและด้วยสถารการณ์ การหางานไม่ได้ง่ายเลย ก็กรุบไปยาวถึง 7 เดือน อะ แต่นั่นก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเข้าเรื่อง ฮึบไว้ เรื่องนี้น่าสนใจ มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ตกตะกอนความคิด มันอาจะมีประโยชน์กะใครก็ได้

ก็คือว่าตอนที่เราจะลาออกใช่ไหม มันก็ต้องมีเหตุ ว่าทำไม มีความทุกข์ ความยาก ความไม่ชอบใจอะไรหลายอย่างของชีวิตที่เป็นอยู่ในช่วงนั้น คิดว่าทุกคนคงเข้าใจสิ่งนี้   โอเคของเราอะ ก็มีเรื่องงานโหลด และก็เป็นที่เราเองที่จัดการไม่ได้ และบวกกับสภาพจิดใจที่ ทะเลาะกันกับแฟนเก่าจนสุดท้ายก็เลิกกัน ซึ่งเป็น impactใหญ่สุดแล้วแหละของชีวิตช่วงนั้น ซึ่งยิ้มสิ่งที่เกิด เราว่าอยากแชร์แบบ แบ่งเป็นผลกระทบภายในและ ผลกระทบภายนอกแหละ ผลกระทบภายใน ก็คือเศร้า เสียใจ ไม่มีแรงจะไปต่อสู้ในชีวิตจริงซึ่งก็คือการทำงานนั่นเอง ห่อเหี่ยวยิ้มแถบจะทุกวัน ร้องไห้เป็นกิจวัตรหลังเลิกงาน โลกเปลี่ยนเป็นสีเทา มองไม่เห็นสีสันเลยในชีวิตนี้ ยิ้มเกิดมาทำไม มีความคิดโง่ๆหลายอย่าง สภาพจิดใจกัดกร่อน พร้อมร้องไห้ทุกสภาพการณ์ แล้วยิ้มก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย ซึ่งสภาพจิดใจภายในเหล่านี้อะ มันส่งผลกระทบภายนอกแหละ ก็นั่นแหละ งานที่โหลดแต่ไม่สามารถจัดการได้ Performance ก็ตกสิคะ หัวหน้าก็รับรู้ ก็ได้รับWarning ถูกเรียกตัวเข้าห้องดำบ่อยครั้งเพื่อ Monitor performance เป็นรายWeek ซึ่งเหตุกาณ์นี้เราเข้าใจนะ เหมือนเค้าก็อยากช่วยเหลือเราเต็มที่แหละ เรื่งงานจะ Improve ยังไงได้บ้าง แต่สุดท้ายเราเลือกแล้วว่าเราจะลาออก หัวหน้าหรือในทีมเองก็พยายามที่จะช่วยอีกเช่นกัน เช่นให้เราลองหาทีมอื่นดูไหม ย้ายทีม ไม่ใช่ลาออก อาจจะช่วยได้งี้ ซึ่งเราก็ลองทำสิ่งนี้เหมือนกัน ก็คือสมัคร Internal transfer  แล้วก็คือมันเหมือนตอนนั้นเราไม่พร้อม หมายถึงสภาพจิตใจอะ มันดิ่ง แล้วมันกระทบทุกอย่าง การสัมภาษณ์ก็ไม่ได้เตรียมตัว ก้เลยไม่ผ่าน แล้วก็เลยคิดว่าโอเค ไม่เวิร์ก นี่มันไม่ใช่แก้ปัญหาของเหตุนี้ มันมีความสับสนอยู่แหละ กลัว เครียด

กิจวัตรประจำวันแทบจะเป็นเหมือนซอมบี้ที่ใช้ชีวิตแบบ Auto pilot อยู่ไปวันๆ เพื่อให้เวลาล่วงเลยผ่าน เช่น คืองานเราเข้า 10 โมงชะ แล้วก็ตื่น 9 โมง ตื่นมาแบบสะบัด เตรียมตัวด้วยความเร็วสูง ไม่แต่งหน้า ใส่ชุดที่หยิบออกมาได้จากตู้ที่ซักแล้ว แปรงฟันแล้วเร่งฝีเท้าไป MRT ฟังเพลงกล่อม ให้เศร้าระหว่างอยู่บน MRT  ถึงเวลาก็สายบ้าง แต่ก็ปลุกใจ ฮึบขึ้นมานิดหน่อย ทำงานแบบ distract บ่อยๆ ถ้ามีประชุมแล้วมี feedback คำพูดอะไรที่ Sensitive ก็เก็บเครียด สะสม  เลิกงาน ร้องไห้ โทษตัวเอง โทษชะตา เรามันแย่ ทำไมถึงเจออะไรแบบนี้  ยิ้มยยยย ก็นั่งคิดแบบนี้คือตอนหลังเลิกงาน สมองคิดโทษตัวเอง มือไถ ไอจี ติ๊กต๊อก เพื่อเหมือนอยากเบี่ยงเบน และบางครั้ง AI ยิ้มก็ฉลาดเหมือนรู้ส่งสารอะไรที่ Relate ยิ้มก็ทำให้เพิ่ม ความเครียด กดดัน Anxiety พุ่งงงง ทำIF แต่ตอนกินก็กินอาหารไม่ค่อยมีประโยชน์ ข้าวกล่อง ข้าวเซเว่น กินเผ็ด กินเหล้า เบียร์บ้าง เออ นั่นแหละ พวกกิจกรรมที่กลายเป็นกิจวัตรไปโดยปริยายเนี่ย ยิ้มทำลายร่างกายมากกกกกเช่น เวลาโกรธไม่เรียนรู้ที่จะรู้ตัวปลดปล่อยเลย ร่างกายมวลกล้ามเนื้อ เซลสมอง หรืออะไรก็แล้วแต่อะ มันทำลายร่างนี้มากๆ อะ  คือเราถูกทำลายทั้งร่างกายและจิตใจโดยที่ไม่รู้ตัวเลยยยย ยิ้ม แล้วใครทำ ก็คือเราเองนั่นแหละ ให้ตายเถอะ

ที่เล่ามามันเป็นสิ่งที่เรามองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า  ยิ้ม เราทำลายตัวเองได้ขนาดนี้เลยหรอ จนมันไม่สามารถอยู่ต่อไปได้แล้ว มันต้องทำอะไรบางอย่าง ในชีวิต เริ่มต้นเลยก็คือ ลาอออก ที่ตอนนั้นคิดว่ามันอาจจะช่วยได้ ซึ่งก็จริงถ้ามองย้อนกลับไป ถ้าเราไม่ทำสิ่งนี้ เราอาจจะคิดในอีกแบบนึงก็ได้ แต่ก็โอเคตอนที่ตัดสินใจอะมันมีหลาย feedback ที่ได้รับ คือ อยู่ต่อก่อน หางานให้ได้ก่อนไหม ค่อยลาออก หรือที่เก่าไม่แย่ที่ใหม่ยิ้มก็อาจจะเจออะไรที่แย่กว่านี้จะทำไงละ ที่นี่มันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นไหม บลาๆๆๆๆๆ ทุกคนเป็นห่วง ซึ่งก็เข้าใจได้ แต่ว่าคนเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา รู้แค่ว่าเราจะออกแล้วก็เป็นห่วงเรื่องการเงิน การงาน ซึ่งเป็นเรื่องภายนอกหมดเลย

อะโอเคค ร่ายยาวสาธยายเรื่องของตัวเองมาพอสมควร สิ่งที่เป็นประเด็นหลักที่อยากแชร์คือการตัดสินใจทำอะไรบางอย่างในชีวิตของเราอะ มันเป็นส่วนนึงของการเรียนรู้และมันไม่ใช่เรื่องของการถูกผิด เป็นมุมมองที่เราควรเอาตัวเองไปอยู่ในมุมมองที่ดีกว่า อะ อยากยกสถานการณ์นี้แหละเป็นตัวอย่าง แล้วการตัดสินใจของเราคือ การตัดสินใจลาออก อันเนื่องมาจากชีวิตมันอยู่ในจุดที่แย่  เราจะมีลองจำลองเป็นตัวเองในวันนั้น ยืนอยู่ในอดีตที่กำลังเดินไปในเส้นทางที่อาจจะเลือกต่างกันแล้วมันจะมีผลต่างกันยังไงบ้าง ขอแบ่งเคสนี้เป็นสามกรณี คือ 1)ลาออกแล้วไปเจอสิ่งที่แย่กว่าเดิม 2) ไม่ลาออกอยู่แบบเดิมนี่แหละ ทนทุกข์ต่อไป 3) ลาออกแล้วเจอสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่

มาดูในกรณีที่ 1 การตัดสินใจลาออกแล้วไปเจออะไรที่แย่ว่าเดิม มันอาจจะมีคนคอยทับถมเราเยอะ มีแค่ตัวเราเองแหละที่ต้องคอยผยุงตัวเองหรือว่าเป็นเพื่อนกับตัวเองให้ได้ในยามนี้ แต่เชื่อป่ะว่าถ้าเราเรียนรู้ว่าเหตุมันคืออะไร ความทุกข์ที่ว่าทุกข์หนักทุกข์หนาเนี่ย ถ้าเรารู้สาเหตุ  ร่างกาย จิตใจ จักรวาล จะไม่พาเราไม่สู่จุดที่ต่ำแบบนั้นอีกแล้ว ฟังดูลึกล้ำแต่มันโลจิกง่ายมากเลย ตัวอย่างเช่น เราบอกว่าเราทุกข์มาก มานานแสนนาน ชีวิตอยู่ในจุดที่ต่ำสุดแหละ แต่ว่าเราตัดสินใจที่จะออกมา ซึ่ง actionของการตัดสินใจอะ มันคือเรารับรู้ว่าเราทุกข์แล้วก็ไม่อยากที่จะอยู่ตรงนี้ แต่เราต้องเพิ่มกระบวนความคิดไปอีกนิดหน่อย ต้องไล่เรียงว่า เหตุใดเราถึงทุกข์ ถ้ารู้แล้วอันนี้แหละสำคัญ เช่นของเราคือ จิตใจตกต่ำ ไม่โอเคแล้วมันก็กระทบการต่อการใช้ชีวิตภายนอกหมดเลย พอเรารู้เราไปต่อด้วยการตัดสินใจซึ่งนั่นแหละคือลาออก เป็นการ Take action แล้วไปหาวิธีแก้ไขปัญหาที่มันบอกว่าจิตใจตกต่ำ แล้วก็ไปแก้ไขซะซึ่งวันนี้จะไม่พูดถึงวิธีการละกัน แต่จะเล่าต่อไปว่า สิ่งนี้แหละที่บอกว่าเราได้เรียนรู้ แล้วโดยสัญชาตญาณมนุษย์โดยธรรมชาติ ก็จะรู้ตัวและไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีก ก็คล้ายคล้ายว่า เรากินบอระเพชรแล้วขม ไม่ชอบ ครั้งต่อไปเรารู้แล้ว แล้วเราจะกินมันอยู่ไหม ก็ไม่ ใช่ป่ะ นอกจากคนบ้าเท่านั้นที่ยินยอมและอยากสัมผัสมันอีกครั้ง555 ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันไม่มีผิดถูกเลย มันเป็น Life learning lession ที่เราจะ Take มันได้มากน้อย และเรียนรู้ได้มากน้อยเท่าไร ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ชีวิตไป

กรณีที่สอง ที่บอกว่าชีวิตเป็นทุกข์ ก็ทนทุกข์ต่อไป กลุ่มคนพวกนี้ใช้ชีวิตไม่เป็นสำหรับเรา เข้าใจว่ามีเงื่อนใขอะไรบ้างอย่างในชีวิตที่ขวางกั้นเอาไว้ แต่จริงๆ ชีวิตก็คือของเราเองนั้นแหละ สิ่งขวางกันต่างๆคือสิ่งที่ attach เราไว้ คนพวกนี้จะไม่ได้เรียรู้มุมมองอะไรใหม่ๆ ไม่กล้าทำไรใหม่ๆ เป็นคนกลัว กลัวที่จะใช้ชีวิต การกลัวมันบ่งบอกว่าคุณจะใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังเกินไป กลัวว่าจะทำผิด ไม่กล้าทำสิ่งใหม่ๆ ทั้งทั้งที่เป็นสิ่งที่ตัวเองฝัน หรืออยากทำ รอคอยบางสิ่งบางอย่าง และก็ต้องรอต่อไป ซึ่งอย่างที่บอกว่า ผิดแล้วยังไง ก็เรียนรู้ไป แบบนี้มันน่า Respect มากกว่าในความคิดของเราแหละกัน

กรณีที่สาม คือกรณีที่ออกจากงานแล้วได้ดีกว่าเดิม อันนี้ถือว่าโชคดี แต่ก็ต้องมี Perspective ที่ควรเป็น ซึ่งอาจจะมีมีโยคที่ว่าใครหรือตัวเองคิดออกมาว่า เห็นไหม”ดีแล้วที่ตัดสินใจออกมา ได้ดิบได้ดีกว่าเดิมเยอะเลย” ซึ่งประโยคบ่งบอกมุมมองความคิดว่า แสดงว่าอต่ก่อนในจุดที่ชีวิตแย่คือความผิดหรอ ? แล้วตอนนี้สำเร็จแล้วหรอ สุขแล้ว ถูกแล้ว? ซึ่งก็อีกครั้งว่ามันไม่ใช่เรื่องของการถูกผิดเลย มันเป็นแค่ประสบกาณ์ชีวิต ที่อาจจะไม่ดี ณตอนนั้น ซึ่งตอนนี้มันดีขึ้น มันไม่เกี่ยวกับความถูกผิดเลย แล้วก็ต้องเรียนรู้ด้วยว่าการที่คุณ บอกว่าได้ดีกว่าเดิม ก็เข้าใจนะว่ามันสามารถกลับชีวิต สูงต่ำ ได้เสมอ ไม่อยู่ยั้งยืนเสมอไปหรอกนะ  

จากทั้งสามกรณี เรา Admire คนที่ตัดสินใจแบบที่หนึ่งกะสาม เพราะว่าเทคแอคชั่นทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตที่รู้สึกว่าแย่ ว่าห่วย แต่คนที่อยู่ต่อคือคนที่ไม่เรียนรู้อะไรเท่าไรในชีวิตตตต

โอเคเขียนยาวมาก อาจจะเล่าเรื่องราวได้ยังไม่ค่อยดี แต่ก็เป็นสิ่งที่ตกผลึกอะไร และอยากแชร์ มันเป็นบทเรียนชีวิต เป็นมุมมองในการมองอะไรบางสิ่งบางอย่าง และมันเอาไปปรับใช้กับสิ่งอื่นได้จริง  ชีวิตไม่มีคำว่าที่สุด ไม่มีถูก ผิด มีแต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากมันมากน้อยแค่ไหนแค่นั้นเอง เรียนรู้ต่อไปจนตาย

กรุบมากก ดูมีสาระความรู้นะคะ กราบขอบคุณถ้าเกิดว่าใครอ่านจนจบ 555 วันหลังจะเขียนให้กระชับกว่านี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเขียนเล่าโดยเททุกสิ่งที่อยู่ในหัวจริงๆ ไม่ได้เรียบเรียงอะไรเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่