JJNY : แฉตึกสตง.มีสกายเลานจ์│ปธ.กมธ.พัฒนาศก.จี้รบ.สอบบ.ทุนจีนทั้งหมด│"สว.อังคณา"ประณามเหตุรุนแรง!│“ทรัมป์”ฟาด“เซเลนสกี”

เพจดังแฉ ตึกสตง. 30 ชั้น มีสกายเลานจ์ ที่ชั้น 29 ถาม “ใช้รับแขก หรือเพื่ออะไร” แห่เมนต์กันสนั่น
https://www.matichon.co.th/local/news_5151358
.
.
เพจดังแฉ ตึกสตง. 30 ชั้น มีสกายเลานจ์ ที่ชั้น 29 ถาม “ใช้รับแขก หรือเพื่ออะไร” แห่เมนต์กันสนั่น
.
วันที่ 24 เมษายน เพจดัง CSI LA โพสต์ระบุว่า “Sky Lounge ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จำเป็นแค่ไหนกับการตรวจสอบงบประมาณ หรือจริงๆ แล้ว มีไว้ต้อนรับแขก VIP หรือใช้กันเอง มากกว่าตรวจสอบใคร Sky Lounge ชั้น 29 วิว งบกี่ล้านไม่แน่ใจ แต่ประชาชนถามว่า คุ้มไหม มีไว้เพื่ออะไร”
.
สำหรับโพสต์ดังกล่าว หลายคนก็เข้ามาคอมเมนต์มากมาย เช่นว่า “การใช้เงินประชาชนควรจะคุ้มค่า มองในเชิงบวกอาจจะนำไปใช้ทำพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติ แต่ถ้ามองแบบทั่วๆคงเอาไปใช้ชมวิว,Sky lounge ถูกทำลายและแฉโดย เหล็กเส้น sky และ รอยเลื่อนสะกาย, สุดๆ แต่ละอย่าง, หรูหรา กับหน่วยงานอื่นกดดันเอาเป็นเอาตาย กับเงินบาท เงินสตางค์, คล้ายๆทำแบบสโมสรไหม, ผิดคนอื่นเท่าภูเขา ผิดเราเท่าเส้นผม”
.
ทั้งนี้ จากข้อมูลของตึก สตง. พบว่า ใช้งบก่อสร้างกว่า 2,136 ล้านบาท โดยมีความสูง 30 ชั้น โดยโครงการดังกล่าวเป็นกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) (จํากัด)
.
โดยในวันที่ 19 เมษายน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้จุบกุม นายชวนหลิง จาง ผู้ถือหุ้นสัญชาติจีน 49% และเป็นกรรมการอยู่ในบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนกรรมการผู้ถือหุ้นชาวไทย 3 ราย เจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัว
.
https://www.facebook.com/CSILA90210/posts/pfbid02vzbwWyYdJY6Hvd3eaPkhXMuSonbN1WGvX9HxhMVaJGw5pQoGCrWjLKixTC3zyYd5l
.

.
ปธ.กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ จี้รัฐบาล.สอบ อาคาร-บริษัททุนจีนทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตึกสตง.
https://www.matichon.co.th/politics/news_5151459
.
‘ปธ.กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ’ แนะรบ.สอบอาคาร-บริษัททุนจีนทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตึกสตง.แห่งเดียว จี้เอาจริงเอาจังแก้ปัญหาทันที
.
เมื่อวันที่ 24 เมษายน เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับ บริษัทก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับตึก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ว่า จากที่ได้เชิญหน่วยงานมาตรวจสอบเกี่ยวกับนอมินีจีนถือครองหุ้นบริษัทก่อสร้างอาคาร สตง.ทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), สถาบันเหล็ก และสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งดีเอสไอได้ยืนยันเชื่อได้ว่า เป็นการถือหุ้นโดยนอมินี เมื่อมีการสวมสิทธิ์นอมินีกันตั้งแต่ต้นการจดจัดตั้งบริษัทแล้ว ก็ยังมีการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น วิศวกรโครงการก็ถูกสวมสิทธิ์ ดังนั้นจึงเสนอให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกรณีบริษัทอื่นๆ และอาคารอื่นๆ ที่เข้าข่ายนอมินีจีนด้วย ไม่อยากให้กรณีของอาคาร สตง. เป็นเพียงตึกเดียวที่ถูกตรวจสอบ เพราะปัจจุบันน่าจะมีหลายบริษัทที่นอมินีจีนเป็นผู้ก่อสร้าง
.
ประธาน กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวต่อว่า ยังพบว่าปัจจุบันมีสถิติบริษัทไทยที่จดจัดตั้งโดยนอมินีจีน เพิ่มมากขึ้น อย่างปีที่แล้วมีประมาณ 300 บริษัท แต่หากย้อนหลังไปประมาณ 5 ปี มีเพียงประมาณ 500-600 บริษัท โดยเป็นเงื่อนไขเดียวกันคือใช้คนไทยถือหุ้น 51% ดังนั้นรัฐบาลควรตรวจสอบบริษัทผู้รับเหมาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง หากรัฐบาล ดีเอสไอ กระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจัง ก็เชื่อว่าจะสามารถตรวจสอบพบได้ทันที ซึ่งที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้า อาจจะยังไม่เห็นความผิดปกติ เพราะเข้าข่ายจดจัดตั้งบริษัทได้ ก็จะใช้สัดส่วนผู้ถือหุ้นคนไทยเพียง 51% แต่ปัจจุบันไม่ได้มีปัญหาในเฉพาะภาคธุรกิจการรับเหมาก่อสร้างเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึงภาคการเกษตร ภาคการศึกษา ที่มีการขายวุฒิวิศวกร หรือใช้วีซ่านักเรียนมาทำงาน ดังนั้น จึงจะต้องเอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหา เชื่อว่าหากรัฐบาลเอาจริงเอาจังก็ได้สามารถแก้ไขได้ทันที
.
ส่วนกฎหมายปัจจุบันมีความครอบคลุมกับปัญหาแล้วหรือไม่ จากการกำหนดสัดส่วนผู้ถือหุ้นคนไทย 51% นั้น นายสิทธิพลกล่าวว่า กฎหมายปัจจุบันมีความครอบคลุมแล้ว แต่ขาดการประสานของหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รับจดจัดตั้งบริษัท แต่ไม่มีอำนาจในการสืบสาวเส้นเงิน ซึ่งจะเป็นอำนาจของดีเอสไอ แต่จะต้องมีการก่ออาชญากรรมก่อน แต่ในทางกลับกันนั้น หากไม่ได้เกิดความผิดอื่น ภาครัฐก็ควรเข้าไปตรวจสอบด้วย
.

.
"สว.อังคณา" ประณามเหตุรุนแรง! กราดยิงรถพาสามเณรบิณฑบาต ย้ำปกป้องเด็กต้องมาก่อน
.
จากเหตุคนร้ายยิงปืนใส่กระบะตำรวจ ขณะรับส่ง "พระ-สามเณร" ไปบิณฑบาตในเขตเทศบาลตำบลสะบ้าย้อย ทำให้ "สามเณร" มรณภาพ 1 เจ็บ 1 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
.
ล่าสุด อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.)  โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Angkhana Neelapaijit ระบุว่า...
.
#ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขอประณามการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก
.
การกราดยิงรถที่พาสามเณร 6 รูปออกบิณบาตร เมื่อเช้าวันนี้จนทำให้สามเณรที่เป็นเด็กอายุ 16 ปีเสียชีวิต และอายุ 12 ปี ได้รับบาดเจ็บ เป็นเรื่องที่เศร้าสะเทือนใจอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 เมษายน ก็ได้มีการวางระเบิดบริเวณริมกำแพงหลังแฟลตตำรวจ สภ. โคกคียน นราธิวาส จนมีเด็ก ๆ โรงเรียนฮาฟิสกุรอานได้รับบาดเจ็บขณะกำลังเดินไปเรียนหนังสือ การกระทำต่อพลเรือนบริสุทธิ์โดยเฉพาะเด็ก ๆ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ อีกทั้งยังเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล ซึ่งแม้แต่ในภาวะสงคราม พลเรือน โดยเฉพาะผู้หญิง และเด็ก ๆ ต้องได้รับความคุ้มครองจากกองกำลังติดอาวุธทุกฝ่าย
.
ความรุนแรงใน จชต. เริ่มรุนแรงมากขึ้นอีกครั้งในรัฐบาลแพทองธาร ตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการตั้งคำถามกรณีความยุติธรรมตากใบที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐปล่อยให้หมดอายุความ โดยไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้ ทั้งที่ผู้ต้องหาคนสำคัญเป็น สส. พรรคเพื่อไทย และดูเหมือนรัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญในเรื่องการเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยความยุติธรรม (judicial harassment) แถมคุณทักษิณยังเชื่อมั่นว่าประชาชนใน จชต. ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว และคิดไปเองว่าคนรุ่นใหม่ต่างชื่นชมคุณทักษิณ จนคิดว่าความรุนแรงที่ผ่านมา 20 ปีจะจบลงง่าย ๆ ภายในปีนี้ จนมาถึงเดือนรอมฎอนที่ปรากฏความรุนแรงมากขึ้น แม้เป้าหมายการโจมตีจะมุ่งไปที่ฝ่ายความมั่นคง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหยื่อของความรุนแรงเป็นพลเรือนรวมอยู่ด้วย ที่สำคัญเหยื่อหลายคนเป็นเด็ก ๆ ที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน และกฎหมายสงครามระหว่างประเทศ
.
คุณทักษิณและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยควรยอมรับความจริงว่า ปัญหา จชต. มีความซับซ้อนมากกว่าจะใช้เงินหรืออำนาจในการแก้ปัญหา อีกทั้งการขอโทษแบบขอไปทีโดยไม่มีการสำนึกผิด ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีรากเหง้าของความไม่เป็นธรรมได้ เพราะการชดใช้เยียวยาด้วยตัวเงินไม่อาจทำให้บาดแผลในใจของผู้คนลบเลือนไป และแม้สภาผู้แทนราษฎรจะตั้งกรรมาธิการสันติภาพ เพื่อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากเป็นเวทีที่คนที่เรียกตัวเองว่า #นักสันติวิธีและนักวิชาการ มารวมตัวกันเพื่อเสนอทฤษฎีการแก้ปัญหาความขัดแย้งในรูปแบบที่ตนเองเชื่อ ในขณะที่ กมธ. ชุดนี้ส่วนมากขาดการยึดโยงกับประชาชน อีกทั้งการทำงานยังยืดเยื้อไม่มีข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมและทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ที่สำคัญ กมธ. ชุดนี้ ไม่ได้เป็นเวที (platform) ที่คนที่เห็นต่างทุกกลุ่มสามารถใช้เป็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อบอกเล่าและเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหา
.
ถ้าทักษิณและลูกสาวยังคงเชื่อมั่นว่าปัญหา จชต. แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยเงินหรืออำนาจที่มีอยู่ และคนรุ่นใหม่ลืมบาดแผลความทรงจำในอดีตหมดแล้ว โดยไม่มีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเปิดพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยน รับฟัง เปิดกว้าง และเคารพข้อเสนอแนวทางแก้ปัญหาของบุคคลทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มคนที่เห็นต่างจากรัฐ ยอมรับความผิดพลาดในอดีต และให้คำมั่นในการอยู่ร่วมกันในความแตกต่างที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน ปัญหา จชต. ก็อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น และอาจไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเช่นไร วันนี้เราก็ได้เห็นคนที่มีความคิดสุดโต่ง ทั้งนักการเมือง และข้าราชการบางคน รวมถึงคนบางกลุ่ม พยายามเรียกร้องให้ยกระดับ BRN เป็นขบวนการก่อการร้าย เพื่อรัฐจะได้ปราบปรามได้เต็มที่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ถือเป็นการใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรงจนอาจลุกลามเป็น #ความขัดแย้งด้วยอาวุธ (Armed conflict) หรือสงคราม และคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคงเป็นพลเรือนที่บริสุทธิ์ รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ทั้งเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และบุคลากรทางศาสนา โดยเฉพาะผู้หญิงที่ถือว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงความขัดแย้งและความรุนแรงจึงควรมีบทบาทสำคัญในทุกกระบวนการตัดสินใจและการสร้างสันติภาพ ... 20 ปีที่แล้วรัฐบาลทักษิณสร้างความผิดพลาดในการแก้ปัญหา จชต. ไว้มาก ก็หวังว่ารัฐบาลแพทองธาร ที่มีเงาของทักษิณคอยกำกับจะไม่ผิดพลาดเหมือนที่พ่อเคยทำไว้ เพราะคนที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่คนตระกูลชินวัตร แต่เป็นคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องเป็นเหยื่อความรุนแรงใน จชต. ทั้งความรุนแรงโดยรัฐ และความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้ามรัฐ
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่